ความคิดเห็นที่ 75
เรามีโอกาสได้เรียนจบแค่ ม.3 เอง และทำงานเป็นลูกจ้าง ขายของตามหน้าร้านแถววงเวียนใหญ่ สมัยนั้นเงินเดือนแค่ 800บ.(ปี2534) และเริ่มเปลี่ยนงานใหม่ ในปี 2535มาทำงาน ขายของตามห้างสรรพสินค้าฯลฯโดยเป็นพนักงานของบริษัทขายรองเท้าคัทชูสตรี เงินเดือน+com+o.t ก็ประมาณ4-5,000บ. ปลายปี 2535ก็ลาออกและเข้าบริษัทใหม่ ที่ใหญ่ขึ้นและที่นี่ทำรองเท้าส่งออกนอกและขายในไทยด้วย เงินเดือนรวมแล้วประมาณ 7,000ขึ้น เราทำงานที่นี่ได้เพียง 5 เดือนก็ได้เลื่อนตำแหน่งจากพนักงานขาย ไปเป็นsupervisorรับเงินเดือน+comจากห้างฯตามสายที่เรารับผิดชอบดูแลยอดขาย เดือนนึงรับเกือบ 20,000บ.ชีวิตสุขสบาย แต่แย่มากๆตรงที่ไม่รู้จักประหยัด ไม่เก็บเงิน ไม่ออมเงิน พอปี2537เกิดผิดหวังในความรัก กับผู้ชายซึ่งเราคิดว่าเขาดีและเราตกลงจะแต่งงานกัน แต่ก็ต้องเลิกกันก่อน เพราะเมื่อคบไปนานๆเราถึงรู้ว่า นิสัยเราเข้ากันไม่ได้(เขาเป็นคนitalia)และถึงกับทำให้เราทิ้งงานที่เรารักมากๆและเงินเดือนที่ดี หลังจากนั้นเราก็พบกับสามีชาวไทย(คนดีมากๆๆๆจริงๆ)และแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ พบกันแค่ 1เดือนเอง(แบบประชดชีวิต)และอยู่ด้วยกันมา 12ปีแล้ว มีลูกสาวและลูกชายด้วยกัน2คน และชีวิตลำบากมากๆเลย สามีตอนที่เจอกันใหม่ๆเขาค้าขายต้นไม้และรับจัดสวน เงินดีมากๆแต่ก็ต้องเลิกเพราะถูกโกงบ่อย และถูกไล่ที่ เลยต้องหาที่ขายต้นไม้ใหม่ แต่ก็ไม่ดี สามีเลยพากลับไปอยู่บ้านของเขาที่นครสวรรค์และไปเช่าที่เขาทำผัก แต่ก็เจ๊งเพราะน้ำไม่พอรดผัก ราคาผักก็ถูกมากๆ เลยเปลี่ยนอาชีพใหม่โดยพากันไปขายของพวกกิ๊บช็อบและของเล่นเด็กตามตลาดนัดใกล้บ้านและไกลบ้าน ตอนนั้นลูกยังเล็กมากๆทั้ง2คน ก็หอบไปด้วย(ไม่มีคนดู) เวลาจะให้กินนมทีก็มุดให้กินใต้ร้านที่ตั้งของขายนั่นแหละ วันนึงได้กำไรก็ประมาณ200กว่าบาทดีที่ไม่ต้องเสียค่าเช่าบ้าน รถก็มอไซค์เก่าๆเวลาไปขายของก็เอาลูกคนเล็กยัดเข้าในเสื้อ ให้ลูกดูดนมไปตลอดทาง คนโตตอนนั้น4ขวบก็นั่งเบียดกันไป ของที่เอาไปขายก็ยัดไว้หน้ารถ เหล็กที่ตั้งร้านขายของก็ผูกไว้ข้างๆรถอีกที นึกถึงสภาพตอนนั้นแล้ว..สงสารลูกมากๆทนขายของตลาดนัดได้ปีกว่าๆก็เข้าก.ท.