ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าคุณส่ง สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ไปประเทศสหภาพยุโรป 25ประเทศ ต้องใช้หนังสือรับรองการส่งออกสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (C/O TEXTILE) โดยสินค้าไม่ได้แยกเป็นชนิดผ้า แต่แยกเป็นประเภทสินค้า / เพศ เช่น T-SHIRT , DRESS , SKIRT , JACKET , MEN'SHIRT , LADIES SHIRT พวกนี้จะแยกเป็นแต่ละรายการสินค้า (แยกเป็นใบแหละ) แต่ถ้าไปประเทศอื่นเช่น อเมริกา (แต่ละประเทศก็มีข้อกำหนด แต่โดยมาขอหนังสือรับรองทั่วไป C/O ทั่วไป) ตอนนี้ไม่ต้องขอหนังสือรับรอง ไปถึงสินค้าเป็นอะไรก็เสียภาษีตามนั้น ยกเว้นแต่บรรลุข้อตกลง เอฟทีเอ ไทย-อเมริกา นั้นแหละถึงต้องทำตามกฎระเบียบ ถ้าเป็น C/O TEXTILE ใบละพัน ถ้าคุณส่งสินค้าชนิดเดียวกัน ในปริมาณมากๆ ราคามันก็ไม่แพง แต่ถ้าส่งอย่างละหน่อย กำไรที่ได้ เอามาจ่ายพวกนี้หมด ประตูน้ำ สมัยที่มีโควต้า คิดกันเป็นตัวเลยครับ (อันนี้ผิดกฎหมาย) จริงๆตอนนี้ก็ยังมีคนหลงไปซื้อฟอร์มประเภทนี้อยู่ ......ถ้าต้องการยื่นขอเอง................. ขั้นตอนการยื่นก็ประมาณนี้ กรณีที่คุณส่งสินค้า ในนามของคุณ เช่น บริษัท , ห้างหุ้นส่วนจำกัด , ร้านค้า ผมแนะนำให้คุณไปทำบัตรประจำตัวนำเข้า-ส่งออก -หนังสือรับรอง -บัตรประชาชนกรรมการ -ภพ. 20 หรือ ภพ.09 หรือ ภพ.01 จากนั้น ก็ไปขอหนังสือรับรองเองเลยก็ได้ ช่วงใหม่ๆอาจจะยากหน่อย แต่ถ้าเป็นแล้วก็ไม่ยากนัก ฟอร์มออกสินค้าบางอย่างก็นำใบขนสินค้าขาออกมารายงาน เช่น T-SHIRT , SWEATER , PANTS(WOVEN) , DRESS ภายใน 15วัน หลังขอฟอร์มในเดือนถัดไป ต้องนำ ภพ.30มาแสดง (เป็นการป้องกันการขอหนังสือรับรองไปขาย เหมือนข้างบนที่บอก เขาต้องการดูว่าเรามียื่นรายได้(เคลื่อนไหวหรือเปล่า) ...................... ถ้าไม่สะดวก ก็พยายาม เลือกสินค้าที่ส่ง และส่งในปริมาณมากหน่อย แล้วให้เขาขอให้ ผมว่าคุ้มกว่า ส่งออกในนามบริษัทขนส่ง เขามีค่าใช้จ่ายอื่นๆ คนวิ่งเอกสาร คนทำเอกสาร (ทำกรณีเดียวกับที่บอก) ........................ สงสัยโทร 1385 ครับ หรือ ติดต่อ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สนามบินน้ำ ..................... ส่วนค่ารมควันลังไม้ ไม่ทราบ ลองโทรถามหลายๆเจ้าเทียบดู ......................... กรณีขอหนังสือรับรองทั่วไป หรือ จะขอ ซีโอหอการค้า ถ้าใบละ 1000 ถือว่าแพงเหมือนกัน แต่ก็ขอแค่ใบเดียวอ่ะ สินค้ามันรวมกันได้ (ส่งพวก ดีเอชแอล ประจำจะคิดประมาณ 200-300 (ค่าฟอร์ม)) แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 50 01:26:06 แก้ไขเมื่อ 12 พ.ค. 50 01:13:42 จากคุณ : ใบหูมังกร - [ 12 พ.ค. 50 01:08:56 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แปะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอลุกขึ้นปรบมือให้คุณใบหูมังกรหน่อยคะ...