CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangGameRoom


    ลาออกจากงานดีมั้ย ? (2)

    ตอนก่อนมัวแต่โม้อะไรก็ไม่รู้ เลยไม่จบ มาต่อตอนนี้ละกัน

    กลับมาที่หัวข้อเรื่องก่อน ... เมื่อได้ดูข่าว ผมก็มานั่งคิดเล่นๆ เห็นบรรดาแม่ค้าที่มาประท้วงเรื่องที่กรุงเทพมหานครรณรงค์จัดระเบียบการค้าขายบนทางสาธารณะ แล้วก็มีเจ๊คนนึงออกมาโวยด้วยประโยคอมตะคล้ายๆ กะที่ผมยกขึ้นมานี่แหละ


    มาดูตัวอย่างกันมั้ย ...


    นายนพ (นามสมมติ) ทำร้านกาแฟขนาดเล็ก สมมติว่าอยู่ในปั๊มน้ำมันละกัน โดยมีต้นทุนดังนี้

    - ค่าแฟรนไชส์ ค่าตกแต่งร้าน ฯลฯ 400,000.- ติ๊ต่างว่าสัญญา 5 ปี เท่ากับมีต้นทุนเฉลี่ยแบบปัดเศษเดือนละ 6,500 บาท
    - ค่าเช่าสถานที่ตั้งร้าน เดือนละ 2,000 บาท
    - ค่าน้ำ ค่าไฟ ประมาณเดือนละ 1,500 บาท

    รวมเป็นต้นทุนคงที่เดือนละ 10,000 นึงพอดี นี่ประเมินแบบต่ำๆ นะ

    ทีนี้มาดูรายได้ พวกค่าเม็ดกาแฟ ค่านม-น้ำตาล ค่าถ้วย ค่าวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ พวกนี้ผมไม่รู้ตัวเลขหรอก แต่ขอประมาณแบบนี้ละกัน ว่ากาแฟแก้วนึงมีต้นทุนเฉลี่ย 15 บาท ถ้าขายเฉลี่ยแก้วละ 50 บาท จะมีกำไรขั้นต้น 35 บาท สมมติว่าขายได้เฉลี่ยวันละ 30 แก้ว ก็จะมีกำไรขั้นต้นเดือนละ 30,000 บาท (ปัดเศษเช้นกัน)

    หักค่าใช้จ่ายแล้วเหลือกำไรก่อนภาษีเดือนละ 20,000 บาท หักภาษี ... ติ๊ต่างอีกว่า 30% เหลือเดือนละ 14,000.- นี่ยังไม่คิดว่าถ้ามีการจ้างลูกจ้างอีกนะ ...

    สรุปคือนายนพ ทำร้านกาแฟอย่างถูกต้อง มีการขึ้นทะเบียนการค้า จ่ายภาษี ฯลฯ ทำแทบตาย เหลือเงินใช้เดือนละ 14,000 ...

    มิน่าล่ะ ถึงต้องทำซุ้มมือปืนเป็นอาชีพเสริม ฮ่าฮ่าฮ่า



    มาดูน้องแนน-คามิโอ (นามสมมติ) ทำอาชีพขายกาแฟรถเข็นข้างทางมั่ง โดยแนน-คามิโอ เลือกทำเลตั้งรถเข็นริมฟุตบาธตรงป้ายรถเมล์ใต้สถานีรถไฟฟ้า คือจะเลือกตรงไหนก็ได้ ไม่ต้องขอเช่าที่ใครอยู่แล้วนี่ กิจการของเธอก็จะมีต้นทุนดังนี้ ...

