ความคิดเห็นที่ 1 ถูกต้องนะคร้าบบบบบบบบบบบบบบ จากคุณ : ขาโจ๋ว โก๋หลังคุณแม่ (Tam_Jin) - [ 13 มิ.ย. 50 21:03:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ได้ใจมากเลยค่ะ.... จากคุณ : เด็กนั่งอ่านอยู่นะ (KiTaNo) - [ 13 มิ.ย. 50 21:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คิดเหมือนกัน ถึงแม้ว่าผมจะเป็นพวกดูที่ตัวเงินก่อน :( จะพยายามหาประสบการณ์ก่อนมั้ง แต่ถ้าเงินน้อยมากผมก็อยู่ไม่ไหวนะเนี่ย จากคุณ : keng - [ 13 มิ.ย. 50 21:27:06 A:125.24.70.130 X: TicketID:034073 ]

ความคิดเห็นที่ 4 Peso ตัวที่สองน่าร้ากกกก ;D ผมถามตัวเองบ่อยมากเลยคำถามนี้ เพราะรู้สึกทำงานให้เขาแบบว่า โค - ตร ไม่คุ้มค่าจ้างเขาเลย ให้ตาย - -' จากคุณ : จ้างป๋มมาอู้ แบร่ แบร่ (cookiecompany) - [ 13 มิ.ย. 50 21:43:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 นั่นดิ ผมยังคิดว่า ผมทำงานไม่คุ้มค่าจ้างเลย อะ - -'' จากคุณ : mm_takky - [ 13 มิ.ย. 50 22:48:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พอดี ดูรายการช่อง Nation มี คุณ.กรณ์ จาติกวณิชน์,  MD ปูนตราช้าง และ ดร. หลายท่านมานั่งคุยกัน พอดีเปิดมาดูกลางรายการ ฟังคุณกรณ์พูด จับประเด็นได้ว่า น่าจะพูดเรื่องการศึกษาของเด็กไทยในปัจจุบันและอนาคต พูดดีมากเกี่ยวกับการสร้างบัณฑิต ที่มี Valve add นอกเหนือจากหลักสูตรแต่พูดในแบบนักการเมืองเชิงนโยบายฟังแล้ว ไม่รู้จะเป็นความฝันหรือปล่าวแต่ดีมากในแผนอีก 5 ปี ข้างหน้า จนมาถึง MD ของปูนตราช้าง เริ่มพูกว่า " เด็กจบใหม่ในสมัยนี้ มองแต่เงินเดือน มองตัวเองเป็นที่ตั้ง ใจเสาะ ไม่พร้อมสำหรับการเรียนรู้ เข้ามาเครือปูน พูดแต่ มีหลักสูตรอะไรให้ผมอบรมบ้าง เกี่ยวกับการทำงาน  รอการป้อนให้ อย่างเดียว มีอะไรกระทบใจหน่อย ก็ลาออก อยู่ครบปีเริ่มมองเรื่อง ฐานเงินเดือนบอกตัวเองมีประสบการณ์ต้องได้เงินเท่านั้นเท่านี้ ไม่มองถึงสิ่งที่ต้องนำสิ่งที่เรียนมา 4 ปีออกมาแลกและปรับปรุงการใช้งาน เด็กเดี๋ยวนี้จึงมองแต่ตัวเองเป็นหลัก เหมือนผมจบมาใหม่ ๆ ก้อเป็น  ผมจบวิดวะลาดกระบัง มาทำงาน เงินเดือนเริ่มที่ 13500 บาท ผมมอง เอางานก่อนเฟ้ย เรื่องอื่นค่อยว่ากันที่หลัง หลังจากนั้น 1 เดือน เริ่มมีข้ออ้าง เฮ้ย เรามี กว.นี่หวา ที่อื่นเขาให้เพิ่มอีก 3 พันนะ , เฮ้ย ที่อื่นมี โอที วิดวะ ต้องได้ โอที สิ ไม่ใช่ โอฟรี คิด ต่าง ๆ นานา ทำงานครบ 3 เดือน  มอง เฮ้ย เราทำงานได้นี่หว่า ต้องได้เป็นหัวหน้าแผนกสิ ต้องมีค่าตำแหน่งและสวัสดิการเพิ่มสิ คิดต่าง ๆ นานา เงื่อนไขการทำงานมากมาย จนครบ 4 เดือน ผู้จัดการเรียกคุย จะไม่ให้ผ่านโปร เพราะทำงานไม่ได้ตามเป้า ตอนนั้น งง มาก คิดว่า ทำงานคุ้มกับเงินเดือน ไม่สิ มากกว่าสะอีก นึกน้อยใจ ต่าง ๆ นานา อยากลาออกทันที  ..... จนเวลาผ่านไป เมื่อเช้เวลาเพาะบ่ม มองย้อนกลับไป ตอนนั้น เราทำมั้ยเป็นคนสร้างเงื่อนไขเองต่าง ๆ นานา 1. เราเลือกที่จะสมัครตำแหน่งนี้เองตั้งแต่แรก ทางโรงงานก้อแจ้งเงินเดือน และก็พร้อมรับ แต่ทำมั้ยหลังจากนั้นทำมั้ยมีเงื่อนไข ต่าง ๆ นานาเรื่องเงินเดือนน้อย 2. ทางโรงงานเลือกเด็กจบใหม่มาทำงาน ซึ่งงานหลาย ๆ อย่างผมไม่รู้ ทำงานโรงงานเสียหายบ้าง ทำผิดบ้าง โรงงานไม่เคยตำหนิ ไม่เคยว่า ให้โอกาสทดลองทำตลอด ทุกอย่างฟรีหมด 