เล่าเรื่องพ่อของผม … ตอนที่ 6

    เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา มาต่อกันในตอนที่ 6 กันเลยนะครับ




    ในตอนก่อนๆ ผมก็ได้เล่าถึงชีวิตการทำงานช่วงสิบปีแรกของพ่อผมไปแล้วนะครับ พ่อของผมท่านเป็นพวกตำรวจมืออาชีพ คือเลี้ยงชีพด้วยรายได้จากราชการล้วนๆ พอใช้บ้าง ไม่พอใช้บ้าง ก็กู้หนี้โปะหนี้ไปตามเรื่อง ผมกล้าพูดแทนพ่อได้เลยว่า ครอบครัวเราได้ใช้ “เงินสะอาด” อย่างแท้จริง ไม่ได้ใช้เครื่องแบบและยศตำแหน่งไปเบียดบังใครมาแม้แต่สลึงเดียว หน้าที่การงานก็ก้าวหน้ามาตามลำดับ ได้สองขั้นแทบจะปีเว้นปี เพราะนายค่อนข้างจะสนับสนุนดี เนื่องจากเห็นว่าเป็นคนซื่อ มือดี ประกอบกับลักษณะงานมันเป็นบทแอคชั่นเหลือเกิน แต่จะด้วยความซื่อสัตย์ ความดีที่สะสมไว้ หรืออะไรก็แล้วแต่จะคิด พ่อก็แคล้วคลาดอยู่รอดปลอดภัยมาได้จนเกษียณก็แล้วกัน


    ยุคปี พ.ศ. 2526 นั้น ยังมีประเพณีปฏิบัติแปลกๆ ของกรมตำรวจอยู่อย่างนึง คือถ้าตำรวจคนไหนมีความบกพร่อง หรือ “มีเรื่อง” มักจะถูกย้ายไปประจำจังหวัดทางภาคใต้เป็นการลงโทษ ซึ่งท่าน พ.ต.อ. ส. ก็อยู่ในข่ายนั้น (ท่าน ส. ท่านนี้ ต่อมาเป็นผู้ที่มีคุณประโยชน์ต่อกรมตำรวจอย่างสูง ในฐานะเป็นผู้ที่ช่วยผลักดันให้คำว่า “วิสามัญฯ” เป็นคำฮิตติดปากผู้คนทั่วไป – มาถึงช็อตนี้ ผมขอชาเย็นกะผัดซีอี๊วนะครับ เผื่อติดคุกแล้วใครอยากมาเยี่ยม) ตอนนั้นผมก็ยังเล็ก จำไม่ได้ว่าตอนนั้นท่านนายพลโดนเรื่องอะไร รู้แต่ท่านโดนส่งไปจังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในพื้นที่อันตราย ที่ถูกโจมตีจากโจรก่อความไม่สงบเมื่อวานนี้แหละ ก็ย้ายไปแล้วรอจน “เรื่องเงียบ” แล้วจึงค่อยย้ายกลับมา


    พูดถึงการย้ายแบบนี้มันก็มีแบบแปลกๆ นะครับ ไม่รู้ลงโทษอีท่าไหน พอ “มีเรื่อง” ก็โดนย้ายไป ยศ-ตำแหน่ง-เงินเดือนก็เท่าเดิม ไม่ได้โดนลดแต่อย่างใด แถมส่วนใหญ่ พ่อ “เรื่อง” เงียบ ย้ายกลับมา ก็กลับมากินยศหรือตำแหน่งที่ใหญ่โตขึ้น หรือในหน่วยงานที่สำคัญกว่าเดิมกันทั้งนั้น พ่อยังบ่นบ่อยๆ ว่าอยากโดนลงโทษแบบนั้นมั่ง


    ว่าถึงท่าน ส. กันต่อ … แหม … คนมันสุขสบายอยู่กรุงเทพมาตั้งแต่เกิด พอต้องย้ายไปอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย แม้จะไม่ใช่ที่อันตรายอะไร เพราะประจำกองบังคับการใหญ่ในอำเภอเมือง มันก็ต้องมีใจเสียกันบ้าง ท่านผู้กำกับ ซึ่งเป็นนายโดยตรงของพ่อบังเอิญสนิทกับท่า ส. ในระดับหนึ่ง จึงได้รับการไหว้วานให้หามือดีที่ไว้ใจได้ โอนย้ายตามท่าน ส. ไปด้วย เผื่อมีอะไรจะได้คอยดูแล โดยเสนอให้พ่อได้เลื่อนตำแหน่งและให้ไปติดยศ พ.ต.ต. ที่โน่น


