 |
เมื่อฉันตื่นมาพบว่ามีหนี้สิน อยู่ 100 กว่าล้าน..ฉันควรทำอย่างไร
วันนี้ฉันตัดสินใจเขียนกระทู้นี้ขึ้น มีจุดประสงค์ทั้งเพื่อปรึกษา และ ให้ข้อคิดแก่ชาวพันทิปที่ในห้องที่ขึ้นชื่อว่าเกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง
ปัจจุบันฉันกำลังศึกษาอยู่ มหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง ยังเรียนไม่จบ ได้เกรดดีมาก ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมีเงินใช้ไม่ขาดมือมาตลอดตั้งแต่เด็ก
เมื่อฉันเริ่มเข้ามหาวิทยาลัย ฉันได้มาโอกาสมาเรียนรู้งานกับบริษัทของพ่อของฉัน บริษัทของพ่อนั้นทำธุรกิจส่งออกมานานหลายสิบปี
และเรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้
พ่อของฉันเป็นคนเอาจริงเอาจังกับหน้าที่การงานมาก เมื่อก่อนเป็นคนจนแต่ก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเองเพียงลำพัง เริ่มจากเงินไม่กี่หมื่นบาท จนมีธุรกิจส่งออกมูลที่มียอดขายปีละหลายสิบล้าน
พ่อของฉันไม่ค่อยชอบคบกับใครนอกจากลูกน้อง ไม่ค่อยมีเพื่อนฝูงเท่าไหร่ เป็นคนเอาจริงเอาจังกับงาน ปากร้ายแต่ใจดีกับลูกน้องเสมอ เลยมีทั้งลูกน้องที่รักและเกลียดเข้าใส้ จนโดนลูกน้องโกงบ่อยๆ
คนที่พ่อสนิทก็มีแต่ญาติโยม ปู่ย่าตายาย และ คนภายในครอบครัวเท่านั้น ครอบครัวเราทั้งหมดผูกพันกันมาก ปู่ย่าตายาย เหมือนเป็นคนในบ้านเดียวกันทั้งหมดแม้จะอยู่คนละบ้านกัน
ธุรกิจส่งออกของพ่อเมื่อ 20 ปีก่อนเริ่มจากเงินไม่กี่หมื่นบาท จนขยายใหญ่โตขึ้น ปัจจุบันทุนจดทะเบียนมีมูลค่าหลายสิบล้าน
พ่อของฉันเริ่มทำธุรกิจส่งออกจนประสบความสำเร็จมาได้ 15 ปีเต็ม ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับต่อนับ ทั้งขึ้นโรงขึ้นศาล โดนลูกน้องโกง โดนลูกค้าโกง จนเกือบหมดตัว แต่ก็ต่อสู้ผ่านวิกฤตต่างๆมาได้ตลอด จนเป็นคนที่ค่อนข้างจะ "ไม่กลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว"
จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อประมาณ 5 ปีก่อนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความทุกข์ที่สุดในชีวิตของฉันในวันนี้
วันนั้นพ่อของฉันได้มาบอกฉันว่า "พ่อจะทำอะไรดี .. ตอนนี้พ่อได้ทุกอย่างที่เคยฝันไว้หมดแล้ว ธุรกิจก็ลงตัว มีเงินใช้ทุกเดือนไม่ต้องทำอะไรถ้าปล่อยให้พ่อเฉยๆอยู่แบบนี้ต่อพ่อไปตายดีกว่า" ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมาจาก คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างเช่นพ่อ