ม อีกรอบ โดยสามีไปวิ่งวินมอไซค์ แต่ก็ไม่พอใช้เพราะหาคนเดียว บางทีแทบไม่มีข้าวหุงให้ลูกกินไปโรงเรียน ทนลำบากอยู่ได้4เดือน ทีนี้เราขอลุยเองเลยไปสมัครงานเป็นพนักงานขาย ของห้างใหญ่ย่านปิ่นเกล้า เงินเดือนรวมแล้ว 5,000กว่าบาท และสามีก็ไปทำงานห้างฯแถวชิดลม เดือนนึงรวมกันก็รับประมาณ 13,000-18,000บ.(สามีรับเยอะกว่า) ลูกทั้ง2ก็เช่าบ้านและตามแม่มาช่วยเลี้ยงให้ หักค่าเช่าบ้านและค่ารถ ค่ากิน ค่าเรียนของลูกแล้ว 2ปีแรกอยู่กันแบบสบายๆพอหลังๆทางห้างเปลี่ยนระบบให้พนักงานรับคอมน้อยลง พวกเราก็เริ่มแย่บางเดือนก็แทบไม่พอใช้ ทำให้เราเริ่มเป็นหนี้นอกระบบ และสามีต้องลาออกจากงาน เพราะรายรับไม่พอกับรายจ่าย และหาอาชีพใหม่ทำ ตอนแรกก็ขายไก่ชนบ้าง เก็บและรับซื้อของเก่าตามบ้านคนบ้าง แต่ก็ไม่ไหว สุดท้ายก็เลยลองทำกังหันลม จากกระป๋องน้ำอัดลมดู แล้วก็ไปฝากทางพ่อแม่ของสามีขาย(พ่อแม่ของสามีมีหน้าร้านขายต้นไม้ )ก็ปรากฏว่าขายดีมากๆๆวันนึงทำแทบไม่ทันเลย และก็เริ่มเปลี่ยนแบบ จากกระป๋องเป็นขวดpolalisลงสี และเปลี่ยนเป็นไม้อัด ลงสี ตอนแรกทำแบบไม่มีตัวโยก เครื่องมือก็ไม่ค่อยมี แต่หลังจากที่เปลี่ยนจากไม้อัดมาเป็นไม้สัก(เพราะไม้อัดเวลาตากแดดนานๆจะกรอบและผุ โดนฝน ไม้ก็จะบวมและเป็นเชื้นราง่าย) แทน ยอดขายก็เริ่มเยอะขึ้นและสามารถขยายร้านให้ใหญ่ขึ้น มีลูกค้าเริ่มตามหาและสั่งของมากขึ้น และสามีเลยสั่งให้เราออกจากงานห้างฯและหาติดต่อลูกค้าเอง ตอนแรกๆเรา2คนยังไม่มีรถใช้(มอไซค์ขายกิน ตอนอดสุดๆ) เราก็นั่งรถเมล์ และลงเดินหาลูกค้าแถวร้านขายต้นไม้และขายกระถาง ย่านบางใหญ่ บางบัวทอง และสวนจตุจักร ลูกค้าเริ่มสั่งกังหันเรามากขึ้น เราก็เลยเช่าตึกแถวและหาลูกมือมาช่วย ปีเดียวเราซื้อรถเก๋งเก่าๆได้คันนึง ในราคา 60,000บ.(ลืมเล่าตอนแรกๆนั่งTAXIส่งของ)และตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นกะบะ(เก่าๆแล้ว) คาดว่าต่อไปคงจะหาใหม่ๆมาขับได้บ้าง และปัจจุบัน เราก็ยังคงเช่าบ้านเขาอยู่ แต่เราสามารถรับลูกและพ่อแม่ของเรามาอยู่รวมกันได้หลังจากทิ้งลูกให้เป็นภาระท่านมาหลายปีแล้ว(โดยไม่ได้ส่งค่าเลี้ยงดู) และทุกวันนี้เวลาเรา2คนว่างจากงานกังหัน เราก็ยังคงหาต้นไม้ไปขายตามตลาดนัดอยู่ เป็นรายได้เสริมไง และเริ่มประหยัดแล้วค่ะ ขี้เหนียวอีกต่างหาก ลูกจะขอตังค์กินขนมที ขอจนเมื่อย มันมีบทเรียนมาแล้วไง เบื่ออ่านยัง งั้นพอจ้ะ
จากคุณ :
กวาง (kunghunmaisak)
- [
23 ม.ค. 50 14:06:14
]
|
|
|