    พ่อผมไม่อยากไปหรอกครับ เรื่องเลื่อนตำแหน่งมันก็ไม่สำคัญสำหรับพ่อเท่าไหร่หรอก แต่ผู้กำกับท่านเป็นผู้มีบุญคุณ ลงทุนขอร้องให้ไป พ่อก็ต้องไป โดยไม่ได้รู้ว่าการไปครั้งนี้ยาวนานกว่าที่คิด เพราะท่าน ส. อยู่ที่ใต้ได้ปีเศษ เรื่องทางกรุงเทพเริ่มซาลง ท่านก็ได้ผู้ใหญ่สนับสนุน ย้ายท่านกลับไปอยู่เมืองกรุง พร้อมกินตำแหน่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสบายๆ แบบที่ว่า ส่วนพ่อผมไม่มีคนวิ่งให้ ก็ตระเวณย้ายไปย้ายมาอยู่ทางใต้ซะ 12 ปีเต็ม … 5 ปีแรกที่กองบังคับการฯ 1 ปีต่อมาโอนไปเป็นครูฝึกหน่วย นปพ. ถัดมา 3 ปีกับตำแหน่งสารวัตรปราบปรามในเมืองท่องเที่ยวชื่อดังภาคใต้ 1 ปีกับตำแหน่งเดิมโดยคราวนี้ย้ายขึ้นฝั่ง และอีกสองปีกับตำแหน่งสารวัตรใหญ่ อำเภอที่เคยมีเรื่องไม้เถื่อนครึกโครมที่สุดในภาคใต้


    ถ้าดูจาก profile ที่ว่ามา ตำรวจระดับพ่อผมบางคนคงบอกว่าหวาน แต่พ่อไม่ใช่แบบนั้น คำว่าตรงเป็นไม้บรรทัดคงใช้กับพ่อผมได้ดี ตลอดสามสิบกว่าปีในอายุราชการ เงินที่ผ่านกระเป๋าพ่อมาเลี้ยงครอบครัว มีเพียงเงินที่ผ่านการเบิกจ่ายจากทางราชการเท่านั้น ขอยกตัวอย่างความ “ตรง” และ “สมถะ” ของพ่อผมมาซักหน่อยนะครับ


    - ย้ายลงใต้มากับท่าน ส. ใหม่ๆ พ่อไม่มีรถใช้ ท่าน ส. บอกให้พ่อเรียกรถคันหนึ่งที่ประจำหน่วยบริการประชาชนมาใช้ส่วนตัว พ่อก็ปฏิเสธไป จะบ้าเหรอ ของเค้าใช้งาน จะให้เบียดบังมาใช้ส่วนตัว พ่อผมเลยซื้อจักรยานราคา 1,200 บาทมาคันนึง ใช้ขี่ไป-กลับ ระหว่างบ้านกับกองบังคับการวันละ 8 กม. ทุกวันตลอด 3 ปีแรกที่อยู่กองบังคับการนั้น จนสองปีหลังมีรถว่าง นายที่มาใหม่เห็นใจจึงโอนมาให้พ่อใช้ พ่อถึงยอมรับมาใช้

    - เวลามี “นาย” จากกรุงเทพมาตรวจราชการ ส่วนใหญ่จะมีการทำให้ “นาย” ประทับใจ ด้วยการมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปเสมอ ของฝากทางใต้ส่วนใหญ่ก็เป็นของหนีภาษีจากมาเลเซีย แบบที่ใครเคยไปเที่ยวหาดใหญ่จะรู้ดีว่าต้องซื้อพวกนี้แหละ ซึ่งพ่อเอามาท่องเป็นสูตรเลย ว่า “กาแฟ คอฟฟี่เมต ลูกเกด ลูกพรุน แอ๊ปเปิ้ล สาลี่ บุหรี่ เหล้า” เรียกเล่นๆ ว่าโป๊ยเซียน ต้องถวายนายให้ครบ 8 อย่าง นายจะประทับใจและเอ็นดู แต่พ่อผมซะอย่าง ไม่เคยให้ครับ … แหม … ยุคนั้นเงินเดือนราชการบวกเบี้ยเสี่ยงภัยแล้วหมื่นบาทนิดๆ นะครับ จะเอาที่ไหนเซ่นนายละครับ เลยต๊อกต๋อยอยู่อย่างนั้น ไม่ก้าวหน้าซักที เพราะนายไม่ประทับใจ … สม !

