 ชื่อ 'เวอร์จิ้น' นี้ ท่านได้แต่ใดมา
ฉับพลันเมื่อหันหัวคิดจะเข้าสู่ เมล ออเดอร์ ริชาร์ด แบรนสัน
จึงมองหาชื่อใหม่ ให้ติดตา เกาะหู และต้องเจาะทาร์เก็ตกรุ๊ป
มากกว่ากลุ่มนักเรียนนักศึกษา
อีกทั้งต้องเป็นชื่อที่พร้อมเข้าสู่ธุรกิจอย่างอื่นด้วย
จากชื่อ สติวเดนท์ ที่กว่าจะลงล็อก
ก็คิดกันมาหลายตลบ หลังจากโยนให้เพื่อนๆ ทีมงานช่วยกันคิด
ผลิตชื่อใหม่ เช่นเคย หลายๆ ชื่อหมุนเปลี่ยนเวียนวนเข้ามา
จนมาหยุดที่ สลิปดิสค์ ชื่อหนึ่งที่เกือบๆ จะมาวิน
ถ้าไม่มีสาวน้อยคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยเสนอไอเดียบรรเจิด
นอกจากชื่อจะโดนแล้ว ยังมีเหตุผลที่ถูกใจ ริชาร์ด เป็นที่ยิ่ง
Whats about -Virgin? Were complete virgin about at
business?
And there arent many virgin left around here
โดยมีสาวๆ คนอื่นเสริมขึ้นมา พร้อมหัวเราะคิกคัก
It would be nice to have one here in name if nothing else
เยี่ยมมาก งั้นเอาชื่อเวอร์จิ้นนี่แหละ
ริชาร์ดตัดสินอย่างเร็วเฉียบพลันดังเคย
นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของ เวอร์จิ้น แบรนด์
ที่ถือกำเนิดจากห้องฝังศพใต้โบสถ์ ถนนอัลเบียน
จนเข้ามาอยู่ในตลาดและยิ่งใหญ่ตราบทุกวันนี้
ตอนนั้นเขามองทะลุเลยไปถึงว่า นอกจากธุรกิจนี้
นอกจากจะทำรายได้เพื่อเสริมส่ง นิตยสาร สติวเดนท์แล้ว
ยังสามารถโฆษณาแผ่นเสียงผ่านทาง สติวเดนท์ ได้อีกด้วย
เขาจึงพยายามอีกเฮือกในการนำ สติวเดนท์
ไปเสนอขายกับกลุ่มนิตยสารอื่น โดยมีกลุ่มไอพีซี สนใจ
แต่พอในวันนัดคุย เขาดันหลุดปาก
เผลอใจเปิดความนัยส่วนลึกออกมาหมดเปลือก
ไม่ว่าจะเป็นโครงการกิจกรรมการท่องเที่ยวดีๆ
สำหรับนักเรียนนักศึกษา ด้วยบริการรถไฟ
หรือสายการบินสำหรับนักเรียนนักศึกษาโดยเฉพาะ
หรือการตั้งธนาคารที่ไม่ขูดรีด สำหรับนักเรียน
(จึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้ มี เวอร์จิ้น มันนี่ เวอร์จิ้น เรล และ
เวอร์จิ้น แอร์ไลน์) จนทำให้เจ้าของหนังสือเหล่านั้นอึ้ง ตาค้าง
กับภาพเด็กบ้าคนหนึ่งกำลังพล่ามความฝันอันน่าเหนื่อยหน่าย
อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
และตั้งตารอว่าเมื่อไหร่มันจะหยุดพล่ามซะที!
แน่นอนหลังการร่วมประชุมในวันนั้น ความฝันของสติวเดนท์
ที่จะออกมาเป็นหนังสือเล่มๆ และกิจกรรมในฝันเหล่านั้น
จึงนอนรอคอย ริชาร์ด แต่เพียงผู้เดียวอยู่บนหิ้งต่อไป
ภาพชีวิตความเป็นอยู่ของแบรนสัน ที่ 44 ถนนอัลเบียน
เขาทำงานอยู่บนเตียง เรียกว่าใช้ชีวิตอยู่บนเตียงมากกว่าที่อื่นๆ
แม้จริงๆ แล้ว เขาคือคนที่ทำงานได้ทุกแห่ง
พร้อมสมุดโน้ตหนึ่งเล่มไว้บรรจุแผนการเด็ดๆ ไม่ว่าจะนั่งที่ไหน
พร้อมเป็นเจ้าของคำคมๆ ที่ว่า ความคิดดีๆ
ไม่จำเป็นต้องมาจากห้องประชุม แต่อาจมาจากผับเวลาตี 2 ก็ได้
เวอร์จิ้น เมล ออเดอร์ แม้ว่าจะจับตลาดถูกพอสมควร
กับราคาขายแผ่นที่ 35 ชิลลิ่ง ตัดราคา W. H.Smith
เจ้าเก่าซึ่งขายอยู่ที่ 39 ชิลลิ่ง
มีเพื่อนฝูงทีมงานประมาณยี่สิบคน หมุนเวียนเปลี่ยนกัน
ไปแจกใบปลิวหน้างานคอนเสิร์ต ตามถนนออกซ์ฟอร์ด
และข้อดีของธุรกิจนี้ก็คือ ได้รับเงินจากลูกค้าก่อน!
แต่ภาระตกหนักทั้งหมด กลับตกที่ ริชาร์ด คนเดียว
เพราะเมื่อมียอดออเดอร์มาท่วมท้น
กลับไม่มีใครช่วยเหลือเขาได้อย่างที่ต้องการ ในเวลาหนักหนาสาหัส
เขากลับคิดถึง นิค เพาเวลล์
ซึ่งแม้จะเคยมีความขัดแย้งอันเป็นความเจ็บปวดครั้งแรกในชีวิตของแบรนสัน
แต่เขายังคงรู้สึกว่า นิค เป็นเพื่อนอยู่เสมอ
ด้วยการคบหากันมายาวนาน แบรนสันจึงไม่รอช้าเสนอหุ้นของธุรกิจ
60-40 ให้กับ นิค ซึ่ง นิค เองก็พึงพอใจ
และ ริชาร์ด ก็คิดไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว
เพราะนิคเป็นคนละเอียดลออกับเอกสาร
รวมทั้งดูแลเรื่องการรับ-จ่ายเงิน ระยะเวลาการใช้โทรศัพท์
(ควรจะคุยแค่ธุระเท่านั้น) หรือเรื่องการจ่ายเงิน (หนี้)
ก็จะยึดหลัก จ่ายช้า (ดีกว่าไม่จ่าย) แต่สม่ำเสมอ
โดยทั้งสองถือเป็นคีย์แมน เป็นพนักงานประจำ ในขณะที่คนอื่นๆ
จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาด้วยอัตราค่าจ้างราคาเดียวคือ 20
ปอนด์ต่อสัปดาห์
เมื่อ นิค กลับมา ทำให้ตลอดปี 1970 กิจการ เวอร์จิ้น เมล
ออเดอร์ เจริญงอกงามโตวันโตคืน ความฝันทั้งหลายทั้งปวงของแบรนสัน
เริ่มผลิดอกออกผลพวงงดงาม |