แต่ดูแล้วพ่อฉันจริงจังกับคำพูดนี้จริงๆ พ่อเริ่มหาเป้าหมายใหม่ พ่อเริ่มตั้งเป้าหมายชีวิตใหม่ว่าจะต้องซื้อ "บ้านหลังใหญ่" ซึ่งเป็นความฝันในวัยเด็กของพ่อให้ได้ พ่อฝันอยากซื้อบ้านหลังใหญ่ๆให้ คุณย่า (แม่ของพ่อ) และ ครอบครัวเรา(พ่อ แม่ และ ฉันกับน้อง) อยู่
ในตอนนั้นฉันอาศัยอยู่ในทาวเฮ้าส์ใจกลางเมืองกรุงไม่ได้อยู่บ้านเดี่ยวในหมู่บ้าน
พ่อเริ่มขยับขยายธุรกิจจนใหญ่โตขึ้นเพื่อสานฝันของพ่อให้เป็นจริง ส่งออกมากขึ้น หาสินค้าตัวใหม่มาทำตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ จนธุรกิจมียอดขายปีละหลายสิบล้าน
ในขณะเดียวกันในตอนนั้นพ่อมีเครดิตกับธนาคารใหญ่ๆของประเทศหลายแห่งที่ดีมาก มีแต่ผู้จัดการธนาคารมาเสนอวงเงินกู้เพื่อการส่งออกกับพ่อของฉัน เพื่อให้พ่อไปทำธุรกิจส่งออก
พ่อไม่เคยสนใจข้อเสนอวงเงินกู้เหล่านั้นเท่าไหร่ มีก็ใช้ไม่เต็มวงเงิน ใช้แบบเหลือๆเผื่อไว้ตลอด
แล้ววันหนึงพ่อก็เริ่มมาจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ครั้งแรกพ่อใช้วิธี "ซื้อมาขายไป" ธรรมดา
โดยการเข้าประมูลหนี้สิน NPL ราคาถูกๆ มาขายต่อในราคาแพงๆ เชื่อหรือไม่ว่าพ่อสามารถขายที่ดินแปลงนึงใช้เวลาไม่ถึง 5 เดือน ทำกำไร 200% ขึ้นไปทุกๆแปลง
พ่อของฉันบอกกับฉันเสมอว่า "พ่อไม่เก่งอะไรเลย...แต่พ่อมั่นใจว่าการตลาด กับการขายนั้นพ่อเจ๋งสุด" ครั้งหนึ่งลูกค้าส่งออกของพ่อฉัน ซึ่งผู้บริหารเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ต่างประเทศถึงกับชมพ่อฉันให้ฉันฟังว่า "พ่อของเธอ เป็นคอมพิวเตอร์ชัดๆ...หรือจะเรียกว่าเป็นอัจฉริยะก็ได้"
ตอนนั้นจึงพูดได้ว่าพ่อทำธุรกิจส่งออก ควบคู่ ไปกับการซื้อมาขายไปของอสังหาริมทรัพย์จนเมามันส์ และ มั่นใจในตัวเองมากขึ้น มากขึ้น พ่อมีเงินสะสมมากขึ้น
ก็เลยนำเงินแทบจะทั้งหมดไปทุ่มให้กับกิจการส่งออกของตัวเองต่อ บริษัทของพ่อก็เลยขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และความเหนื่อยของพ่อก็เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน
แต่ความวุ่นวายและต้นเหตุของความทุกข์ใจกำลังเริ่มจากตรงนี้
พ่อเริ่มหันมาจับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง พ่อเริ่มกู้ซื้อทรัพย์สินแปลงใหญ่ขึ้นเป็นมูลค่าสิบล้านขึ้นไป ทั้งๆที่ปกติที่ผ่านมาพ่อจะจับทรัพย์ในระดับ ไม่เกิน 5 ล้าน
พ่อเริ่มกู้ซื้อตึกแถวริมถนน มูลค่านับ10ล้าน เพื่อกะจะเก็งกำไรขายต่อ พ่อเริ่มกู้ซื้อ อาพาร์ทเม้นมูลค่าประมาณ 20 ล้านจำนวน 100 กว่าห้อง พ่อกู้ซื้อ คอนโด ระดับล่างที่มีผู้เช่าเต็มนับ 50 ห้อง โดยทั้งคอนโดและอาพาร์ทเม้นที่ซื้อนั้น หวังว่าจะเป็นธุรกิจแบบน้ำซึมบ่อทราย เก็บค่าเช่าไปเรื่อยๆ มีรายได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องเหนื่อยกับการทำส่งออกของตัวเอง