สุดยอดความรู้จริงๆ ขออนุญาตเอาความรู้ในกระทู้นี้ไปแปะใน webboard  BFC ได้มั้ยคะ ^_^ จากคุณ : น้อง(ของ)หมา - [ 12 พ.ค. 50 08:44:56 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าต้องการขอเอง หลังจากทำบัตรเรียบร้อยแล้ว -ซื้อแบบฟอร์มเปล่า C/O TEXTILE พร้อม สท.6 -INVOICE -B/L OR AIRWAY BILL รับรองสดโดยผู้ออกเอกสาร -ใบเสร็จผ้า กรณีที่เป็นโรงงานผู้ผลิต  หรือใบกำกับภาษี + จดหมายรับรองจากทางผู้ขาย  หรือ บิลเงินสด + จดหมายรับรองจากผู้ขาย + บัตรประชาชนเจ้าของร้าน -แบบแสดงสถานที่ผลิต ระยะเวลาการขอ 1-2วันครับ จากคุณ : ใบหูมังกร - [ 12 พ.ค. 50 14:18:04 ]

ความคิดเห็นที่ 4 คุณ ใบหูมังกร กับคุณ Onceฯ เป็นคนเดียวกันใชไหมค่ะ ชอบอ่านที่คุณเอาเรื่องดีๆ มาโพสต์ค่ะ  อ่านแล้วได้กำลังใจดีจัง อ่านเรื่องเอกสารการส่งออกที่คุณกรุณาอธิบายได้ละเอียดยิบ แต่ขอรบกวนถามเรื่องเอกสารการปิดคอนโซล เป็นสินค้าประเภท ข้าวสาร อาหารแห้ง  ส่งเข้าข้าประเทศในกลุ่มอียู ไม่ทราบว่าทำเอกสารยากไหมคะ   การให้ลูกค้าเปิด L/C   มีขั้นตอนอย่างไรคะ   และจะได้เงินเมื่อไหร่   การขอเงิน ADVANCE  ต้องขอกี่เปอร์เซ็น  (ถึงจะไม่เสี่ยงมาก) และ การโค๊ดราคา  ให้ทำเป็น FOB  หรือ C&F  หรือ  CIF   ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 12 พ.ค. 50 21:39:31 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สวัสดีครับ คุณกาสะลองฯ ใช่ครับ สิ่งที่คุณถามมาผมไม่ค่อยมีประสบการณ์หรอกครับ เพราะผมไม่ได้ทำส่วน export ผมทำงานอิสระ ในการติดต่อขอเอกสาร หนังสือรับรองการส่งออก ขอสิทธิพิเศษทางภาษีต่างๆ และขอแบบฟอร์มนำเข้าสินค้าที่ต้องขออนุญาต เช่น หิน,รถยนต์เก่าใช้แล้วปรับสภาพเพื่อการส่งออก ฯลฯ ฉนั้นผมเป็นเหมือนแค่่ส่วนหนึ่ง(ฟันเฟือง)ของระบบงานชิปปิ้งนะครับ บางอย่างผมก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ จะถนัดแต่เรื่องเอกสารขออนุญาตของกรมการค้าต่างประเทศเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนข้างบนมันเป็นงานถนัดของผม ลูกค้าผมจะเป็นบริษัทส่งของที่จตุจักร,ฟอร์เวิร์ดเดอร์ และส่วนใหญ่ก็ส่งเสื้อผ้าให้ (เผลอๆที่ จขกท.ไปถามอาจจะเป็นบริษัทลูกค้าผมก็ได้) ราคาที่บอกถึงบอกว่าไม่แพงเพราะผมรู้ราคาที่ผมคิดกับทางบริษัทเหล่านั้น และสามารถลดต้นทุนบางส่วนได้หากส่งของชนิดเดียวกัน (อันนี้ไม่ได้โฆษณานะ อย่าลบคห.