ความคิดเห็นที่ 1 ขึ้นกับการวิเคราะห์ครับ ธุรกิจเดิมความเสี่ยงสูงก็เป็นจุดอันตราย แต่ไปเริ่มงานใหม่คุณไม่ชำนาญแล้วเงินหมุนก็ไม่พออยู่แล้ว อาจจะหนักกว่าเก่า ของแบบนี้ขึ้นกับรายละเอียดครับ ไม่มีทฤษฎี จากคุณ : ทำด้วยใจรัก (ทำด้วยใจรัก) - [ 1 ธ.ค. 49 22:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อันนี้ผมขอออกตัวนะครับ ว่ามันมีผมดีผลเสียทั้งหมดไม่ว่าทางเลือกไหน แต่เจ้านายผมบอกว่าทำอย่างเดียวไปเลย ทำสองอย่างไม่เก่งหรอก แต่ญาติผมเลี้ยงไก่แล้วไม่มีธุรกิจอื่นเลย แต่เลี้ยงใหญ่ระดับจังหวัดกำหนดราคาของตลาดได้เลยที่เดียว แต่ทรุดกับหวัดนกไปเยอะครับ ของผมมีแค่นี้ครับ จากคุณ : pyk (PYK-S) - [ 1 ธ.ค. 49 23:08:13 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ของดิฉันทำสามบริษัทค่ะ แถมบริษัทแรกที่ตั้งยังมีงานหลายแบบ พ่อเคยบอกอย่าใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว ก็มีทั้งดีและเสีย ดีคือ เวลาอย่างหนึ่งไม่ดีก็มีอย่างอืนทดแทนหมุนเวียนกันไป เห็นได้ชัดมากในบริษัทแรกของดิฉัน ข้อเสียคือ แทนที่จะทุ่มทุนกับอย่างใดอย่างหนึ่ง ต้องกระจายเงินลงทุนเพื่อขยายงานหรือพัฒนาให้มันก้าวหน้า เรื่องบุคลากร ถ้าหาคนไว้ใจไม่ได้ก็ลำบาก ลำพังตัวเองดูหลายอย่างก็ไม่ทั่วถึง โอกาสผิดพลาดรั่วไหลมีมาก และถ้าเป็นธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกันเลยยิ่งวุ่น สรุปว่าแล้วแต่โอกาสที่เข้ามา และสำคัญที่สุดคือต้องหาคนทำงานแทนเราให้ได้ จากคุณ : ต่ายน้อยคอยรัก - [ 2 ธ.ค. 49 00:56:38 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมก็คิดเหมือนคุณต่าย ครับ ตอนนี้ธุรกิจที่ผมทำอยู่(ร้านทองร้านเล็กๆๆ) ก็เริ่มไม่ค่อยมีผลตอบแทนที่น่าสนใจซักเท่าไรแล้วกำลังมองหาพวกซื้อห้องชุดคอมโด ปล่อยเช่าอยู่เหมือนกัน จากคุณ : muk_22 - [ 2 ธ.ค. 49 09:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่องนี้คิดว่าแต่ละคนcommentไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราแบ่งเวลาได้หรือไม่ความสามารถในการบริหารงานและเวลาก็ต่างกัน ถ้าเป็นดิฉันก็ขอทำสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุดเพราะไม่ชอบทำแบบจับปลาสองมือกลัวจะหายไปหมด ขอเป็นกำลังใจให้แล้วกันนะคะ จากคุณ : jomoland (jomoland) - [ 2 ธ.ค. 49 10:35:59 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ลองดูจากคนที่ประสบความสำเร็จนะครับ 1. Bill Gate - ทำ Software ล้วนๆ 2. คุณเจริญ - มีเบียร์ช้าง, อสังหาฯ, ฯลฯ 3. Warren Buffet - เอาไข่ทุกใบมาใส่ตะกร้าใบเดียว 4. เครือสหพัฒน์ - มาม่า, เสื้อผ้า, เครื่องสำอางค์, ฯลฯ จากคุณ : ขอเป็นคนดีเพื่อสังคม - [ 2 ธ.