3. คุณวุฒิที่เราเคยคิดว่า แน่ ๆ ที่จบมา มันไม่ได้เป็นหลักใหญ่ในการทำงานเลย แค่สอนพื้นฐานหลาย ๆ อย่างเท่านั้นเอง ยึดติดกับ หัวโขนอะไร บ้า บ้า บอ บอ ทำงานจริงยากกว่าที่เรียนมาก ไม่มีใครคอยป้อนข้อมูลให้ เราหวังแต่ว่า อยากให้เราทำงานให้ต้องเอา WI , OJT มาให้อ่านสิ แล้วจะทำ อ่านหลาย ๆ กระทู้ที่โต๊ะนี้ที่น้อง ๆ จบใหม่เข้ามาโพส ประมาณนี้ เงินเดือน ตำแหน่ง จบที่โน่นมา ที่นี่มา ทำให้มองภาพตัวเองที่ผ่านมาได้เลย  เรานี่โง่ จริง ผมว่า หลัก ๆ ของเรื่อง คือ มีการปลูกฝังค่านิยมกันมากกว่า ว่า จบ โน้นมา นี่มา ที่ดัง ๆ ต้องเงินเดือนเท่านี้ เท่านั้น ไม่มีคนสร้างค่านิยมใหม่ว่า  คุณต้องเอา ความรู้ ความสามารถ แลกเงินสิแลกตำแหน่งสิ จะให้ เข้าทำงานตามที่ชอบ ตรงตามที่เรียน และเงินเดือนมาก ๆ มันไม่มีสำเร็จรูปเหมือนมาม่าหรอก จากคุณ : เก้ากระบี่เดี่ยวดาย - [ 13 มิ.ย. 50 22:58:11 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตามความคิดผม   คุณกระบี่เก้าสําเนียง  คงจะเป็นเจ้าของกิจการหรือผู้บริหาร มันก็เป็นธรรมชาติอย่างนี้แหละครับ ผมจำไม่ได้ว่าจำตัวเลขนี้มาจากไหนนะครับ เขาบอกว่า     ประมาณ  80  %  ของผู้คน  จะเป็นคนที่ทำงานไปวัน ๆ ตามสั่ง                           อยากมีเป้าหมายในชีวิตเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จ                           แต่ตั้งไว้ได้ไม่นานก็หายไป   ประมาณ  20  %  ของผู้คน  จะเป็นคนที่ทำงานอย่างมีเป้าหมาย                           และต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต     ประมาณ  3-5 % จาก  20 %  จะเป็นคนที่ทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง                           และประสบความสำเร็จในชีวิต ฉะนั้น  วันนี้เขาเหล่านั้นยังเป็นพนักงาน  ก็คิดอย่างนี้          วันข้างหน้าเขาไปเป็นเจ้าของกิจการ  เขาก็จะคิดอีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่จะอยู่หรือทำงานร่วมกันได้ดีนั้น  ก็ต้องสนองตอบความต้องการต่อกัน อย่างเหมาะสมและพึงพอใจ  ทั้งฝ่ายพนักงานและฝ่ายเจ้าของกิจการ ส่วนใหญ่พนักงานมักจะคิดว่าตนเองทำกำไรให้กับบริษัทมากมาย แต่ได้ค่าตอบแทนไม่คุ้ม อย่างนี้ต้องลองให้ไปทำเองแล้วจะเข้าใจว่ามูลค่าไม่ได้อยู่เพียงแค่สิ่งที่เห็น แต่ในขณะเดียวกัน  ก็ยังมีองค์กรที่เอารัดเอาเปรียบแรงงานอีกมากเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น  ความต้องการและความพึงพอใจของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งก็ต้องใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์ปัญหาแต่ละเรื่องอย่างเหมาะสม จากคุณ : Dman - [ 13 มิ.ย. 50 23:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ค่ะ ฟังแล้วจะพยายามทำงาน ไม่ใจเสาะค่ะ   ตอนนี้กำลังคิดเหมือนกันว่า ตัวเองกำลังใจเสาะอยู่ จากคุณ : กระพรวนน้อยเสียงใส - [ 14 มิ.ย. 50 02:50:04 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ชอบความคิดเห็นของทั้งสองกระบี่เลยครับ ผมไม่ชอบเลยกระทู้บ่นเงินเดือน จากคุณ : ttno1 - [ 14 มิ.ย. 50 08:02:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อยากให้พวกจบใหม่ อ่านกระทู้นี้จัง เอาไป 1 โหวต จากคุณ : เฒ่าเจ้าอุบาย - [ 14 มิ.