    - ตอนย้ายไปประจำเมืองท่องเที่ยว มีปัญหาเรื่องถนนพังบ่อยมาก เนื่องจากรถบรรทุกมักบรรทุกเกินน้ำหนัก ถนนที่อำเภอนั้นสเปคแค่ 18 ตัน แต่พ่อขอกำลังตำรวจทางหลวงมาดักจับ ใช้ตาชั่งพิเศษชั่งล่อเข้าไป 30 ตัน พ่อมีเรื่องกับพวกผู้รับเหมาขนานใหญ่ วิ่งเคลียร์นายระดับสูงกันตีนขวิดมาแล้ว เพราะพวกนี้พยายามมาขอเคลียร์แต่พ่อไม่เอา

    - ที่เมืองนั้น มีปัญหาเรื่องบ่อนพนันเถื่อนเยอะ วันนึงก็มีคนมาขอพบถึงบ้านพักที่อยู่หลังโรงพัก เอาซองสีน้ำตาลหนาเกือบเท่ารีมกระดาษวางบนโต๊ะ บอกว่าให้พ่อช่วยงดออกตรวจซักอาทิตย์นึง พ่อผมความรู้น้อย ฟังไม่เข้าใจว่าทำไมเค้าใจดีอยากให้พ่อพักผ่อน พยายามทำความเข้าใจเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เลยเอาปืนมานั่งขัดเล่นระหว่างคิด ผู้มาเยือนเห็นท่าไม่ดีเลยคว้าซองกระดาษเผ่นกลับไปตั้งหลัก

    - ภาษีอัตราพิเศษที่ไม่ได้กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากรฉบับใดๆ พ่อผมยกเลิกหมดครับ เรื่องนี้ต้องขยายนิดนึง


    เรื่องมันมีอยู่ว่า ที่เมืองนี้ มันเป็นเมืองท่องเที่ยว ซึ่งเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวอย่างมาก ไม่เว้นบรรดานายๆ และโคตรเหง้าสักหลาดของท่าน ที่ให้ความสนใจแห่กันมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ เดี๋ยวก็มาแล้วครับ โทรหา สวป. มั่ง สวญ. มั่ง ประดาพวกนี้เค้ามาถึงก็เอานามบัตรระบุยศตำแหน่งของ “นาย” มาใบนึงยื่นใส่หน้า มีลายมือ “นาย” เขียนข้างหลังทำนองว่า

    “เรียน สวญ. อำเภอ XXX

    ผู้ถือนามบัตรนี้เป็นญาติโกโหติกา / โคตรเหง้าสักหลาด / คนข้างบ้าน / เมียหลวง / เมียน้อย / เมียคนสุดท้อง / ฯลฯ ของผม ขอให้ช่วยดูแลอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างดีด้วย จักขอบคุณยิ่ง

    ลงชื่อ
    (นายพลห่านอะไรซักอย่าง)”



    มีศัพท์คำนึงที่พ่อผมบัญญัติขึ้นมา และบรรดาลูกน้องก็เอาไปใช้กันอย่างกว้างขวาง คือคำว่า “น้ำบาน” ครับ คือเปรียบเทียบจากเรือท่องเที่ยวเวลาวิ่งเข้ามาหาฝั่งละครับ มันจะแล่นฝ่าคลื่นมาเห็นพรายฟองน้ำทะเลบานมาแต่ไกล อีกนัยหนึ่งจะหมายถึงอาการฉีกบานของกระเป๋าคนที่เป็นเจ้าภาพก็ได้

