CafeTech-ExchangePantip MarketChatPantownBlogGangTorakhongGameRoom


    *** ตั้งบริษัทใครว่ายากกก?....... (ตอนหุ้นลมๆ.....แร้งๆ) ***

    การเรียกชำระค่าหุ้น...100% (แบบ โอเว่อร์เกินจริง) มันเป็นเทคนิคการจดทะเบียนอย่างหนึ่งที่ชอบใช้กันเสมอ พบได้ทั่วไป ซึ่งหลายท่านดำเนินการจดทะเบียนโดยไม่ได้ศึกษาถึงรายละเอียดผลดีผลเสีย วิธีการจัดการให้ดีซะก่อน จึงเกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมายเลยทีเดียว

        สมมุติว่า นายจิตร่วมกับญาติ และเพื่อนๆ  ตั้งบริษัทขึ้นมาแห่งหนึ่ง มีทุนจดทะเบียน 10 ล้าน  โดยนายจิตเป็นกรรมการบริษัทแต่เพียงผู้เดียว ได้ดำเนินการจดทะเบียนจนแล้วเสร็จและได้รับหนังสือรับรองจากกระทรวงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย โดยระบุว่าบริษัทได้มีการรับชำระทุนจดทะเบียนจากผู้ถือหุ้นครบทั้ง 10 ล้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

        แต่ข้อเท็จจริงคือ นายจิตได้ใส่เงินค่าหุ้นลงไปในบริษัทแค่ 1 ล้านบาทเท่านั้น ที่เหลืออีก 9 ล้าน ไม่มีครับ....... เป็นแค่เพียงอากาศเท่านั้น  ส่วนผู้ถือหุ้นคนอื่นที่เป็นญาติ และเพื่อนๆ นั้น แค่ขอยืมชื่อเขามาใส่ถือคนละหุ้น เพื่อให้ครบจำนวนผู้ก่อตั้งก็แค่นั้นเอง ไม่ได้มีการจ่ายเงินค่าหุ้นให้นายจิต จริงแต่อย่างใด

       การจดทะเบียนโดยเรียกชำระค่าหุ้นเต็ม 100% แบบหลอกๆ (หรือที่มักเรียกกันว่า หุ้นลม)    อย่างนี้  ทำให้นายจิตซึ่งเป็นกรรมการของบริษัทมีสภาพเป็น "ลูกหนี้เงินกู้ยืมจากบริษัท" ไปในทันทีครับ     เหตุผลที่ทำให้นายจิตกลายเป็นลูกหนี้ของบริษัท ก็เพราะในตอนที่ประชุมจัดตั้งบริษัทนั้น กฎหมายได้กำหนดให้กรรมการชุดแรกของบริษัทเป็นผู้เรียก และรับชำระเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้น ก่อนจะนำเอกสารต่างๆ ไปจดทะเบียนตั้งบริษัท

        โดยที่เอกสารชุดที่นำไปขอจดทะเบียน จะมีรายงานอยู่ฉบับหนึ่งที่กรรมการต้องเซ็นต์ชื่อรับรองว่า  "มีการเรียกและรับชำระค่าหุ้นมาแล้วเป็นจำนวนเท่าใด"  ซึ่งนายจิตก็ได้เซ็นต์ชื่อรับรองไปว่าได้รับค่าหุ้นมาครบแล้ว 10 ล้าน โรคจิตสมเชื่อจริงๆ................ (นี่คือเทคนิคที่เขาชอบแนะนำให้ทำกัน) และตอนไปจดทะเบียนเจ้าหน้าที่ ที่รับจดทะเบียนเขาไม่ได้ขอตรวจนับเงินกันจริงๆ ซะด้วยสิ…………………เริ่มสนุกแล้วสิ

        และเมื่อถึงสิ้นปี  บริษัทต้องจัดทำงบการเงินให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบและรับรอง   พอผู้สอบบัญชีเขาตรวจดูก็จะทราบทันที ว่าอะไรเป็นอะไร(อ๋อ......จดทะเบียนแบบนี้กันอีกแล้ว)  