ค. 49 11:00:17 A:61.47.109.58 X: TicketID:131282 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มองกันมุมไหนล่ะครับ ทันทีที่ลงทุน ก็คือมีความเสี่ยงแล้วครับ การลงทุนในกิจการสายงานอื่น ไม่ได้เป็นการลดความเสี่ยง หรือกระจายความเสี่ยงเลยนะครับ ยิ่งถ้าพูดถึงความเสี่ยงในเรื่องรายได้ หรือตัวเงิน อันนี้ไม่ได้ลดความเสี่ยง แต่ถ้าบอกว่า ถ้าอันหนึ่งเจ๊ง ยังมีงานอื่นให้ทำ เหมือนเราซื้อของจาก supplier เจ้า A ราคา 10 บาท เจ้า B ราคา 11 บาท ต้องการของสิบชิ้น ก็ซื้อจาก A 9 ชิ้น แล้วซื้อจาก B สัก 1 ชิ้น เผื่อวันหน้า A ไม่มีของ จะได้ขอซื้อจาก B ได้ โดยB ยอมขายให้ เพราะคบค้ากันมาก่อน แบบนี้คือกระจายความเสี่ยงของโอกาสที่จะขาดสินค้า การลดความเสี่ยง ส่วนใหญ่แล้ว มักต้องจ่ายเพิ่มเสมอ :P เพียงแต่เราจะจัดการอย่างไร สำหรับธุรกิจหนึ่งๆ การลดความเสี่ยง หมายถึง การเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจอยู่ได้ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งหลักๆเลยคือ ความสามารถในการคงสถานะของทรัพย์สิน และความสามารถในการสร้างกำไร ฟังดูวิชาการไปไหมครับ แต่อันนี้วิชาเกินครับ ผมนั่งเทียนเขียนเอาจากประสบการณ์นะ คนอื่นอย่าชวนทะเลาะต่อละกัน :P ความสามารถในการคงสถานะทรัพย์สิน คือทำให้มันไม่ลดมูลค่า เช่น.... ไฟไหม้ ทำให้สินทรัพย์ลด ถูกไหมครับ อันนี้ก็ต้องทำประกัน แน่นอนมีค่าใช้จ่าย แต่ลดความเสี่ยง โดนขโมย ทำให้สินทรัพย์ลด ถูกไหมครับ อันนี้ต้องทำรั้ว ทำอาคารปกปิด มียามเฝ้า ก็มีค่าใช้จ่าย แต่ลดความเสี่ยง การปรับปรุง- ซ่อมบำรุงอาคาร เพื่อให้อาคารยังมีมูลค่า การจัดอบรมพนักงาน การจ่ายเงินเดือนสูงๆ เพื่อให้พนักงานทำงานเก่งขึ้น อยู่กับเรานานขึ้น ล้วนแต่ลดความเสี่ยงของสภาพกิจการทั้งสิ้น อันนี้ผมรวมมูลค่าของพนักงานถือเป็นทรัพยากรอันมีค่าของกิจการด้วย เพราะเป็นกลจักรสำคัญที่ทำให้กิจการสร้างมูลค่าได้ ความสามารถในการทำกำไร เป็นเรื่องของการทำให้กิจการเติบโต อันนี้คิดว่าคงเข้าใจ กิจการที่กำไรได้มาก ก็จัดว่าเสี่ยงต่ำครับ ระบบบัญชี, การปล่อยเครดิตหรือค้าเงินสด ล้วนแต่มีผลต่อกำไรทั้งสิ้น และมีผลต่อการประเมินความเสี่ยง กลับมามองในแง่การเงินล้วนๆดูบ้าง การลงทุนในธุรกิจอื่น หรือการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ เป็นการบริหารความเสี่ยงของทรัพย์สินโดยรวมของคุณ ไม่ใช่การลดความเสี่ยงของกิจการ งงไหม??? คือถ้ากิจการหนึ่งจะเจ๊ง ไม่ได้หมายความว่า อีกกิจการจะเข้าไปพยุงมันได้ มันจะลากกันเจ๊ง ถ้าอันใดจะเจ๊ง ก็ต้องปล่อยมันไป คือแบบว่าไปไม่เป็นแล้ว ล้มแน่ๆ ขายไม่ได้เลย อันนี้ต้องยอม แต่ถ้ามันต้องการเงินอัดฉีดเข้าไป คุณต้องมีเงินที่หมุนมาใส่มันได้ นั่นเป็นเรื่องของการบริหารเงินสดในมือ หรือการบริหารทรัพย์สินส่วนตัว คุณอาจลงทุนในรูปแบบของหุ้น (ซึ่งซื้อง่ายขายคล่อง ความเสี่ยงสูงหน่อย) คุณอาจลงทุนในรูปของเงินออม (ความเสี่ยงต่ำ แปรเป็นเงินสดง่าย แต่กำไรต่ำ) คุณอาจทำประกันชีวิต (ความเสี่ยงต่ำ กำไรต่ำ แปลเป็นเงินสดแทบไม่ได้) คุณอาจซื้อที่ดิน (ความเสี่ยงปานกลาง