ย. 50 09:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 11 โหวตไปแล้วครับ อีกอย่าง พวก ชอบถามเงินเดือน ... เงินเดือนแล้วสวัสดิการเป็นความลับของ บ. นั้น ห้ามเผยแพร่ เด็ดขาด พนักงานคุยกันจะเอาไล่ออกยังได้ ... เข้าใจว่าอยากรู้ครับ ... พวกตอบๆ ก็รู้จริงมั่งไม่จริงมั่ง ตามข้อมูลที่เขาสำรวจมั่ง ... .... เงินเดือน ตามความสามารถครับ ... ถ้าเก่งจริงๆ มีมูลค่าจริงๆ ยังไงเขาก็กดเงินเดือนคุณไม่อยู่หรอก มันจะมีคนอยากเอาตัวคุณไปทำงานด้วยเสมอๆ ... แค่นี้ก่อน ไปทำงานต่อ จากคุณ : KENG76 - [ 14 มิ.ย. 50 10:36:13 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน ความสำเร็จในอดีตเป็นสิ่งที่ควรภาคภูมิใจแต่ไม่ได้รับรองว่าอนาคตจะประสบความสำเร็จอีก ถ้าคนเราหยุดการเรียนรู้ก็มีโอกาสสูงมากที่จะล้มเหลวแล้วล้มเหลวอีก ขอมอบให้ 1 โหวดครับ จากคุณ : nitinaiz - [ 14 มิ.ย. 50 10:51:07 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องธรรมดาครับ คนเราก็มักจะนึกถึงตนเองเป็นที่ตั้ง คนที่นึกถึงผู้อื่นพอๆกับตัวเอง คงมีอยู่ไม่กี่คน เหมือนดังเช่นบางบริษัทที่มุ่งแต่คิดถึงยอดขาย และไม่ใส่ใจคุณภาพชิวิตของพนักงาน เช่น เรื่องการทำงานวันเสาร์ทุกเสาร์  เรื่องการปล่อยปะละเลยให้หัวหน้านิสัยไม่ดีบางคนมีอำนาจตามใจชอบ ส่วนเรื่องการทำงานคุ้มค่าจ้าง ก็เป็นเรื่องที่วัดได้ยาก เพราะบางคนทำเต็มที่แต่ก็อาจไม่ได้เห็นเป็นมูลค่าที่วัดได้เป็นตัวเงิน ดังนั้นคนที่ชอบเข้ามาบ่น ก็สามารถมีได้หลายประเภท 1.คนที่ถูกบริษัทเอารัดเอาเปรียบจริงๆ 2.คนที่ชอบไปเปรียบเทียบเงินเดือนกับเพื่อนหรือคนรู้จัก โดยบริษัทไม่ได้เอารัดเอาเปรียบแต่อย่างใด ผมไม่เคยเข้ามาบ่นในเวปนะครับ ทั้งๆที่เคยถูกบริษัทหนึ่ง หลอกลวง ทำงานในตำแหน่งวิศวกร เริ่มงานไปแค่2สัปดาห์ ถูกใช้ให้เป็นคนขับรถทั้งส่งคนและส่งของ แถมถูกหลอกโดยบริษัทไม่ให้เบิกค่าน้ำมันตามที่ตกลงกันไว้ ทำให้ต้องออกเองถึงเดือนละ 6000 ทั้งๆที่เงินเดือนแค่ 12000 บริษัทนี้ชื่อ แอสแสบ สตีลส์ หวังว่าคงไม่มีใครไปหลงกลอีกครับ จากคุณ : Dearman - [ 14 มิ.ย. 50 12:03:45 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ชีิวิตคือการเรียนรู้ .... ชีวิตคือการมีโอกาสทำความดี ... ในยามที่เราศึกษาเล่าเรียน.... ก็เพื่อต้องการความรู้.... ณ เวลานั้น เราเสียเงิน... ในยามที่เราจบออกมาทำงาน .... ก็ยังเป็นเวลาแ่ห่งการเรียนรู้.... ณ เวลานี้ เราได้เงิน .... ในยามที่เราตกงาน .... เราก็ยังต้องเรียนรู้ต่อไป .... ณ เวลานั้น เราไม่เสียเงิน และไม่ได้เงิน ... จงให้คุณค่ากับการเรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเอง.... มากกว่า ผลตอบแทนที่ได้รับ .... แล้วชีวิตจะประสบกับความสำเร็จแน่นอน .... เคารพให้ทุกความเห็นครับ.... จากคุณ : อาจารย์โช๊ะ - [ 14 มิ.ย. 50 12:36:01 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่ได้เลือกงานนะ....แต่เค้าไม่เลือกเราน่ะสิ T T จบมา3เดือนแล้วนะคุณ ยังไม่ได้งานเลยอ่ะ เศร้า... จากคุณ : doxday - [ 14 มิ.