ผม ผมถือว่าในห้องนี้คือเพื่อน ฉะนั้นติดปัญหาในส่วนนี้ปรึกษาผมได้ฟรีครับ ไม่คิดเงิน) ................................................. ส่วนคำถามคุณกาสะลองฯบางส่วน ขออนุญาตตอบเฉพาะส่วนของผมนะครับ เมื่อคุณต้องการส่งสินค้าทางการเกษตรไปยังสหภาพยุโรป ให้ดู L/C เป็นหลักว่าลูกค้าให้ขอฟอร์มประเภทไหน C/O ทั่วไป หรือ FORM A C/O ทั่วไป ก็ แนบเอกสาร INVOICE + B/L OR AWB. พิมพ์ฟอร์ม แล้วดูว่าใน L/C ให้ระบุอะไรลงในฟอร์มหรือไม่ เช่น L/C NO. XXXXXXXXXXXX DD:XX/XX/XX ส่วนฟอร์มเอ ก็แนบเหมือนข้างบน(เฉพาะสินค้าเกษตร พืชผัก , อาหาร เนื้อสัตว์ พิกัด 01-24) แนบเอกสาร "แบบขอรับการตรวจคุณสมบัติของสินค้าทางด้านถิ่นกำเนิดเพื่อใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร (สินค้าพิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 01-24)" รายละเอียดดูกระทู้นี้ (คล้ายกัน แต่เป็นฟอร์มดี) http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B5347237/B5347237.html หากสินค้า ที่พิกัด 25 ขึ้นไป ต้องไปยื่นต้นทุนการผลิตเสียก่อน เมื่ออนุมัติแล้วให้ถ่ายใบต้นทุนนั้นแนบในการขอ(พิกัด 01-24 พิมพ์แล้วแนบ พิกัด 25up ยื่นตรวจสอบ ถ่ายแล้วแนบ) ส่วนสินค้าที่ขอฟอร์มเอ(เพื่อลดภาษีขาเข้า) ไม่ได้ ได้แก่ เครื่องประดับ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า (อีกอันของที่ทำด้วยไม้ หรือเปล่าไม่แน่ใจ ลองโทรถาม 1385 อีกที) กลับมาที่คุณกาสะลองฯต่อ อีกสองเรื่องที่คุณต้องทำคือ ดูว่า L/C มันหมดอายุเมื่อไหร่หนอ ได้ฟอร์มแล้วก็เตรียมเอกสาร(ถามแบงค์) แล้วเอาไปแลก(หรือเขาเรียกว่าขายตั๋ว) สินค้าอาหาร คิดว่าต้องติดต่อ อย.ด้วยนะ ลองถามชิปปิ้งดูก่อนส่ง (จริงๆทั้งหมดเนี่ยใช้ชิปปิ้งทำทั้งหมดก็ได้ เพียงบอกเขาด้วยว่าลูกค้าเปิด L/C เพราะในการทำใบตรานำส่ง จะได้ระบุ ตาม L/C) มีหนังสือเล่มนึงอยากแนะนำ คนอาชีพชิปปิ้ง หรือคนทำงานตำแหน่งที่เกี่ยวข้องในบริษัทส่งออก คู่มือธุรกิจ นำเข้า-ส่งออก เขียนโดย ประสาธน์ เกียรติไพบูลย์กิจ หาได้ที่ บี2เอส ราคา 320 บาท เป็นหนังสือที่ผมอ่านแล้วเข้าใจง่ายดี รู้เลยว่าคนเขียนมีประสบการณื(ภาคปฏิบัติจริงๆ) ผมซื้อเล่มที่สอง พิมพ์ครั้งที่ 5แล้ว จากคุณ : ใบหูมังกร - [ 12 พ.ค. 50 22:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ จะซื้อหนังสือที่คุณใบหูมังกรแนะนำไว้อ่านสักเล่ม  คิดว่าคงมีประโยชน์กับอาชีพมากทีเดียว เคยทำ forward agent  ค่ะ  แล้วก็เลยเกิดของขึ้น อยากมาเป็น shipper เอง  แล้วก็สมใจนึกค่ะ เปลี่ยนมาสวมหมวกแม่ค้า  ซื้อมา ขายไป แต่ค้าขายกับตลาดโลก  ไม่ง่ายอย่างที่คิดนะคะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัดสินใจทำลงไป หมายถึงการลงทุนที่เราไม่อยาก Take risk แต่กฏ ระเบียบของโลกที่เราต้องศึกษา  เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่าเอกสารการส่งออกที่เราควรรู้ สิ่งที่คุณใบหูมังกรแนะนำมา  เป็นประโยชน์สำหรับผู้ส่งออกมากค่ะ  เพราะเป็นสิทธิของผู้ส่งออก ในการขอคืนภาษี  เท่ากับเป็นการลดต้นทุน  และเพิ่มผลกำไรนั่นเอง อย่างไรเสีย คงต้องขอรบกวนปรึกษาคุณใบหูมังกรเป็นระยะแล้วละค่ะ   แล้วอย่าลืมมาตอบนะคะ :-) จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 14 พ.