ขึ้นอยู่กับทำเล กำไรสูง-ต่ำ ขึ้นกับทำเล เงินลงทุนสูง แปรเป็นเงินสดยาก) กรณีของคุณ ธุรกิจหลัก ทำเงินกำไรสูง ผลตอบแทนสูง แต่ต้องการเงินสดหมุนเวียนมาก (คาดว่าเป็นช่วงๆ) การดึงเงินมาทำอย่างอื่น ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ธุรกิจหลักนะครับ (ส่วนจะกระทบมากหรือน้อยไม่รู้) ธุรกิจที่กำไรขยายตัวหรือเติบโต ต้องการเงินอัดฉีดเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจกับขนาดที่เป็นอยู่ เคยซื้อของที่ละ 10 ชิ้น ขายได้วันละ 5 ชิ้น วันดีคืนดี ยอดขายเป็นวันละ 10 ชิ้น คุณอาจจะต้องซื้อทีละ 20 พอขายได้วันละ 20 คุณก็ต้องสต๊อกเข้ามาครั้งละ 40 ไม่ใช่แค่ 21หรือ 22 ทำบ้านจัดสรร เคยทำโครงการละ 5 หลัง ใช้เงิน 5 ล้าน กำไรมา จะทำโครงการ 20 หลัง ก็ต้องใช้เงินสดหมุนเวียนสูงขึ้น การดึงเงินสดออกมาทำอย่างอื่น ไม่เป็นผลดีแน่นอน พาลจะลากลงเหวทั้งคู่เอาง่ายๆนะครับ นอกเสียจากคุณทำกำไรมาระยะหนึ่ง กันเงินสำหรับธุรกิจเดิมไว้เพียงพอแล้ว จึงแตกไลน์ทำอย่างอื่นได้ ซึ่งนั่นก็คือการลงทุนเพิ่มเหมือนปกติทั่วไป ตราบใดที่ของเก่ายังทำกำไรได้สูงมากกว่าธุรกิจใหม่ และยังขยายได้อีก ก็ไม่มีความจำเป็นต้องแตกไลน์ นอกเสียจากที่เดิมเร่ิมทำผลกำไรต่อหน่วยลงทุนได้ลดลง เช่น ลงทุนไป 1 ล้าน ทำกำไรได้ปีละ 5 แสน ลงทุนเพิ่มไปเป็น 2 ล้าน ทำกำไรได้เป็นปี ละ 7 แสน แต่พอโตไปเรื่อยๆ รวมเป็น 10 ล้าน กลับทำกำไรได้ 1.5 ล้าน แบบนี้ ต้องนั่งคิดว่า จะปรับปรุงธุรกิจเดิมให้สร้างผลตอบแทนต่อหน่วยลงทุนได้สูงกว่านี้ไหม เช่นแตกบริษัทย่อยออกมา ถ้าปรับปรุงแล้วมีแนวโน้มไม่เข้าท่า จึงนำผลกำไรมาทำธุรกิจใหม่ ที่อัตราผลตอบแทนต่อหน่วย สูงกว่านั้น ขอต่ออีกหน่อย ลองเปรียบเทียบกับการซื้อหุ้นนะครับ หุ้น A เข้าตลาดราคา 10 บาท คุณซื้อไว้ 1 หน่วย พอผ่านไป 1 ปี มันเพิ่มเป็น 20 บาท น่าสนใจใช่ไหมครับ ได้มา 10 บาท แต่พอปีที่สอง มันวิ่งอยู่ที่ 20-22 ขึ้นๆลงๆ ชักไม่น่าสนใจ แต่ก็ทำกำไรได้อยู่ เราก็ซื้อๆปล่อยๆสัก 3 รอบ ได้มา 6 บาท พอปีที่สาม มันวิ่งอืดๆอยู่ที่ 23-24 ซื้อๆปล่อยๆ 3 รอบ ได้มา 3 บาท เอาล่ะ ได้เวลาชักกำไร 19 บาทที่ได้มา เอาไปซื้อหุ้นใหม่ตัวอื่นดีกว่าแล้ว อีก 10 บาท ก็ซื้อๆปล่อยๆในหุ้น A อยู่ เพราะมันยังมั่นคงทำรายได้สม่ำเสมอ หรือซื้อเก็บไว้เพื่อรอปันผล เพราะชัวร์ดี พอเห็นภาพนะครับ โชคดีครับ จากคุณ : kmin - [ 2 ธ.ค. 49 12:31:05 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมคิดว่าการทำธุรกิจแบบธุรกิจหลักธุรกิจเดียว (Focus) กับ ธุรกิจหลายๆประเภท (diversify) ก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป  ดังที่หลายท่านกล่าวไว้แล้ว  คงไม่มีสูตรสำเร็จ และก็อยู่ที่รายละเอียดด้วย แต่ผมขอเสนอความคิดดังนี้  ถ้าอยากรวยเร็ว  ให้โฟกัส  ซึ่งก็คือ  ความเสี่ยงสูง  แต่ผลตอบแทนจะสูงด้วย  แต่หากต้องการ play safe  ให้ทำแบบหลายๆธุรกิจ แต่เท่าที่ผมสังเกต  