ย. 50 14:09:56 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้ครับ บริษัทมีทั้งดี และไม่ดี ถ้าคนมันมีโอกาส และได้เห็นการเปรียบเทียบ จากการทำงานในที่ต่างๆ ที่ไหนดีกว่าคนก็ไปครับ ตัวอย่าง บริษัทหลายที่ จบตรีเงินเดือน 9,000-17,000 บาท ถ้าคุณทน ทำงานไป ไม่รู้อนาคตตัวเอง คนก็ต้องมองหาสิ่งที่ดีกว่าใช่ไหมครับ ยิ่งถ้าคนเก่งจริงๆ ค่าเสียโอกาสเขาเท่าไหร่แล้ว ผมเคยไปฝึกงานรัฐวิสาหกิจใหญ่ระดับประเทศ เงินเดือนปริญญาตรี วิศวกรเริ่มที่ 11,000 บาท แต่เงินเดือนขึ้นปีละ 300-1,000 บาท ถ้าคุณเก่ง ได้งานเอกชนเงินเดือน 18,000 บาท เงินคุณหายไปขนาดไหน ??? จากคุณ : Kiama - [ 14 มิ.ย. 50 14:59:33 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เข้ามาอ่าน มีบางท่านนึงมองอีกด้านนึงของเหรียญ ก็ถูกน่ะครับ บางบริษัทก็เอารัดเอาเปรียบพนักงานเกินไป แต่ถึงตรงไหนที่ว่าเอารัดเอาเปรียบ ก็ต้องดูตามข้อกฏหมาย ที่เป็นกฏกติกาใช้ทั่วกัน อย่าใช้บรรทัดฐานตัวเองตัดสิน ผมอยากให้กระทู้นี้เป็นข้อคิดให้กับคนจบใหม่ เพราะรู้สึกคนสมัยนี้ต้องรองานมาชนลูกเดียว เงินดีสวัสดิการดี งานไม่หนักโบนัสเยอะๆ ฝากถึงน้องจบใหม่ๆหรือกําลังเรียนอยู่ ไม่ว่าท่านเรียนสาขาอะไรอยู่ขอให้เต็มที่กับมันเอาให้เชี่ยวชาญไปเลย ไม่ใช่เรียนอะไรแล้วเงินดี ทุกอย่างจะดีหมดถ้าคุณเก่งผมรับรอง ดูต่างประเทศเด็กๆเขาพออายุสักประมาณนึงก็จะเก่งเฉพาะทางแล้วหรือในสิ่งที่เขาชอบแล้ว แต่เด็กไทยทุกวันผมเห็นคุยกันเมื่อคืนเที่ยวมาเมาโค๔ตๆ หรือแถวร้านเกมออกมายืนสูบบุหรี่คุยกันออกของอะไรดี ผสมไอเท็มอะไรดี ไม่ด้บอกว่าเกมไม่ดีน่ะแต่เล่นแค่คลายเครียดพอ อีกนิดบางคนที่ไม่เลือกงานแต่ยังไม่ได้งาน ก็ต้องดูว่าคุณสมบัติตรงกับที่เขาประกาศไหม แล้วตอนเรียนเราใส่ใจและพัฒนาศักยาภาพตัวเองแค่ไหน ไม่ใช่พอเลิกเรียนไปเดินเที่ยวกันซะส่วนใหญ่ เรียนพอสอบจบแล้วลืม ภาษาที่สองและคอมไม่ได้ เพราะผมก็เห็นบางคนโพสในห้องนี้อยากจะเข้าแต่องค์กรใหญ่ ซึ่งจํานวนคนสมัครและอัตราแข่งขันก็สูงขึ้น ที่อยากให้มองลําดับแรกคือ เนื้องานที่เขารับสมัครเราชอบไหม รักที่จะทํางานและได้เรียนรู้เนื้องานตรงนี้ไหม สําคัญที่สุดสําหรับผู้ที่จบใหม่ที่ยังไม่มีประสปการณ์ แล้วคนที่ตีราคาตัวเองสูงคือคนมีอีโก้แล้วคุณก็จะไม่มีวันเก่งหรอก เป็นคําแนะนําเล็กน้อยๆน่ะครับอาจจะถูกบ้างไม่ถูกบ้าง ก็นําไปปรับใช้แล้วกัน จากคุณ : กระบี่เก้าสําเนียง - [ 14 มิ.ย. 50 15:19:25 ]

ความคิดเห็นที่ 18 16#รับฟังครับ ผมไม่ได้บอกว่าไม่ให้ย้ายไปหาความก้าวหน้าน่ะครับแต่ให้อดทนกับงานบ้าง หรือคิดในมุมกลับบ้าง แต่สมัยนี้มักตั้งกระทู้ถามว่าจบนี้จบนั้นมาเงินเดือนทําไมไม่ได้เรตเท่านี้ หรือเงินเดือนขนาดนี้น้อยไปไหม ผมขอแย้งที่คุณบอกว่าเคยไปฝึกงานรัฐวิสาหกิจใหญ่ระดับประเทศ ผมมองว่าวิศวกรเนี่ยประสปการณ์เป็นสิ่งสําคัญ ขนาดคนประสปการณ์เป็นสิบๆปีที่ผมรู้จักยังไม่เห็นใครกล้าพูดว่าตัวเองเก่ง แล้วคุณแค่ฝึกงานเคยได้ทําโปรเจคสําคัญๆของบริษัทไหม ผมไม่เชื่อว่าคุณจะมีโอกาสได้ทําโปรเจคสําคัญหรอกเพราะไม่มีใครเอาโครงการระดับยักษ์มาเสี่ยงหรอก เพราะไม่งั้นจะจ้างหัวหน้าแผนกหรือพนักงานประจําทําไม รอรับแต่เด็กฝึกงานสิประหยัดเงินก็จ่ายแค่เบี้ยเลี้ยง ถ้ามีวิศวกรเข้ามาอ่านช่วยๆเสนอความเห็นหน่อยน่ะครับ ผมอยากให้ลดอีโก้นิดนึงสําหรับคนจบใหม่ที่ทะนงตนว่าเรียนจบหรือได้เกรียตินิยมก็ยกตนว่าเก่งแล้วให้หันไปมองคนรุ่นก่อนๆที่ผ่านอะไรมาเยอะกว่า เพราะบางอย่างในตําราไม่มีบอก การทํางานไม่ใช่แค่อ่านตํารา ยังมีอีกหลายศาสตร์ที่คุณต้องใช้ บางทีคุณจบเกรียตินิยมแต่พอคุมงานโปรเจคใหญ่ๆก็ไปไม่รอด เพราะคุณไม่ได้ทํางานแค่คนเดียว แต่ส่วนใหญ่คนที่จบเกรียตินิยมมาก็มีความสามารถอยู่แล้วผมเชื่อ ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้น จากคุณ : กระบี่เก้าสําเนียง - [ 14 มิ.