ความคิดเห็นที่ 71
ขอบคุณสำหรับ ข้อคิดเห็นและคำถามนะครับ คุณ academician ประเด็นที่ตั้งมาล้วนน่าเสวนาด้วยทั้งสิ้น
ดูมีคุณค่ากว่าคำถามประเภท Wireless Lan กับ Mobility ต่างกันอย่างไร? ซึ่งคำถามประเภทนั้น ถ้าผู้ถามอยากรู้จริงๆ ค้นจาก Google เอาก็ได้ไม่ต้องเสียเวลามาลองภูมิ
ขออนุญาต แชร์เป็นประเด็นๆ ไปนะครับ
ข้อ 1 + 2 ขออนุญาตปูพื้นเรื่อง 3 G นิดนะครับ เผื่อพวกเราท่านอื่นๆเข้ามาอ่านจะได้เข้าใจไปพร้อมๆกัน
วิวัฒนาการของโทรศัพท์มือถือ เราจะแบ่งเป็นยุคๆ (G = Genaration) โดย
เจเนอเรชันที่ศูนย์ (0G) เป็นยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่ก่อนระบบเซลลูลาร์ ซึ่งก็คือโทรศัพท์ที่ใช้คลื่นวิทยุในการสื่อสารยุคแรก
เจเนอเรชันที่หนึ่ง (1G) นี่เป็นการเริ่มต้นการใช้ระบบสื่อสารแบบ เซลลูลาร์ โทรศัพท์มือถือในยุคนี้เป็นโทรศัพท์มือถือที่ใช้มารตรฐานการสื่อสารในระบบอนาล็อก และมีใช้กันในช่วง พ.ศ. 2523-2533
เจเนอเรชันที่สอง (2G) มีการพัฒนานำระบบดิจิตอลเข้าสู่โลกการสื่อสารไร้สาย นั่นคือมีการส่งสัญญาณในระบบดิจิตอล ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพของสัญญาณ รวมทั้งยังทำให้สามารถรองรับจำนวนผู้ใช้ได้มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีความต้องการสื่อสารข้อมูลที่ไม่ใช่เสียงเกิดขึ้นด้วย โทรศัพท์มือถือในยุคนี้สามารถใช้บริการ SMS ได้แล้ว
เจเนอเรชันที่ 2.5 และ 2.75 (2G และ 2.75G) พื้นฐานของโทรศัพท์มือถือยุค นี้ยังคงเหมือนกับยุคที่สอง โดยเพิ่มความสามารถในการสื่อสารข้อมูลอื่นๆ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ทางบริการ WAP (Wireless Application Protocol) และ GPRS (General Packet Radio Service) ลักษณะของโทรศัพท์มือถือยุคนี้ที่เห็นได้อีกก็คือ จอสี และกล้องถ่ายรูป เจเนอเรชันที่ 3 (3G) โทรศัพท์ยุคที่สามนี้เป็นการใช้ระบบเครือข่ายรูปแบบใหม่ ด้วยจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลให้มากขึ้นสำหรับการใช้งานอินเทอร์เน็ต ข้อมูลด้านภาพ หรือธุรกรรมต่างๆ ซึ่งประเทศไทยของเรากำลังเดินเข้าสู่โทรศัพท์มือถือยุคนี้ นะครับ
3G
เมื่อปี 2542 สหพันธ์การสื่อสารสากล (International Telecommunication Union : ITU) ได้ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 3G มาตรฐานดังกล่าวได้ชื่อว่า IMT-2000 ซึ่งมีระบบตามมาตรฐานดังกล่าวห้าระบบด้วยกัน ได้แก่ UWC-136, DECT+, WCDMA (หรือ UMTS), CDMA2000 และ TD-SCDMA โดยที่ระบบ WCDMA และ CDMA2000 เป็นตัวเลือกหลักสำหรับโทรศัพท์มือถือ 3G ข้อกำหนดความต้องการในมาตรฐาน IMT-2000 สำหรับโทรศัพท์มือถือ 3G ระบุไว้ว่า โทรศัพท์มือถือในยุคที่สามนั้นจะต้อง พัฒนาความจุของระบบ(รองรับจำนวนผู้ใช้จำนวนมาก), ต้องเข้ากันได้กับระบบของ 2G, รองรับระบบมัลติมีเดีย และต้องให้บริการสื่อสารข้อมูลด้วยความเร็วสูง คือระหว่าง 144 กิโลบิตต่อวินาที(ภายในอาคาร) จนถึง 2 เมกะบิตต่อวินาที(เมื่ออยู่ในที่โล่ง)
โทรศัพท์ในยุคที่สามนี้จะทำให้มี การเปิดบริการสื่อสารข้อมูลที่ไม่ใช่ เสียงมากขึ้น(Non Voice หรือ Data) โดยที่ผู้ใช้สามารถรับส่งอีเมล ทำงานเกี่ยวกับฐานข้อมูล ทำธุรกรรมและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถติดตามข่าวความเคลื่อนไหวต่างๆ สามารถรับส่งไฟล์รูปภาพและเสียง สนทนาแบบเห็นหน้ากัน และรวมไปถึงการประชุมแบบเห็นหน้าด้วย
ก่อนที่เครือข่ายโทรศัพท์มือถือจะ เข้าสู่ยุคที่สามนั้น เครือข่ายแบบจีเอสเอ็มสามารถนำร่องบริการในรูปแบบของ 3G ผ่านเทคโนโลยี EDGE (Enhance Data rates for Global Evolution) นอกจากนั้น เทคโนโลยีนี้ยังช่วยให้ผู้ให้บริการที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเครือข่ายแบบ 3G สามารถให้บริการในรูปแบบเดียวกันได้ด้วย โดยเริ่มต้นแล้ว เทคโนโลยี EDGE นั้นพัฒนาขึ้นมาเพื่อเครือข่าย GSM ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเครือข่าย UMTS ซึ่งเป็นมาตรฐานของเครือข่าย 3G เครือข่าย GSM ที่มีเทคโนโลยี EDGE จึงสามารถให้บริการข้อมูลด้วยความเร็วสูงเหมือนเครือข่าย UMTS ได้ นอกจากนั้น เทคโนโลยีนี้ยังช่วยให้พัฒนาระบบจาก GPRS ไปสู่เครือข่าย 3G ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ EDGE เพียงชุดเดียวต่อหนึ่งเซลล์ของเครือข่าย และสามารถปรับปรุงซอฟต์แวร์ ได้จากระยะไกล
เทคโนโลยี EDGE ช่วยเพิ่มความเร็วในการรับส่งข้อมูล และช่วยให้ระบบรองรับผู้ใช้บริการในจำนวนที่มากขึ้น เครือข่าย GSM สามารถให้บริการมัลติมีเดียได้ เทคโนโลยี EDGE ช่วยให้สามารถจัดการอีเมล ดูเว็บ รับส่งไฟล์ทั้งภาพและเสียง ติดตามข่าว และสามารถดูภาพคู่สนทนา ซึ่งเป็นการให้บริการที่มีลูกเล่นมากขึ้น ค่าใช้จ่ายต่อหน่วยข้อมูลแล้วก็ลดลง
จากคุณ :
ดีอาร์ (mbacu)
- [
19 พ.ย. 49 22:28:03
]
|
|
|