พ่อกู้ซื้อโรงงานที่ใหญ่ขึ้นโดยเอาโรงงานเดิมให้บริษัทอื่นเช่าต่อ และเข้ามาในโรงงานใหม่
พ่อใช้เงินบริษัทและเงินส่วนตัวไปกับการตบแต่ง ทั้งโรงงาน , ตึกแถว , อาพาร์ทเม้น จนเกือบหมดทั้งตัว เพราะหวังว่าจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่าแก่การลงทุน
หลังจากนั้นพ่อได้กู้ซื้อบ้านเดี่ยวที่ตัวเองฝันไว้มูลค่านับ 20 ล้านเช่นกัน
แต่ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรตั้งแต่ตรงนี้ สังเกตได้ว่าเงินทั้งหมดของพ่อมาจากหนี้เงินกู้ทั้งสิ้น ไม่ใช่การซื้อเงินสดแต่อย่างใด ส่งผลให้หนี้สินของพ่อมีมูลค่านับ 100 ล้าน โดยเงินทั้งหมดมาจากเครดิตที่ธนาคารปล่อยออกมาให้พ่ออย่างสบายๆเพราะด้วยความที่พ่อเครดิตดีมาก
แต่ถึงพ่อจะมีหนี้ มันก็ไม่ใช่หนี้เปล่าๆ เพราะมันแลกมาเป็นอสังหาริมทรัพย์ต่างๆมูลค่าประมาณ 110 กว่าล้าน เหตุเพราะพ่อใช้เงินสดไปลงทุนด้วย ทรัพย์สินเลยมีค่ามากกว่าหนี้สินอยู่ 10 กว่าล้าน (จากราคาประเมินจริงๆ)
ถ้าพูดตรงๆก็คือพ่อเริ่มเหลิงกับการใช้วงเงินที่ธนาคารมายื่นให้ถึงหน้าประตู แต่พ่อไม่ได้เหลิงกับการเอาเงินไป ใช้ฟุ่มเฟือย ซื้อของงี่เง่าๆ แต่เป็นการเอาเงินไปธุรกิจการงานทั้งสิ้น
พ่อเองไม่เคยใช้เงินฟุ่มเฟือยเลย ใส่เสื้อผ้าธรรมดา ใช้รถธรรมดา กินอยู่อย่างธรรมดามาตลอดเงินที่ใช้ไปนำไปใช้เรื่องงานทั้งหมด
เงินกู้ที่ได้มาทั้งหมดเอาลงทุนทำอาพาร์ทเม้น ตบแต่งคอนโดเพื่อปล่อยเช่าทั้งสิ้น
แต่ก็แน่นอนว่าทรัพย์สินของพ่อทั้งหมดนั้นมาจากเงินกู้ธนาคาร ดอกเบี้ย , เงินต้น และค่าใช้จ่ายในครอบครัว และ บริษัท ที่พ่อต้องชำระจึงสูงถึง 2 ล้านบาทต่อเดือน!!
และนั่นก็เป็นการวางแผนทางการเงินที่ผิดพลาดของพ่อเอง เพราะค่าเช่าที่ได้มาจากอาพาร์ทเม้นและคอนโดนั้น ไม่เพียงพอต่อ ดอกเบี้ย และ เงินต้นที่ได้มาจากธนาคาร
พูดง่ายๆคือ อาพาร์ทเม้น และ คอนโด "ขาดทุน" เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายที่เป็นดอกเบี้ยและเงินต้นจากทรัพย์สินทั้งสองแห่ง
แปลว่าตอนนี้กำไรจากธุรกิจส่งออกต้องออกมาพยุงส่วนที่ขาดทุนจาก อาพาร์ทเม้นและคอนโด และค่าใช้จ่ายอื่นๆด้วย
ในยามที่ธุรกิจส่งออกของยังมีกำไรดี เมื่อเอามารวมกับเงินค่าเช่าจากอาพาร์ทเม้นและคอนโดที่มาผ่อน ก็ยังพอทำให้มีรายได้หลงเหลืออกมาบ้างทุกเดือนๆ..