ย. 50 15:39:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมเสริมตัวอย่างนะครับ .. หากคุณลองหาคำว่า "คีตะกวี" ในกูเกิลแล้วเจอเยอะๆ ว่าเป็นโปรแกรมเมอร์เก่งๆ ที่เขียนโปรแกรมแปลงวินโดวส์ได้ หากบอกว่าตอนนี้เขาได้เงิน เดือนละ 300,000 จากโปรแกรมที่เขาทำ ... ทุกคนคงอยากเรียนโปรแกรมเมอร์ แต่หากค้นกลับไปดู เขาได้รางวัลตั้งแต่ยังไม่เข้ามหาลัย เขาเขียนโปรแกรมแปลงภาษาไทยสำหรับ วินแอมป์ แจกฟรีๆ .... เห็นอะไรบ้าง เขาใจรัก ... ทุ่มเทในสิ่งที่รักและเชี่ยวชาญจริงๆ ไม่ไช่เห่อกระแสเงินมากแล้วพยายามทำงานนั้นๆ โดยกะจะได้เงินมากๆ โดยปราศจากความเชี่ยวชาญ .................. จริงๆแล้ว มันมีอะไรอีกหลายอย่าง นอกจากความเก่งด้วยนะครับ การทำงาน เป็น ศิลปะอย่างนึง ... คนเรา มันจะต้องมีงานที่เหมาะสมกับตัวเราและได้ค่าตอบแทนที่ดี ... หากเราพยายามจะเลียนแบบคนอื่น มันไม่สำเร็จเสมอไปหรอกครับ จากคุณ : KENG76 - [ 14 มิ.ย. 50 16:15:36 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เป็นเซลตปท. ทำกำไรนะย้ำกำไรให้บริษัท เดือนนึงไม่ต่ำกว่า5 แสน แต่บ.ไม่ให้คอม เงินเดือน 15000 บาท น่าทำป่ะ จากคุณ : งก - [ 14 มิ.ย. 50 16:29:40 A:168.120.26.49 X: TicketID:101679 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เห็นด้วยค่ะ แต่บางบริษัทก็เอาเปรียบเกินไปจริงๆนะคะ ทำให้คนที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่หมดกำลังใจ จากคุณ : ลูกเป็ดขี้เกียจ - [ 14 มิ.ย. 50 16:38:51 ]

ความคิดเห็นที่ 22 คำหนึ่งที่กระทบใจมาก คือ "Quality of Life" ...นิยามของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน... จากคุณ : โลมาน้อย...กลอยใจ - [ 14 มิ.ย. 50 17:48:05 A:210.86.220.163 X: TicketID:147812 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เห็นด้วยครับ แต่ไม่ทั้งหมด   ถ้าลองมองอีกด้านนึง  มีเยอะแยะเลยครับ ที่มาโพสต์เกี่ยวกับบริษัทแย่ๆ  บีบออกสารพัด จะหักเงินนั่นเงินนี่  เอาพนักงานเข้ามาทำงานเล่นๆ  สองเดือนบีบออก  แล้วก็ข่มขู่พนักงาน  ลองไล่กระทู้ลงไปก็เห็นอยู่ พนักงานบางคน  รับผิดชอบงานสำคัญๆ แทบทุกอย่างให้บริษัท  แต่บริษัทให้ค่าตอบแทนนิดเดียวก็มีครับ    บางคนขาดความมั่นใจ  สมัครเข้ามาขอเงินเดือนนิดเดียว   แต่พอทำงานกลับทำได้ดีรับผิดชอบเยอะ   มีไหม ที่บริษัทจะขึ้นเงินเดือนให้เอง ให้เหมาะสมกับหน้าที่ความรับผิดชอบ  โดยที่พนักงานไม่ต้องขอ  (มีน้อยที่จะกล้าขอ)    พอไม่กล้าขอ ก็เหลือทางเดียว หางานใหม่ แล้วยื่นลาออก ในทางกลับกัน  พวกที่บอกว่าทำงานมานานเงินเดือนขึ้นนิดเดียว  นี่ก็น่าจะมองตนเองก่อนด้วย  ผลตอบแทนน่าจะตามสัดส่วน ความสำคัญ  ความสามารถ และหน้าที่รับผิดชอบ กับประสิทธิภาพการทำงาน     บางคนทำงานรูทีน  ที่กี่สิบปีก็งานเหมือนเดิมเท่าเดิม  บริษัทขึ้นให้ผมว่าก็ ok แล้วครับ   เพราะเขาสามารถหาคนมาทำแทนเมื่อไหร่ก็ได้ ในกรณีที่บริษัทวางระบบมาดี  งานขึ้นกับระบบ ไม่ใช่ขึ้นกับคน ในความคิดผม