ค. 50 22:50:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "สิทธิของผู้ส่งออกในการขอคืนภาษี" ผมอาจจะอธิบายไม่ถี่ถ้วน เอาใหม่ ฟอร์มที่เราขอ ผู้ที่ได้ประโยชน์คือลูกค้าครับ เอาฟอร์มไปลดภาษี ไม่ใช่ผู้ส่งออก (ส่วนของผู้ส่งออกต้องถามชิปปิ้งอีกที มีหลายวิธี) เราได้ประโยชน์ในทางอ้อมๆเท่านั้น สำหรับฟอร์มที่ลดภาษี มันมีหลายๆกรณี 1.กรณีคุณเจอลูกค้า ที่สั่งซื้อของในประเทศไทยและขอฟอร์มอยู่ก่อนแล้ว อันนี้ก็จะบังคับคุณให้ขอฟอร์ม หากเราขอไม่ได้(อันเนื่องจาก ไม่สามารถยื่นต้นทุนได้ เนื่องจากซื้อมาขายไป และไม่ได้ซื้อผ่านระบบภาษีอย่างถูกต้อง , ไม่ได้เป็นผู้ผลิต ทางผู้ผลิตสินค้า ไม่ให้ความร่วมมือกับเราเพราะเกรงว่าเราจะรู้แหล่ง รู้สูตร) ลูกค้าอาจจะไปโรงงานอื่นก็ได้ 2.กรณีลูกค้าซื้อขายกับเราอยู่ก่อนแ้ล้ว และเราขอฟอร์ม C/O ทั่วไปประจำ (ภาษีนำเข้าปกติ) แต่ลูกค้าไปเจออีกโรงงาน(หรือประเทศเพื่อนบ้าน) ซึ่งราคาถูกกว่า แต่ไม่แน่ใจในฝีมือการผลิต เขาอาจจะมาต่อราคาคุณก็เป็นได้ ซึ่งคุณจะเก็บการขอฟอร์ม(พวกสิทธิพิเศษ) เอาไว้เป็นข้อต่อรองสุดท้ายก็ได้ ในกรณีที่เราไม่ต้องการลดราคาให้เขา 3.บริษัทที่สามารถขอฟอร์มสิทธิพิเศษทางภาษี จะได้เปรียบกว่า บริษัทที่ไม่สามารถขอฟอร์ม ............................. อีกเรื่องที่อยากแนะนำ ให้ศึกษาไว้คือ การเจรจาต่างๆทั้ง เอฟทีเอ ไทย-ประเทศต่างๆ และการเจรจาในรูปแบบใหม่ๆเป็นกลุ่มๆ เช่น จีน-อาเซียน ฯลฯ ถ้าเราเป็นบริษัทนำเข้า-ส่งออก เราสามารถเห็นประโยชน์ ทั้งจากการนำเข้า(จากประเทศคู่ค้า) และการส่งออก (จากบ้านเรา) โดยผ่านข้อตกลงดังกล่าว สามารถหาข้อมูลได้ ตามหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ประชาชาติ และ ฐานเศรษฐกิจ หรือ เว็บกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เดี๋ยวนี้ไป ตลาด มีแต่ผักแปลกๆจากจีน อืม......... อีกหน่อยธุรกิจงานบริการต่างๆ ก็ต้องรับมือเช่นกันครับ อีกหน่อยจะมีปริษัทต่างชาติเข้ามาเปิดบริการมากขึ้น (ในขณะเดียวกัน ทางบริษัทคู่ค้าก็เปิดมากขึ้น เช่น พ่อครัว ไปทำงานที่ญี่ปุ่น) หรืออย่างยา ที่เป็นข่าว นี่ขนาดเรายังไม่ได้เซ็นต์สัญญาข้อตกลงยังวุ่นขนาดนี้ อีกหน่อย ราคายาคงแพงแหง๋ๆ(ทรัพย์สินทางปัญญา) จะเห็นได้ว่า มีผลกระทบทั้งด้านดีและด้านร้าย ฉนั้นควรปรับตัวกันเสียแต่เนิ่นๆ มีอะไรก็ถามได้ครับ ยินดีเสมอ แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 50 03:13:59 แก้ไขเมื่อ 15 พ.ค. 50 03:11:23 จากคุณ : ใบหูมังกร - [ 15 พ.ค. 50 03:09:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณค่ะ กำลังศึกษาเรื่องเอกสารอยู่อย่างขมักเขม้น ถ้ามีปัญหาอื่นใด  จะรบกวนขอปรึกษานะคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 16 พ.ค. 50 19:33:16 ]