ความคิดเห็นที่ 3
ก๊อปที่ตัวเองเคยเขียนบันทึกมาให้อ่านแล้วกันนะครับ
วิธีเก็บออมเงินสำหรับเด็กจบใหม่
หลังจากเรียนจบมาได้พักใหญ่ และมาลงหลักปักฐานกับที่นี่ได้สักระยะหนึ่งล่ะ ผ่านการขึ้นเงินเดือน ผ่านการขึ้นโบนัส ผ่านการเก็บออมเงินเล็กๆน้อยมาบ้าง
แวะเวียนไปตามเวบบอร์ดต่างๆ ก็เห็นคำถามผุดขึ้นมาเยอะเหมือนกัน - โบนัสออกแล้วครับ เอาไปลงทุนอะไรดี? - เงินเดือน .. บาท จะทำยังไงให้งอกเงย? - มีเงินฝากธนาคารอยู่ ... บาท จะทำธุรกิจอะไรดีในภาวะอย่างนี้ครับ? - ทำงานมาแล้ว x ปี ได้เงินเดือน y บาท ถ้าเปลี่ยนงานจะได้ขึ้นกี่ % ฯลฯ
ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเงิน นั่นเอง เราเห็นว่าไม่ผิดหรอก ที่ทุกคนอยากมีเงินเยอะๆ
มันเหมือนเป็นเกมอย่างนึง เวลาเล่นเกมก็อยากได้คะแนนเยอะๆ จบเกมก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ความภูมิใจเล็กๆ
เงินก็เหมือนกัน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่เวลาเก็บเงินได้ มันก็ภูมิใจเล็กๆน่ะ
การจัดสรรเงิน ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดลงในการลงทุนอย่างเดียว เช่นฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตร ผ่อนคอนโด หรืออะไรก็ตามแต่จนไม่มีเงินทำอย่างอื่น
"Never Put All Your Eggs in One Basket"
สำหรับเรา เราแบ่งเงินทั้งหมดออกเป็นหลายๆกอง โดยจัดสรรตามความเสี่ยง
1. การลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยงเลย -- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ บริษัทส่วนมากจะมีกองทุนนี้เป็นสวัสดิการให้พนักงาน โดยจะหักเงินเดือนส่วนหนึ่งเข้ากองทุน และสมทบให้อีกส่วนหนึ่ง โดยส่วนมากแล้วบริษัทจะนำเงินส่วนนี้ไปจ้างมืออาชีพบริหาร
เงินในส่วนของลูกจ้างที่สมทบเข้ากองทุนนั้นจะได้รับการยกเว้นภาษี
ดังนั้นการใส่เงินลงในกองทุน 100 บาท จะลดภาษีได้ 10 บาท ทันที สำหรับเด็กจบใหม่ (เกณฑ์เสียภาษีคือ มีรายได้ตั้งแต่ 230,000/ปี ขึ้นไป หรือ 19,167 ต่อเดือน รวมโบนัส) รวมถึงมีผลกำไรอีกประมาณ 3% จากการบริหารเงินของกองทุน
คิดคร่าวๆ การลงทุนแบบนี้จะได้กำไร 13% ต่อปี โดยยังไม่นับในส่วนที่บริษัทสมทบให้ด้วยซ้ำ เนื่องจากบางบริษัทอาจจะต้องอยู่นานหลายปี ถึงจะมีสิทธิในเงินสมทบ ซึ่งถ้าเกิดใครโชคดีได้เงินที่บริษัททบให้อีก ผลตอบแทนที่คิดออกมาแล้วก็จะยิ่งมากไปใหญ่
ใครที่ออกจากงานกลางปีก็ยังสามารถเอาไปหักลดหย่อนภาษีได้อยู่ดี
2. การลงทุนความเสี่ยงปานกลาง -- ฝากออมทรัพย์ อันนี้เราคิดไม่เหมือนคนส่วนมากที่นิยมฝากเงินแบบฝากประจำ แต่เราเลือกฝากออมทรัพย์เนื่องจากเงินในส่วนนี้เป็นส่วนที่ต้องการสภาพคล่อง การฝากประจำหากถอนก่อนครบรอบ เช่น 3,6,12 เดือน รู้สึกว่าจะไม่ได้ดอกเบี้ย ส่วนฝากประจำดอกเบี้ยสูงที่ธนาคารทำออกมาล่อตาล่อใจช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น(ที่จบลงไปแล้ว) หากถอนก่อนมักจะได้ดอกเท่ากับฝากออมทรัพย์เท่านั้น การฝากออมทรัพย์ได้ผลตอบแทนประมาณ 1% ต่อปี ซึ่งหักค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มกับเงินเฟ้อไปแล้วก็ถือว่าได้ผลตอบแทนต่ำ เหมือนเป็นกระเป๋าเงินเท่านั้นเอง