เวลาบริษัทรับสมัครพนักงาน ผมไม่อยากให้ไปขุดคุ้ยเรื่องบริษัทเก่าเท่าไหร่นัก    ถ้าบริษัทเก่าเอาเปรียบพนักงานมากๆ  จนพนักงานต้องลาออก  ท่าน HR โทรไปถามเรื่องเก่าๆ  ทำงานเป็นยังไง  ท่านคิดว่าจะได้คำตอบที่เป็นกลางเหรอครับ ในเมื่อมันผิดใจกันมาก่อน  ทั้งๆ ที่พนักงานที่มาสมัครอาจจะเป็น คนดีมีความสามารถก็ได้       คนเค้าจะออกเค้าก็ย่อมมีเหตุผลของเค้า    ตอนนี้เลยกลายเป็นวัฒนธรรมไป  ไม่มีใครที่จะบอกเหตุผลจริงๆ ของการลาออกกันแล้ว   กระทู้ในสีลม ก็มีเยอะแยะ  ถามกันบ่อยๆ ว่า โกหก ยังไงดีให้ไม่น่าเกลียด  -_-' ถ้าเป็นไปได้  ในงานบางประเภท เช่น IT  จัดเวลาทำการทดสอบทั้งข้อเขียนและปฏิบัติ สักสอง ชม. นี่ก็รู้แล้วครับ ใครเป็นยังไง   บางคนเป็น IT Executive มาไม่รู้อะไรเลยก็มี  บางคนแค่ IT support  รู้เยอะก็มีอีกเหมือนกัน  อย่าไปมองตำแหน่งเดิมมาก   บางคนจบสายตรงมาทำงานสู้คนทำงานไม่ตรงสายไม่ได้ก็มี สมัยนี้มันยุคการบริหารแบบใหม่แล้วครับ  งานท้าทาย คนทำได้  ผลตอบแทนสมเหตุสมผล    การทำงานมันต้องต่างตอบแทนครับ แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 50 18:01:04 จากคุณ : Triceratops - [ 14 มิ.ย. 50 17:53:16 ]

ความคิดเห็นที่ 24 คห 17 ผมไม่เห็นด้วยครับ ที่บอกว่ต้องดูตามข้อกฎหมาย เพราะในสัญญาการจ้างไม่ได้มีระบุไว้เลยว่าขอบเขตหน้าที่การทำงานมีอะไรบ้าง   ตอนแรกพูดแบบนึง ตอนหลังทำอีกแบบนึง คือให้เป็นคนขับรถส่งของ อ้างว่าคนขับรถมีคนเดียว แถมค่าน้ำมันก็เบิกไม่ได้ แบบนี้ไม่เรียกเอารัดเอาเปรียบก้ไม่รู้จะว่าไงแล้วครับ จากคุณ : Dearman - [ 14 มิ.ย. 50 19:23:59 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ทำงานต้องได้ค่าตอบแทน ค่าตอบแทนนั้น เป็นทั้งตัวเงิน หรือ ความรู้ หรือ ประสบการณ์ หรือทั้งหมดนี่ จากคุณ : ดอกไม้ในฤดูฝน - [ 14 มิ.ย. 50 22:18:14 ]

ความคิดเห็นที่ 26 really don't agree with the kratoo owner. only a fool would work in an underpaid job knowingly, and the only way to know is to ask! จากคุณ : .. (! o_o !) - [ 14 มิ.ย. 50 22:34:03 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ...ผมเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้นะ       อาจเป็นเพราะผมตั่งเป้าหมายไว้มั้งครับว่าช่วงแรกของการทำงาน จะมุ่งหาประสบการณ์เป็นอั่นดับแรก เรื่องเงินเอาไว้ที่หลัง  แล้วก็ได้งานต่ำแหน่งวิศวกรของบริษัทขนาดกลาง เงินเดือนStartน้อยมากๆนะครับ(หลายคนบอกอย่างนี้ทั่งๆที่ผมคิดว่ามันเป็นrate ของสถาบันที่ผมจบมาแท้ๆ) ช่วงแรกๆ ก็ทุลักทุเลนะคับ ทำทุกอย่าง ที่พอทำได้ ยกของ เลื่อยเหล็ก เชื่อมเหล็ก ทำหมดครับ เพราะ ในปริมาณ งานทั่งหมด มีงานที่เราถนัดสนใจและรักแค่20%ของปริมาญทั่งหมด ที่เหลือก็ไม่คิดไรมาก ก็ทำงานให้ เค้าวันและ 8 ชม. ครึ่งเหมือนเดิม ทำให้งานมันเดินต่อได้ งานเดินต่อเราก็ได้เรียนรู้ต่อ  ก็ไม่รู้จะน้อยใจไปทำไม  พอเค้าเห็นว่าเราทำนั้นได้ดีทำนี้ได้ดี เขาก็ให้เรามาทำจุดนั้นมากขึ้น นะคับ   ยังไม่ทันพ้นโปร เขาก็ให้ผมไปช่วยดูโปรเจคใหญ่แล้ว พอพ้นโปรเขาก็ปรับเงินเดือนให้ผมทั่งๆที่ไม่ได้มีการตกลงกันไว้ว่าต้องปรับ ครบปี ก็ปรับเงินให้อีก 30% โบนัส อีก 5 เดือน ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยที่ผมไม่เคยได้เรียกร้อง