    พวกนี้มากันทีนี่ตำรวจไม่ต้องทำงานทำการกันหรอกครับ ไหนจะต้องจัดหาที่พักอย่างดีให้ สมัยพ่อไปอยู่ใหม่ๆ ที่พักคืนละ 500 นี่อย่างแจ่มแล้วนะครับ แต่ท่านๆ พักแบบนั้นแล้วคันตูดหรือไงไม่ทราบ ต้องเริ่ดหรูอลังการ ไหนจะต้องจัดลูกน้องพาไปเที่ยวนู่นเที่ยวนี่ ทั้งกลางวันกลางคืน … เอ … แต่ท่านทั้งหลายเหล่านี้คงไม่ได้พกตังค์มารึยังไงก็ไม่รู้นะครับ เห็นทิ้งบิลเรียกเก็บเงินเป็นปึกๆ ไว้ให้ดูต่างหน้าเป็นประจำ


    ยกตัวอย่างนายพลท่านหนึ่ง ไม่ได้เคยรู้จักกับพ่อมาก่อนเล้ย วันดีคืนดีท่านก็ส่งคุณนายกับลูกๆ ของท่านยกโขยงพร้อมผู้ติดตามมากัน 6 คนครับ คุณหญิงท่านเช็คกับนิตยสารท่องเที่ยวอย่างดีแล้ว ว่าพักที่ไหนแจ่มสุด วิวดีสุด มาถึงท่านก็ชี้เลยครับ ว่าชั้นจะพักที่นี่นะ ส่วนลูกๆ ของท่านก็สรรครับ … สรร:-) อีลูกสาวอ้อนแม่บอกว่าเย็นนี้อยากกินซีฟู้ดเริ่ดๆ ซักมื้อ ขอปลากระพงทั้งทอดทั้งต้มยำอย่างละตัว เก๋าราดพริกบิ๊กๆ อีกตัวนึง ไอ้ลูกชายก็เอามั่ง ขอหอยนางรม 20 ตัว จะโด๊ปไปล่อกะใครก็ไม่ทราบ อีคนน้าบอกเอาปูด้วยสิ เอาก้ามโตๆ สดๆ นะ นังเพื่อนแม่ก็บอกงั้นเอาลอบสเตอร์ด้วยเลย เอา 2 ตัวละกัน เผื่อเด็กๆ เพระเด็กกำลังโต กำลังล้าง กำลังผลาญ …


    ลูกน้องคนสนิทที่ไปคอยดูแลเอารายการอาหารมาให้พ่อดูแล้วอึ้ง ดีว่ามีลูกน้องที่โรงพักคนนึงเป็นลูกเขยเจ้าของแพปลา เลยพอจะขอแบ่งของสดมาให้พ่อครัวที่โรงแรมทำอาหารให้ โดยขอกับผู้จัดการว่าอย่าคิดตังค์แพง เอาค่าแรงนิดหน่อยก็พอ พักอยู่สี่วันสามคืน ท่านก็ยกโคตรกันบินกลับ พ่อกับ สวญ. ก็ปลื้ม … ไม่ได้ปลื้มที่ได้รับใช้คุณนายนะครับ ปลื้มที่พวกแม่งกลับไปซะที ยังปลื้มไม่ทันเสร็จ วันต่อมาพ่อออกตรวจพื้นที่ กะจะแวะเข้าไปขอบคุณผู้จัดการโรงแรมที่ช่วยอำนวยความสะดวก ผู้จัดการก็เอาบิลหนาปึ้กมาถามว่า “สารวัตรครับ วันนั้นค่าแรงปรุงอาหารไม่คิดตังค์นะครับ ถือว่าช่วยๆ กัน แต่บิล 4 หมื่นกว่านี่เก็บกับใครดีครับ นี่ผมลดให้พิเศษ 15% แล้วนะครับ” … แม่งลองค๊อคเทลของโรงแรมเกือบครบทุกรสครับ สั่งรูมเซอร์วิสไป:-)ข้างวงไพ่ทุกคืน เช่ารถ AVIS ไปขับเล่นแล้วลงบิลรวมไว้ แถมเอาไปชนมาไฟหน้าเค้าแตกไปข้างนึง คลี่ออกมาบิลยาวถึงปลายตีนพ่อผมครับ โทษ


    พ่อผมกับ สวญ. สมัยนั้น เป็นคนนิสัยคล้ายๆ กันครับ คือกินเงินร้อนแล้วไม่สบายใจ ก็ช่วยกันผ่อนจ่ายเค้าไปครับ จนตอนหลังๆ บรรดาผู้ประกอบการทุกคนในพื้นที่ให้ความนับถือมาก หลายที่ที่คุยกันแล้วรู้ปัญหาดี เค้าบอกเลยครับ ว่าถ้ามี “บิลน้ำบาน” แบบนี้ เค้าขอคิดแค่ค่าวัสดุสิ้นเปลือง พวกน้ำขวด เหล้า อาหาร ฯลฯ ในราคาทุนเท่านั้น ค่าห้องค่าบริการอะไรไม่เอา บางที่ใจถึงขนาดว่าฉีกบิลทิ้ง ไม่เอาตังค์พ่อกับ สวญ. เลยก็มี เพราะอะไรรู้ไหมครับ ก่อนหน้าพ่อผมและ สวญ. ท่านนี้มา เค้าต้องจ่ายเดือนนึงหลายพันครับ แต่ยุคพ่อกับ สวญ. คนนี้ไม่มีการเรียกเก็บ … อ้อ … ค่าอะไรต้องถามคุณชูวิทย์ดู


    ฉนั้นอย่าแปลกใจครับ ที่นั่นใครๆ เค้าก็ทำกัน ไม่มีใครบ้าออกตังค์เองอย่างพ่อกับท่าน สวญ. ท่านนั้นกันหรอกครับ ก็ต้อง “ขอความอนุเคราะห์” บรรดาเจ้าของกิจการแบบนี้ (ไม่รู้ตำรวจหรือขอทาน ถุย !)  แถมเอาเข้าจริงๆ รายได้ดีอีกต่างหากนะครับ บังกะโลว์ที่พัก บาร์เบียร์ สถานบันเทิงในพื้นที่มีเป็นพันแห่ง ขอซักที่ละสามพันห้าพัน เดือนนึงกี่ตังค์คูณกันเอาเอง ดังนั้นไม่แปลกเลย ที่พ่อมักโดนคนทักว่า “โห … อยู่ที่อำเภอ XXX ก็รวยแย่เลยสิ” หุหุ รวยนะไม่รู้ครับ แต่แย่นี่แย่สุดๆ ครับ พ่อผมไป 2 ปีแรก มีหนี้ผ่อนจ่ายค่า “น้ำบาน” อยู่หลายหมื่น และนอกจากไม่มีการเรียกเก็บค่าบริการใดๆ แล้ว ยังสั่งตั้งกรรมการสอบสวนตำรวจในโรงพักที่มีพฤติกรรมรีดไถไปเกือบโหล พวกนักไถในเครื่องแบบอดอยากปากแห้งไปตามๆ กัน


    รายนึงครับ กินเหล้าย้อมใจทั้งเครื่องแบบมาตั้งแต่สายๆ พอตกบ่ายก็เดินถือ 05 นาโต้ในท่าพร้อมยิงเป๋เข้ามาในห้องทำงานพ่อเลยครับ … ที่รอดมาได้ เพราะมีลูกน้องที่รักพ่อเตือนๆ อยู่เหมือนกัน ว่าได้ยินไอ้หมอนี่บ่นในวงเหล้ามา 2-3 ทีแล้วว่าจะเล่นงานพ่อ พ่อเลยเตรียมพร้อมตลอด และพ่อผมเป็นคนที่แข็งแรงเอามากๆ ซึ่งเป็นผลของการทำงานหนักมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนอายุ 50 พ่อยังแบกโอ่งมังกรคนเดียวเดินตัวปลิวก็แล้วกัน นอกจากนั้น พ่อผ่านการฝึกมาทางบู๊อย่างหนักมาตั้งแต่สมัยกองปราบอยู่แล้ว




    ตอนหน้า จะเป็นตอน “เฉียด” ของพ่อผมละครับ เฉียดขนาดไหน ก็ขนาดว่าเกือบทำให้ผมกำพร้าพ่อถึง 2 ครั้งในรอบ 3 ปีทีเดียว เอาว่าถ้าผมไม่โดนท่าน ส. อุ้ม หรือติดคุกไปซะก่อนจะมาขยายความต่อครับ




    ป.ล. วีคเอนด์นี้ต้องไปสัมนาต่างจังหวัด ไม่สามารถไปร่วมดู “ใจ” น้องดุกได้ ขอโทษทีนะน้อง แต่ศุกร์ (ดึกๆ) กับเสาร์อื่น “ใจ” เสมอ อุอุ

    จากคุณ : (แมลงสาบ) - [ 29 เม.ย. 47 15:41:59 ]