ความเสี่ยงในการลงทุนที่ว่านี้รวมถึงการเสียโอกาสจากการที่เราจะนำเงินไปลงทุนอย่างอื่นด้วย ดังนั้นเลยขอจัดการฝากออมทรัพย์เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลาง
-- สวัสดิการของบริษัท อันนี้ใครที่ทำงานอยู่บริษัทเดียวกับเราคงนึกออกและข้ามไปอ่านหัวข้อถัดไปได้เลย
ที่บริษัทมีโครงการออมทรัพย์สำหรับพนักงานอยู่โครงการนึง คือจะตัดเงินเดือนพนักงานส่วนหนึ่งไปเก็บไว้ต่างหากสามปี แล้วเมื่อครบสามปีจะให้สิทธิพนักงาน รับส่วนต่างระหว่างราคาหุ้นของบริษัทในตอนนั้น กับราคาหุ้นของบริษัท ณ วันเริ่มสัญญา (ซึ่งมันจะมีส่วนลดให้พอสมควร) หากคำนวณดูแล้วไม่คุ้ม ก็สามารถรับเงินคืนพร้อมดอกเบี้ยพอๆกับฝากประจำคืนได้
ฟังดูเหมือนไม่มีความเสี่ยง แต่คิดกรณีเลวร้ายที่สุดคือเลือกรับเงินคืน ลาออก (ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ตาม ฮ่าๆ) จะได้ผลตอบแทนเท่าดอกเบี้ยฝากประจำ ซึ่งเงินจำนวนนี้ขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถนำมาใช้ฉุกเฉินได้ ดังนั้นก็เสียโอกาสพอๆกับหัวข้อด้านบน แต่หากส่วนต่างของราคาหุ้นมากพอที่จะได้กำไร ก็จะรวยไม่รู้เรื่องทีเดียว
3. การลงทุนที่มีความเสี่ยง --หุ้น
การซื้อหุ้นไม่ได้ใช้เงินเยอะอย่างที่หลายคนคิด ตรงกันข้าม นี่คือการเป็นหุ้นส่วนกับกิจการใหญ่ๆ ด้วยราคาที่ถูกที่สุดด้วยซ้ำ เป็นการลงทุนที่จำกัดความเสียหายได้ เนื่องจากราคาหุ้นไม่ได้วิ่งขึ้นวิ่งลงวันละเป็นสิบเปอร์เซนต์
มีหุ้น 1 หุ้น ในบัญชี กับมีเงิน 100 บาท ในบัญชี ก็ไม่ต่างกัน ยังไง เราก็มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ทำไมคนถึงกลัวหุ้นมากกว่ากลัวการฝากประจำ :P
เงินปันผลที่ได้จากหุ้นสามารถนำมาหักภาษีได้ ถ้าบริษัทนั้นเสียภาษีจากกำไรให้รัฐบาล ถ้าบริษัทนั้นเสียภาษีอยู่ที่ x% ผู้ถือหุ้นจะได้ภาษีคืนจากเงินปันผล x/(100-x) เท่า
มีบริษัทเดียวในเมืองไทยที่เสียภาษี 50% คือ ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (pttep หรือ ptte.bk ) ผู้รับเงินปันผลจะได้เงินภาษีคืนอีกเท่าตัว บริษัทที่เสียภาษี 30% จะได้ในอัตราส่วน 3/7 บริษัทที่เสียภาษี 25% จะได้ในอัตราส่วน 1/3
ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเกิดจากส่วนต่างของมูลค่าหุ้น ณ ต้นทุนที่เรามีกับราคาปัจจุบัน การมีหุ้นราคา 100 บาทก็เทียบเท่ากับการมีแบงค์ร้อยหนึ่งใบ หากมันลดลงเหลือ 50 บาท แบงค์ร้อยใบนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นแบงค์ห้าสิบนั่นเอง ส่วนความสามารถในการจ่ายเงินปันผลก็ไม่ได้เท่ากันสม่ำเสมอ ขึ้นกับผลประกอบการและนโยบายของบริษัท