พูดกระทบ กัด งอแงแต่อย่างได้ ผมทำงานมาเกือบจะ 2 ปีแล้ว ตอนนี้รักงานที่ทำมาก มีความสุขกับงานมาก ทุกวันนี้ก็ยังมีงานที่นี้ให้ผมเรียนรู้อีกเยอะ และพยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลาเพราะผมเชื่อว่ามันจะช่วยพัฒนาองค์กร องค์กรดีการกินการอยู่เราก็ดีเอง           ผมอาจจะโชคดีนะครับที่ได้องค์กรที่ดี  แต่ผมก็เชื่ออีกว่าทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราครับ สุขทุกอยู่ที่ตัวเราจริงๆ  ลองชั่งใจดูครับ   บางทีถ้าคุณอยู่ที่บริษัทผมคุณอาจจะบอกว่าห่วยแตกทนอยู่ไปได้ยังไงก็ได้ จากคุณ : แมวน้ำลาย - [ 14 มิ.ย. 50 23:11:56 ]

ความคิดเห็นที่ 28 โหวตครับ จากคุณ : มังคลา - [ 15 มิ.ย. 50 00:37:44 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แล้วแต่ความพอใจค่ะ เงินดีก็ทำ ไม่ดีก็ไม่ต้องทำ ตกงานต่อไป ไม่มีเงินใช้ก็อย่าเลือกงาน ทำงานก็ต้องมีเงินเก็บ เงินเดือนเยอะ สร้างหนี้สินก็เท่านั้น อย่าไปคิดไรมาก เรียนที่ดังจบเกรดดี คิดดีๆ ว่าตอนเรียนลอกเพื่อนหรือเรียนเอง เข้าไปได้ทำอะไรดีๆ ให้เค้าหรือเปล่า... จากคุณ : เจ้านายตัวเอง - [ 15 มิ.ย. 50 10:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ของเราไม่ต้องมาถามคนอื่นเลย เพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าทำอะไรอยู่ และประสิทธิภาพของตัวเองเป็นยังไง กำลังคิดว่า ทุกวันนี้ ทำงานหนักมาก   ทำงานให้บริษัทโคตรคุ้มเลย แต่เงินเดือนน้อยมากๆๆๆค่ะ มันก็เกิดความรู้สึกท้อเหมือนกันค่ะ ว่าทำไมบริษัทโหดและเหมือนจะเอาเปรียบคนทำงานจังเลย เรามีทัศนคติที่ดีต่องานมากๆนะ ถ้าไม่ดี เราไม่อดทนมาได้ถึงขนาดนี้ แต่ก็เริ่มไม่ไหวแล้วเหมือนกัน ในเรื่องของการทำงานหนักที่สวนทางกับรายได้ ความเหนื่อยยาก สุขภาพ และสิ่งที่ได้รับกลับมา ก็พยายามมองหาลู่ทางอยู่เหมือนกันค่ะ แต่งานดีๆ บริษัทดีๆ ค่าตอบแทนเหมาะสมหายากจังค่ะ จากคุณ : By the sea - [ 15 มิ.ย. 50 15:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ 31 QUOTE ----------------------------------------------- เรื่องธรรมดาครับ คนเราก็มักจะนึกถึงตนเองเป็นที่ตั้ง คนที่นึกถึงผู้อื่นพอๆกับตัวเอง คงมีอยู่ไม่กี่คน ------------------------------------------------------------ ชอบประโยคนี้ค่ะ เรื่องของเรื่องมันแค่นี้จริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเดือนหรอก .. และก็ไม่ใช่แค่คนทำงาน หรือเจ้าของบริษัท .. มันก็ทุกคน และทุกเรื่อง .. คนส่วนใหญ่ก็เอาตัวเองเป็นที่ตั้งกันทั้งนั้น คิดถึงตัวเอง(และพวก)ก่อนเสมอ จะมีซักกี่คนเหรอที่คิดถึงคนอื่นก่อน หรือคิดถึงคนอื่นพร้อมๆ กับที่คิดถึงตัวเอง ถามหน่อย เวลาถ่ายรูปหมู่ .... คุณมองหารูปใครก่อน ... ถ้าไม่ใช่รูปตัวเอง?       เราเป็นคนใน 80 % ที่แบ่งออกมาอีก ... ทำงานไปวันๆ   คือไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่เคยตั้ง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าทุกวันนี้รออะไรอยู่   รู้แค่ว่าทน ตอนนี้ไม่อยากทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ พยายามทำไปตามครรลองสังคม   หากวันไหนไม่มีพ่อแม่แล้ว คงจะปล่อยตัวเองให้ไหลไปกับสายน้ำจริงๆ แล้วล่ะ จากคุณ : สาวแว่นเลี้ยวซ้าย - [ 15 มิ.ย. 50 15:17:30 ]