แต่ในปีที่แล้วทุกอย่างเปลี่ยนไป
เนื่องจากผลกระทบจากการที่คู่แข่งมีเยอะขึ้นธุรกิจส่งออกของพ่อกำไรหดลงไปกว่า 50% จากที่เคยทำได้ และ เคราะห์ซ้ำกรรมซัดที่ ผู้เช่าอาพาร์ทเม้นและคอนโดที่พ่อมีก็ทยอยย้ายออกไปอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีปัญหาจ่ายค่าเช่า เนื่องจากปัญหาเรื่องเงิน
ตอนปีที่ผ่านมากำไรจากธุรกิจรวมกับค่าเช่านั้นมีไม่ถึง 1 ล้านบาทต่อเดือนด้วยซ้ำ แต่ค่าใช้จ่ายต่างๆทั้ง ดอกเบี้ย เงินกู้ และค่ากินอยู่ในบ้าน สูงเท่าเดิมคือ 2 ล้านบาท
ทำให้ขาดทุนสะสมมาแล้วกว่า 1 ปี! รวมถึงค่าเงินบาทแข็งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ส่งออกกำไรหดลงไปอีก จนเกือบจะเท่าทุนแล้วตอนนี้
ถ้าในวันที่ไม่มีดอกเบี้ยและเงินต้นเยอะขนาดนี้คำว่า "เท่าทุน" ของธุรกิจส่งออกคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อ เพราะพ่อผ่านวิกฤตมานักต่อนักแล้ว เรื่องการต่อสู้เพื่อเอากำไรกลับมาคงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพ่อ
แต่วันนี้คำว่า เท่าทุน คือการ ขาดทุนอย่างมหาศาล เพราะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายของอสังหาริมทรัพย์ที่ขาดทุนอีกสองตัวใหญ่ๆ
พ่อหมดกำลังใจไปเยอะมากๆ เพราะมีปัญหารอบด้านมากมายเหลือเกิน แต่พ่อก็ไม่ยอมแพ้ พยายามเริ่มทำธุรกิจ ตัวอื่นๆต่อๆๆไปเรื่อยๆ
พ่อเริ่มทำธุรกิจใหม่อีกหลายตัวมาก เพื่ออว่าจะมากู้วิกฤตตรงนี้ให้ได้ แต่ธุรกิจใหม่ๆก็ไม่ได้กำไรอย่างที่คิด และ ยังขาดทุนด้วย
สถานการ์ณเลยแย่หนักเข้าไปอีก
1 ปีที่ผ่านมาเราขาดทุนสะสมมาตลอด เราปลดพนักงานครึ่งบริษัทเพื่อลดค่าใช้จ่ายลงเยอะมาก แต่ก็ยังไม่พอ เพราะต้นทุนส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากพนักงาน แต่เรากลับลดได้แต่พนักงาน เพราะต้นทุนส่วนอื่นเราลดไม่ได้เลย (จะไปลดดอกเบี้ย + เงินต้นของธนาคารได้ยังไงจริงไหม?)