    - รถเข็น ตู้กระจก หม้อต้มน้ำ อุปกรณ์การชงกาแฟต่างๆ คิดราคาเหมาที่ 12,000 บาทละกัน จะได้ลงตัว (จริงๆ ผมว่าไม่เกินหมื่น) สมมติว่าคิดเฉลี่ย 5 ปี ก็เดือนละ 200 บาท
    - ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าที่ ไม่เสีย

    จากนั้นมาดูรายได้ของร้านกาแฟของแนน-คามิโอ กันบ้าง
    - ค่าวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ ไม่มีข้อมูล แต่ประมาณแบบใกล้เคียงได้ว่า กาแฟแบบใส่ถุง ถุงนึงมีต้นทุนที่คิดทั้งค่าแก๊ส ค่าน้ำ ค่าถุงกาแฟ ค่านม ค่าน้ำตาล ประมาณ 4 บาท ขาย 10 บาทก็จะมีกำไรขั้นต้น 6 บาทต่อถุง ถ้าขายได้เฉลี่ยวันละ 100 ถุง (จำนวนเฉลี่ยสูงกว่าเนื่องจากราคาขายต่ำ ขายเร็วและง่ายกว่า) เท่ากับเดือนนึงจะมีกำไรขั้นต้นประมาณ 18,000 บาท

    พอหักค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อเดือนที่คำนวณข้างต้นแล้ว ก็จะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 17,000 ต่อเดือน ภาษีก็ไม่เสีย เพราะไม่ต้องจดทะเบียนการค้า

    --------------------------------------------------------

    ลาออกจากงานมาค้าขายแบบไหนดีหนอ ?

    1. แบบน้านพ ทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง บรรจงปรุงกาแฟตามมาตรฐานที่เจ้าของแฟรนไชส์กำหนดไว้ ร้านต้องเป็นที่เป็นทางเสียค่าเช่าแล้วแต่อารมณ์เจ้าของที่ สิ้นปีต้องลุ้นว่ามันจะขึ้นค่าเช่ามั้ย สิ้นเดือนต้องนำส่งภาษีการค้าให้ตรงเวลาไม่งั้นโดนเบี้ยปรับ แถมต้องลุ้นทุกวันว่าวันนี้จะมีลูกค้ายอมจ่ายค่ากาแฟแก้วละ 50 กว่าบาทเข้าร้านซักกี่คนหนอ ... หักค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จเหลือเดือนละหมื่นสี่ ... เงินน้อยแต่ได้เท่ ทำร้านกาแฟราชนิกูลไง

    2. แบบแนน-คามิโอ ผิดกฎหมายแทบทุกอย่าง ร้านไม่ต้องเช่าใช้ทางเท้าสาธารณะทำประโยชน์ส่วนตน คนเดินลำบากช่างหัวมารดามัน น้ำเหลือน้ำเสียก็เททิ้งมันตรงป้ายรถเมล์น่ะแหละ แถมไม่ต้องเสียภาษี ต้นทุนคงที่ต่ำ กำไรน้อยแต่เนื้อๆ เลือกทำเลดีซะอย่างขายแบบเบื่อๆ ยังวันละเป็นร้อยถุง ... หักค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จเหลือเดือนละหมื่นเจ็ด ... ร้านข้างทางแต่เงินเยอะกว่าน้านพหลายตังค์อยู่

    --------------------------------------------------------

    กำลังเซ็งๆ กะงานนิหนุ่ยครับ เลยนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ทำงานประจำตามบริษัท มันก็ดูงานการมั่นคงดี แต่มันก็น่าเบื่อที่ต้องทำงานประสานกับคนอื่น พูดง่ายๆ คือต้องไปนั่งง้อ นั่งรองรับอารมณ์เค้านี่แหละครับ ค้าขายเป็นนายตัวน่าจะสบายกว่า ไม่ชอบหน้าลูกค้าคนนี้ก็ไม่ขายแม่งซะ ก็จบ แต่ทำงานบริษัทมันทำงั้นไม่ได้