คนรวยๆมากๆที่เราคิดว่าเขารวยจากการทำธุรกิจหลากหลาย  จริงๆแล้ว  ก่อนที่เขาจะมาจับธุรกิจหลากหลาย  บริษัทหรือมหาเศรษฐีเหล่านั้น  ล้วนร่ำรวยมาจากธุรกิจหลักตัวเดียวก่อน  แล้วจึงไปกระจายความเสี่ยงทีหลัง  มันมีธุรกิจ major ของเขา  ที่ทุกวันนี้ก็ยังถือเป็นรายได้หลักของเขา  แทบไม่มีที่มีกิจการสองสามประเภทแล้วมีสัดส่วนเท่าๆกัน  (หมายถึงที่รวยมากจนเป็นที่รู้จักนะครับ)   อันดับหนึ่งของประเทศไทย  เจ้าสัวเจริญ  รวยจากธุรกิจน้ำเมาเป็นหลัก  (เหล้าก่อนและเบียร์ทีหลัง) อันดับสอง เจ้าสัวธนินท์  ซีพี  ตอนนี้มีบริษัทมากมาย  แต่ก็รวยมาหลักๆจากธุรกิจเกษตรและอาหารสัตว์   อันดับสาม  คุณเฉลียวอยู่วิทยา  รวยจากกระทิงแดงเป็นธุรกิจหลักเช่นกัน  ตอนนี้ก็คงทำธุรกิจอื่นเสริมเช่นกัน อันดับสี่ คุณทักษิณ  รวยจากโทรคมนาคม  ธุรกิจอื่นเป็นเรื่องรอง ส่วนที่รวยมากระดับโลกไม่ต้องพูดถึง  ส่วนใหญ่รวยและมีชื่อเสียงจากแบรนด์เนมหลักๆแบรนด์เดียว วอร์เรน  บัฟเฟต  ก็ไม่ได้ใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียวนะครับ  หลักการของบัฟเฟต  คือ  ใส่ไข่ไว้ในตะกร้าเพียงสองหรือสามใบ  แต่บัฟเฟตไม่ได้เป็นนักธุรกิจโดยตรง  แต่เป็นนักธุรกิจการลงทุน  บัฟเฟตเรียนรู้เรื่องหลักการลงทุนแทบจะอย่างเดียวตลอดชีวิต  บัฟเฟตมีหลักการอย่างหนึ่งว่า  จงจำกัดขอบเขตในสิ่งที่ตนรู้จักมันดีที่สุดแล้วลงทุนเฉพาะในธุรกิจนั้น  อย่าออกไปนอกสิ่งที่ตนรู้  หรืออาจจะเรียกว่าเป็นโฟกัสแบบหนึ่งก็ได้  แต่ไม่จำกัดแค่ธุรกิจตัวเดียว  แต่เป็นสองหรือสาม  ห้ามมากกว่านั้น หากมองตามหลักพิชัยสงคราม  ผมคิดว่า  ควรยึดที่มั่นเพียงแห่งเดียวให้มั่นคงก่อน  เมื่อมันแข็งแรง  หรือเติบโตมั่นคงเต็มที่แล้ว  จึงกระจายกำลังออกไป  ตอนนี้ธุรกิจเดิมของคุณจขกท.  ยังหมุนเงินไม่คล่อง  แสดงว่ายังมีปัญหา  ยังขาดเสบียง  ถ้าต้องเดินทัพอีก  ยิ่งจะไปกันใหญ่  สู้เก็บสะสมเงินทุนไว้สำหรับธุรกิจเดิมนี้ให้มั่นคงก่อนจะดีกว่า  หรือแยกเงินที่ได้มาเก็บเป็นทุนสำรองไว้  อย่าเอาไปเสี่ยงทั้งหมดครับ เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวนะครับ แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 49 19:21:32 จากคุณ : Jimmy Walker - [ 2 ธ.ค. 49 19:14:18 ]

ความคิดเห็นที่ 9 Thanks Kmin. I've learnt alot from your comment. It's useful.Also Jimmy.You are wise man.. จากคุณ : ทำด้วยใจรัก (ทำด้วยใจรัก) - [ 2 ธ.ค. 49 20:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แนวคิดผมขอ diversify ครับ ทุกวันนี้ทำตัวเล็กๆ แต่มีหลายๆขาไว้กันล้มดีกว่า   แต่ถ้าธุรกิจเก่ายังมี cashflow ไม่เป็นบวกเยอะๆ ผมไม่เห็นด้วยกับการมีธุรกิจเพิ่มนะครับ  ควรทำให้ core business มันนิ่งก่อน และควรต้องนิ่งมากพอที่จะรับการเซของธุรกิจตัวใหม่ในช่วงสองปีแรกด้วย  :) จากคุณ : @ Convent Rd. - [ 3 ธ.ค. 49 23:12:26 ]