        เมื่อมีเงินไม่ครบ แล้วจะทำไงล่ะครับทีนี้....... ไม่ยากครับผู้สอบบัญชีก็ต้องให้ลงเป็นลูกหนี้เงินให้กู้ยืมแก่กรรมการบริษัทไปก็เท่านั่นเองครับ (ผู้สอบบัญชีคงไม่ยอมเสี่ยงคุกกับกรรมการด้วยแน่ๆ) เพราะเอกสารหลักฐานบ่งบอก และตามกฎหมายอย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า "กรรมการเป็นคนรับผิดชอบเงินค่าหุ้นทั้งหมด ที่รับมาก่อนจะจดทะเบียนบริษัท  ดังนั้น ถ้ามีส่วนขาดหายไปกรรมการบริษัทต้องเป็นผู้รับผิดชอบ"

        ประเด็นต่อมา คือ เมื่อบริษัทให้บุคคลภายนอก (กรรมการ หรือผู้ถือหุ้น) กู้ยืมเงินไป จะต้องคิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ซึ่งในกรณนี้ก็คือ นายจิตกรรมการบริษัทโรคจิตของเรานั่นเอง จะไม่คิดดอกเบี้ยไม่ได้ครับ......เฮียสรรพากรแกไม่ยอมแน่ครับ เพราะถือว่า บริษัทเสียประโยชน์จากการนำเงินส่วนนั้นไปหารายได้ให้งอกเงยขึ้นมา (อย่างน้อยๆ ก็ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารไงครับ) ทำให้บริษัทมีรายได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้เฮียแกเก็บภาษีจากบริษัทได้น้อยลงนั่นเอง.........

        ส่วนวิธีการคิดการคิดดอกเบี้ยก็ ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินฝากประจำ 1 ปีของธนาคารพาณิชย์เป็นเกณฑ์ ถ้าช่วงดอกเบี้ยถูกๆ ก็คงไม่เป็นไรแต่ถ้าเป็นช่วงนี้เห็นทีจะแย่ ครับ เพราะดอกเบี้ยขึ้นเอาๆ

        ท้ายสุดนายจิต ไม่รู้จะนำเงินจากไหนมาจ่าย ก็ภาษีที่คำนวณได้ตั้ง 450,000 บาท.....! (9,000,000 * 5%)  เพราะเงินที่มีอยู่ในบริษัทก่อนหน้านี้ก็ใช้ดำเนินงานไปจนไม่เหลือหรอ แถมจนป่านยังเก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้สักบาท เลยต้องไปหากู้เงินมาจ่ายภาษีแทนบริษัท   ครั้นจะบอกความจริง กับเฮียสรร ก็กลัวว่าจะโดนเฮียแกแจ้งจับ ข้อหาแจ้งความเท็จต่อทางราชการ (กระทรวงพาณิยช์) ที่มีโทษทั้งจำและปรับ  หรือถ้าจะปิดบริษัทหนี งานนี้มีหวังโดนหนักกว่าเดิมครับ เพราะนอกจากจะโดนข้อหาข้างต้นแล้ว ยังจะโดนยึดทรัพย์ขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาจ่ายภาษี 2 เด้งครับงานนี้

        อยู่ดีๆ ก็เป็นหนี้ 2 ก้อนเลย ไหนจะหนี้จากบริษัทตัวเอง แล้วยังมีหนี้ที่ไปกู้เงินมาเพื่อจ่ายภาษีให้กับบริษัทอีก นอกจากนี้ ก็อาจเกิดปัญหาอื่นได้อีก ซึ่งผมจะค่อยอธิบายต่อๆ ไป แล้วพบกันใหม่ใจตอนหน้าครับ

                                                        เชื่อเถอะ......คุ้ม

    อ่านบทความตอนที่แล้วได้ที่:
    http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B4650851/B4650851.html

    จากคุณ : ACM - [ 25 ส.ค. 49 10:21:39 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | PanTown.com | BlogGang.com