--กองทุนที่ลงทุนในทรัพย์สินต่างประเทศ อันนี้คิดขึ้นมาเฉยๆ ยังไม่ได้ลงเงินไปจริงๆ แต่ก็ไปเปิดบัญชีไว้เผื่อวันไหนจะจัดสรรเงินไปเก็บในส่วนนี้ จะได้ทำได้โดยไม่ยุ่งยาก กองทุนลักษณะนี้เพิ่งเห็นมีเป็นรูปเป็นร่างเมื่อไม่กี่ปีหลังนี้ วิธีลงทุนก็คือ กองทุนในเมืองไทย จะไปซื้อกองทุนของบริษัทแม่ในสาขาที่ต่างประเทศ แต่ละกองทุนก็จะมีนโยบายการลงทุนในแต่ละประเทศต่างกันไป รวมถึงระดับความเสี่ยงด้วย
สำหรับเงินลงทุนเริ่มต้น แค่ห้าพันบาทครับ
ความเสี่ยงของกองทุนพวกนี้คือมูลค่าหน่วยลงทุนที่ลดลง หากค่าเงินบาทแข็งขึ้นไปเรื่อยๆ ทรัพย์สินในสกุลเงินต่างประเทศก็จะด้อยค่าลง อีกอย่าง กองทุนแบบนี้ไม่สามารถหักภาษีได้ เนื่องจากกองทุนที่หักภาษีได้ จะมีเงื่อนไขว่า กองทุนเหล่านั้นจะต้องรักษาสัดส่วนเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% ของมูลค่ากองทุนทั้งหมด ซึ่งดูแล้วไม่ยืดหยุ่นเลย
จริงๆแล้ว แนะนำให้แต่ละคนลงทุนตามที่ตัวเองถนัด บางคนอาจมีความรู้เรื่องเครื่องดนตรี จะไปลงทุนซื้อมาขายไป เครื่องดนตรี ก็ไม่เลว เมื่อเทียบกับคนที่ไม่รู้เรื่องเครื่องดนตรีไปทำ โอกาสเจ๊งมีสูงกว่าแน่นอน
ตัวอย่าง ปีที่แล้วมีแฟรนชายส์ขนมปังช๊อคโกแลตเจ้านึงหวือหวามากๆ คนแห่เปิดร้านเลียนแบบตามกันเพราะเห็นว่าคนเยอะ ต่อคิวเป็นชั่วโมง แต่สุดท้ายร้านที่เปิดใหม่ๆ เหล่านั้น ก็ไปไม่รอด
มาถึงเรื่องการเปลี่ยนงาน บางคนมีความคิดว่า เปลี่ยนงานแล้วต้องเงินเดือนขึ้น จริงๆ แล้ว เราคิดว่า ต้องถามตัวเองก่อนว่า มีอะไรทำให้เขาจ้างเราได้แพงขึ้นล่ะ ระหว่างที่ทำงานที่ปัจจุบัน เราได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองเพียงพอรึเปล่า บริษัทเราได้จากเรามากกว่าเงินเดือนที่เขาจ้าง เราก็ควรจะได้อะไรมากกว่าที่เขาให้เหมือนกัน win-win ลองคิดดูว่าการทำงานที่ปัจจุบันนี้ เราได้ประโยชน์อะไรที่เราจะไม่ได้ถ้าทำงานที่อื่น แล้วตักตวงตรงนั้นให้เต็มที่
สำหรับเราคงเป็นการที่เราชอบทางด้าน Finance และอยากเรียนต่อทางด้านนี้ พอมาทำงานที่นี่ ได้ความรู้อย่างที่สนใจอยากไปเรียนต่อพอดี ก็เลยถือว่าโชคดีไปที่ได้งานที่ตรงกับความสนใจของตัวเอง
เหนือสิ่งอื่นใด การวางแผนการลงทุนร้อยแปด ก็ไม่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ หากขาดความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ การลงทุนที่ได้ผล และความสุขที่สุด คือการแบ่งรายได้ที่หามาได้ให้พ่อแม่หรือผู้ที่เลี้ยงเรามา อาจจะไม่ต้องเป็นตัวเงิน แต่เป็นการแสดงออกเล็กๆน้อยๆ ว่าเรายังนึกถึงบ้าง ลองดูสิครับ พ่อแม่ส่วนใหญ่ ยังอยู่ในวัยที่มีเรี่ยวแรงสามารถหาเงินได้มากกว่าเราหลายเท่านัก แต่เชื่อว่าการแสดงออกเล็กๆน้อยๆจากลูก จะทำให้ยิ้มไม่หุบแน่นอน :)
จากคุณ :
TauRuZ_PaSSeRBy
- [
7 มิ.ย. 50 21:59:18
]
|
|
|