พ่อเหนื่อยขึ้นมาก วันๆแทบจะกินข้าวไม่ตรงเวลาเพราะต้องทำงานแทนในส่วนที่ปลดพนักงานออกไปด้วย แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำกำไรให้ได้เท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว
จนถึงตอนนี้ วินาทีนี้ เงินเก็บที่มีไว้ "เหลือแค่ 2 ล้าน" นั่นหมายความว่าถ้าเราตัดสินใจจ่ายหนี้ธนาคารอีกในเดือนหน้า เราจะไม่มีเงินอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้ธนาคารทั้งหลายยังไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเรา พ่อของเรามีเครดิตระดับดีมากกับธนาคารมาตลอด พ่อเราบอกว่าถึงเงินหมดก็จะไม่หยุดจ่ายธนาคาร พ่อบอกว่าให้ตายพ่อก็จะไม่ยอมทิ้งเครดิตนี้ไป กว่าพ่อจะสร้างเครดิตกับธนาคารได้ดีขนาดนี้ พ่อต้องเหนื่อยมากมายแค่ไหน
พ่อจะต้องหาทางต่อสู้ทำธุรกิจตัวอื่นๆต่อไปเพื่อกู้วิกฤตครั้งนี้ออกมาให้ได้ โดยจะจ่ายธนาคารครบทุกบาททุกสตางเหมือนเดิมจนกว่าจะหมดตัว
ตอนนี้พ่อเหนื่อยมาก ... เราสงสารพ่อมาก แต่พ่อไม่เคยยอมแพ้ พ่อบอกว่า "พ่อไม่มีทางยอมแพ้.." เรามาช่วยงานพ่อทุกวันในช่วงปิดเทอม เราเองก็เครียดมาก
การทำงานกับพ่อก็ไมได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะอย่างที่บอกว่าพ่อเป็นคนปากร้ายแม้จะใจดีก็ตาม แต่เราก็ทำงานด้วยความเครียดตลอดเพราะพ่อดุมาก แล้ว ยังกดดันจากเรื่องหนี้ทุกวัน เลยทำให้ยิ่งโมโหง่ายขึ้นไปอีก
ระหว่าง1ปีที่ผ่านมาพ่อพยายาามขายทรัพย์สินทุกแปลงออกไปแต่ก็ขายไม่ออก ทั้งตึกแถว ทั้งอาพาร์ทเม้น ทั้งคอนโด หรือแม้กระทั่ง "บ้าน" ก็ขายไม่ได้ เพราะทรัพย์ทุกแปลงมีมูลค่านับสิบล้านขึ้นไป...ยิ่งในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ ยิ่งไม่มีใครสนใจซื้อ
แม้จะมีหนี้ติดตัวอยู่ถึง 100 ล้าน และมีเงินติดตัวอยู่แค่ 2 ล้าน ในขณะที่เดือนหน้าจะเป็นเดือนสุดท้ายที่เราสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้
แต่จนถึงวินาทีนี้พ่อก็ยังไม่เคยคิดยอมแพ้..พ่อยังยืนยันว่าพ่อจะสู้ต่อจนลมหายใจสุดท้าย
แต่เราเองเครียดจนทนไม่ไหวแล้ว เราเครียดมาตลอด 1 ปีเต็มๆ 1 ปีเต็มๆที่เรานอนหลับได้ไม่สนิท..เพราะทุกๆวันเหมือนเป็นการนับถอยหลัง
หลายๆครั้งอยากจะตายๆให้มันรู้ไป ต้องทนดูพ่อร้องไห้บ่อยๆ ต้องทนดูพ่อเหนื่อยทุกวัน แต่ทุกอย่างกลับไม่มอะไรดีขึ้น ซ้ำยังแย่ลงๆ พ่อของเราที่เคยได้ขึ้นชื่อว่าเก่งกาจ ผ่านอะไรมากนักต่อนัก แต่นักสู้คนนั้นกำลังจะแพ้..
เราพูดตรงๆว่าเราอ่อนแอกว่าพ่อมากๆ เหมือนทุกสิ่งที่เราและพ่อเคยมีกำลังจะหายไป หากพ่อสู้ในเกมส์แห่งการเงินนี้ไม่ชนะเราอาจจะต้องโดนฟ้องยึดทรัยพ์ หรือ โดนฟ้องล้มละลายโดนยึดบ้าน ยึดรถไปจนหมด
ทุกสิ่งที่เคยมีจะต้องหายไป...แม้กระทั่งบ้านที่เราอาศัยอยู่
เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่มากแล้วสำหรับเงินก้อนสุดท้ายและเวลาที่เหลืออยู่อีกไม่กี่วัน พร้อมกับหนี้กว่า 100 ล้าน
ชาวพันทิปช่วยตอบหน่อย ถ้าเป็นคุณ...คุณจะทำอย่างไร
จากคุณ :
mkm
- [
1 มิ.ย. 50 03:03:14
A:124.120.115.176 X:
]
|
|
|
|
|