    และไอ้ที่ว่ามั่นคงเนี่ย มันก็ไม่เสมอไปนะครับ เพราะตอนนี้ด้วยความปากพล่อยของท่านผู้นำ ที่ออกมาบอกว่าข้าราชการต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำ 7 พัน ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ ทีนี้พวกผู้ใช้แรงงานก็เอามั่งสิครับ ขอวันละ 233 มั่ง (คูณ 30 ก็ประมาณ 7 พัน) เพราะท่านบอกว่าข้าราชการเนี่ย ถ้าต่ำกว่า 7 พันอยู่ไม่ได้ พวกกระผมก็คนเหมือนพวกข้าราชการที่ท่านออกมาเอาใจน่ะแหละ ต่ำกว่า 7 พันผมก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน ... ตอนนี้ล่าสุดค่าแรงขั้นต่ำเตรียมขึ้นอีกประมาณ 6 บาท เริ่ม 1 สิงหาคมนี้ งานนี้ไม่ธรรมดาแน่ๆ ครับ เพราะที่ผ่านมา ปรับกันทีนึงก็ 2-3 บาท คราวนี้ทะลึ่งขึ้นพรวดเดียว 6 บาท แถมไม่ได้มีการประกาศเพื่อใช้กับปีหน้าเหมือนทุกทีซะด้วย ทีนี้ผลกระทบบานเลยครับ เท่าที่ผมคิดออกก็มีดังนี้นะ

    - ต้นทุนการผลิตสินค้าทุกอย่างขึ้นมาอีกหลายเปอร์เซนต์
    - ของแพงขึ้นจากเหตุผลข้อแรก ไม่เกี่ยวกับพ่อค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาหรอก
    - ผู้ประกอบการต้องลดต้นทุน ไม่งั้นอยู่ไม่ได้ เพราะของแพงเกินไปคนก็ไม่ซื้ออีก
    - ลดต้นทุนหลักๆ ก็สองวิธี คือเอาเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นมาใช้ แล้วลดคนงาน เพราะค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการจ้างคนงาน เป็นค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุด ผูกพันระยะยาว และมีแต่เพิ่ม ไม่มีลด
    - อีกวิธีคือใช้เครื่องจักรเดิม แต่ลดจำนวนคนงาน แล้วเพิ่มกะเพื่อใช้ประโยชน์เครื่องจักรให้คุ้มค่าที่สุด (ผลิต 24 ชม.)
    - เมื่อแรงงานไทย ไม่ใช่แรงงานราคาถูกอีกต่อไป การลงทุนจากต่างประเทศก็จะเปลี่ยนเป้าไปลงทุนที่อื่นที่ต้นทุนแรงงานถูกกว่า เช่นจีนแผ่นดินใหญ่ และประเทศเพื่อนบ้านเราทั้งหลาย โรงงานที่ต่างชาติมาลงทุนในไทยก็ต้องปิดตัวลงไป เพื่อย้ายไปลงทุนในประเทศที่ต้นทุนต่ำกว่า ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจ ... ทีนี้มันส์ครับ ใหม่ไม่มา ซ้ำเก่าก็ย้ายหนี คนตกงานก็ตกงานกันต่อไป คนที่มีงานอยู่ก็นั่งเสียวกันไป ว่าเค้าจะเลย์-ออฟเมื่อไหร่

    ซึ่งผลกระทบอาจมีมากกว่านี้แต่ผมขี้เกียจคิด เพราะแค่นี้ก็มันส์แล้วครับ หลับตาคิดได้เลยครับ ว่าภายในสิ้นปีนี้ เราจะต้องได้ยินเรื่องการเลย์-ออฟคนงานกันบ่อยขึ้น ... ก็ไอ้คนงานที่ไปเย้วๆ ประท้วงให้รัฐบาลปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนี่แหละครับ คอยดูละกัน … นี่ขนาดว่าขึ้นค่าแรงแค่ 6 บาทนะครับ ถ้าขึ้นเป็น 233 นี่ไม่อยากคิดเลย



    ป.ล. ทุกกรณีที่ยกมาเป็นกรณีสมมติ ชื่อก็เป็นนามสมมติ อย่าส่งมือปืนมาเก็บผมนะคร้าบบบบ

     
     

    จากคุณ : (แมลงสาบ) - [ วันอาสาฬหบูชา 10:02:53 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป