 ลองของ
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จข้อหนึ่งของ ริชาร์ด แบรนสัน คือ Size
does matter อันประกอบไปด้วย ความคิดสร้างอาณาจักรด้วยตัวเอง
การทำให้ทุกสิ่งเป็นเรื่องง่าย การตัดธุรกิจออกเป็นการสแตนอะโลน
ความคิดที่ทำสำนักงานใหญ่ให้เล็ก ๆ
ไปจนถึงการตอบรับทุกแผนธุรกิจที่มาถึงโต๊ะ
ถ้าจำตำนานบ้านบนเรือ หรือการประชุมระหว่างอาบน้ำ (แช่ในอ่าง)
โต๊ะประชุมสมัยก่อนเข้าตลาดหุ้น ควรจะเป็นตำนานหรือไม่
ถ้าพวกเขานิยมประชุมบนโต๊ะกินข้าวบนเรือ
แน่นอน ความคิดสู่ตลาดหุ้นคงเป็นไปไม่ได้แน่
ถ้าเป็นรูปแบบการบริหารในแบบของแบรนสันนั้นยังคงเดิม
ด้วยวิกฤติธนาคารเคาต์แท้ ๆ จนมี ดอน ครุคแช็งค์
เข้ามารับหน้าที่เป็น กรรมการผู้จัดการ คอยจัดระเบียบ
ซึ่งลองนึกย้อนภาพไปตามที่ ริชาร์ด เล่า แล้วขำมาก เพราะ ดอน
ครุคแช็งค์ เป็นคนเดียวในสำนักงานของ เวอร์จิ้น
ที่ไม่ยอมเข้าเมืองตาหลิ่วเลยสักนิด เขามาทำงานด้วยยูนิฟอร์ม
ผูกเนกไท ใส่สูท
แล้ว ดอน ก็ดึง เทรเวอร์ แอบบ็อท เข้ามานั่งในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการทางด้านการเงิน ทำให้ เวอร์จิ้น ที่ยุ่งสุมเป็นรังหนู
แต่มีกิจการสายการบินของตัวเอง
กำลังจะได้รับการสะสางครั้งใหญ่ด้วยมืออาชีพ
แต่ภายใต้สิ่งสุมรกรุงรัง เปิดใต้พรม
คือเงินรายได้นับร้อยล้านปอนด์ ซึ่งทำให้สองมือดีนี้
ตกใจมากกับการบริหารของ แบรนสัน ว่าทำได้ไง
อีกทั้งสำนักงานแห่งนี้ไม่มี คอมพิวเตอร์!!!!!
ดอน และ เทรเวอร์ เดินหน้าปิดบัญชีที่ ธนาคารเคาต์
และหาแหล่งกู้ได้เบิกเกินบัญชีถึง 30 ล้านปอนด์ ปิดบางส่วนไป
คงบางส่วนไว้ แล้วตบแป้งแต่งลิปสติกเข้าตลาดลอนดอน สต็อก
เอ็กเชนท์ ไปลองของดูสักทีให้มันรู้กันไป
สิ่งหนึ่งที่ริชาร์ดภาคภูมิใจในตัวเอง คือ
ความเป็นนักสร้างอาณาจักร
เขาเปิดเผยในนิตยสารเล่มหนึ่งว่า เขาคือนักก่อตั้งบริษัท
โดยเขาจะมีทีมคอยดูแผนธุรกิจที่มีผู้เสนอเข้ามาถึงสัปดาห์ละกว่า
50 รายเลยทีเดียว
จากนักธุรกิจที่ไม่ใช้คอมพิวเตอร์ แต่ใช้จดลงบนฝ่ามือ
และสมุดเล่มเล็ก กำลังจะเข้าไปในตลาดหุ้น เพราะมองเห็นด้านดีว่า
ทำให้มีการระดมทุน และมีเงินพอที่จะไปลงทุนใหม่ ๆ แปลก ๆ ของเขา
อีกทั้งจะทำให้งบดุลมีตัวเลขสวย ๆ เพื่อสนอง NEED
นักธนาคารผู้คลั่งไคล้ตัวเลขมากหลัก
ซึ่งจะเป็นหลักประกันชั้นดีเวลาจะขอกู้เงิน
แน่นอนจะได้หลุดพ้นจากการตามหลอกหลอนของธนาคาร
ไหนจะคิดเผื่อแผ่หุ้นไปถึงพนักงาน
ไปจนถึงภาพพจน์อันดีงามของเวอร์จิ้น
รวมถึงการแอบความคิดอยากซื้อค่ายเพลงใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ธอร์น
อีเอ็มไอ ไว้ในใจ
(ซึ่งต่อมาด้วยเงื่อนไขทางเทคนิคกลายเป็นต้องขาย เวอร์จิ้น
เรคคอร์ด ให้ ธอร์น อีเอ็มไอ)
เพราะเขาคิดอยู่เสมอว่า
เวอร์จิ้นเป็นค่ายเพลงที่คนจดจำแต่ศิลปิน แต่ไม่มีใครจำชื่อ
เวอร์จิ้น แม้แต่น้อย
ภาวะผู้นำในตอนนั้น เขาจึงคิดถึง การมีส่วนร่วม
คือการเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อให้คนจดจำแบรนด์เวอร์จิ้น
ซึ่งต่อมากลายเป็นหัวข้อเคล็ดลับ Smile for the cameras นั่นเอง
ริชาร์ด เลือกแล้ว ที่จะวางข่าวของ เวอร์จิ้นไว้บนหน้าหนึ่ง
ไม่ใช่แค่ข่าวธุรกิจอยู่ภายใน แถมไม่มีภาพอีกต่างหาก
เหล่านี้มองในแง่วิเคราะห์การพัฒนาความเป็นผู้นำได้ว่า
เป็นการพัฒนาขึ้นมาจากประสบการณ์ถูกสั่งสอนจากครอบครัว
และสั่งสมด้วยตัวเอง
ก่อนเข้าตลาดหุ้นเขาคิดแล้วคิดอีกถึงข้อดีจำนวนมากมาย
จนทำลืมข้อเสียเรื่องใหญ่ คือต้องสูญเสียอิสระไป
แม้จะเริ่มเห็นลางร้าย (แต่เหยียบไว้ก่อน) ที่ ครุคแช็งค์
คนใส่สูทคนเดียวของสำนักงาน ชักจะกระดี๊กระด๊า
กับเก้าอี้ประธานกรรมการของบริษัทมหาชนมากจนเกินเหตุ!!
ปิดท้ายปลายปี 1985 ริชาร์ด ได้รับรางวัล บิสสิเนส
อินเตอร์ไพรส์ อวอร์ด พอรุ่งอรุณในปี 1986 ริชาร์ด เอาเวอร์จิ้น
บางส่วนเข้าตลาด London Stock Exchange ซึ่งส่วนที่นำเข้าไปนี้
เรียกว่า เวอร์จิ้นกรุ๊ป อันประกอบด้วย ส่วนดนตรี ค้าปลีก
อสังหาฯ และส่วนสื่อสารมวลชน
แต่เก็บส่วนของรักของหวง เวอร์จิ้น วอยยาเจอร์ เอาไว้
อันประกอบด้วย แอร์ไลน์, ไนต์คลับ , เวอร์จิ้น ฮอลิเดย์
และบริการเกี่ยวกับการบินทั้งหมด
ฮันนีมูนของ แบรนสัน ในตลาดหลักทรัพย์
จึงเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...
****ปรารถนา รัตนะสิทธิ์ จบการศึกษาระดับปริญญาโท
โดยศึกษาวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับการพัฒนาภาวะผู้นำของ เซอร์ ริชาร์ด
แบรนสัน ปัจจุบันดูแล เวบไซต์สารคดีเกี่ยวกับภูมิปัญญาตะวันออก
และ ท่องเที่ยวทวีปเอเชีย www.themeAsia.com |