ความคิดเห็นที่ 32 สำหรับเด็กจบใหม่ แน่นอน ประสบการณ์ในการทำงาน เป็นสิ่งจำเป็น เป็นสิ่งที่จะสอนให้คุณทำงานเป็น ทำงานได้ ดังนั้น อยากให้คุณมองที่ ลักษณะของงานที่คุณจะทำ มันตรงกับความต้องการของคุณไหม เรื่องเงิน ควรจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่พิจารณา โดยส่วนตัวผมเอง จบช่วงเศษฐกิจ ไม่ดี เงินเดือนยิ่งน้อย สตาทร์ไม่ถึง 12,000 ผมก็ยังต้องทำ เราควรมองว่า เขาให้โอกาสในการเริ่มต้น ควรต้องรีบคว้าไว้ ....หลังจากที่คุณสามารถ ทำงานเป็นแล้ว หลังจากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับคุณ สำหรับ คนที่มีประสบการณ์ ทำงาน แน่นอนเราเป็นมนุษย์เงินเดือน เงินคือสิ่งสำคัญในการทำงานครับ ผมเคยเจอมากับตัวเลย ระดับซีเนียร์ ทำงานไม่เป็น อาศัยพูดเก่ง โม้มาก ตอนสัมภาษณ์ เจ้านายเลือก ให้เงินเดือน 75,000 บวก เบี้ยเลี้ยงต่างๆ เดือนหนึ่ง เกือบแสน แต่พอทำงานจริง กลับทำไม่ได้อย่างที่พูด สุดท้ายแพ้ภัยตัวเอง เขาก็ต้องลาออก ผมเชื่อว่า ในชีวิตพนักงานเงินเดือนนั้น รายได้สูง ย่อม ตามมาด้วยภาวะความกดดันที่สูง ภาวะความรับผิดชอบที่สูง หาก เราสามารถทำได้ทนได้ มันก็คุ้มค่าครับ ส่วนตัวผม หากผมทำงานหนัก โดยที่ไม่ได้รับรางวัลตอบแทน ไม่ยุติธรรมกับผมนัก ผมก็หาที่ใหม่ครับ(หมายถึง ถ้ามีที่ไป) แต่ทุกแห่งที่ผมทำงานให้ ผมให้เต็มที่ เต็มความสามารถ จนถึงวินาทีสุดท้ายที่ต้องทำครับ จากคุณ : ALESZAR - [ 15 มิ.ย. 50 15:49:29 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ปีหน้าคิดว่าจะจบแล้ว โหวตๆๆ ขอบคุณทุกความเห็นนะคะเป็นประโยชน์มากเลย จากคุณ : afford - [ 15 มิ.ย. 50 21:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 34 บางทีให้เงินต่ำกว่าจริง ๆ เขาก็อยู่ไม่ได้ อยากให้น้อง ๆ สมัยใหม่ ลองหาโอกาสให้ตัวเองมากขึ้น ลองตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ หาโอกาสด้วยตัวเองมากกว่าบริษัทที่มีวัฒนธรรมแบบเดิม ๆ สักครั้ง เช่น เป็นบริษัทที่ไม่ถือเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ระบบอาวุโส สถาบันการศึกษา ระบบศักดินาอะไรต่าง ๆ ดู คิดว่าจะจุดประกายอะไรได้มาก ส่วนตัวเคยทำงานกับบริษัทคนไทยกับลองแบบอเมริกา พบว่าต่างกันมากๆ เราคิดว่าตัวเราความสามารถเท่าเดิม แต่ทำไมกลับได้เงินมากกว่าเดิมและ ได้มีโอกาสทำอะไรมากกว่าเดิม อย่าเพิ่งไปคิดน้อยใจ ถ้าตอนแรกได้เงินเดือนน้อยตั้งแต่แรก ขอให้คิดไว้ เลยว่า บริษัทเขาไม่มีจริยธรรม เขาคดโกง ในเมื่อเรามีความสามารถ แต่เขา ไม่ให้โอกาสเราทำงานต่าง ๆ เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เงินเดือนสูง ๆ ผ่านโปรเงิน เดือนก็ยังขึ้นไปกี่ร้อยบาท นี่ก็ต้องลองหาบริษัทใหม่แล้ว อย่าเพิ่งไปกลัว กรณีอายุยังน้อย ๆ อยู่ แล้วจริง ๆ ถ้ากันเหนียวได้ อยากให้ลองไปสมัครสัณชาติต่างประเทศกันไว้ บ้าง เผื่อเกิดอะไรขึ้นมา เราบินไปลองหาประสบการณ์ต่างประเทศสักสองปี เรียนโทไปด้วยก็ได้ กลับมาตัวเลือกน่าจะมีมากขึ้น ให้กำลังใจทุกคนนะ จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 15 มิ.ย. 50 23:49:55 A:203.88.245.2 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เห็นด้วยครับ แต่บางครั้ง ก็ขึ้นอยู่กับ แต่ละบริษัท แต่ละตัวบุคคลด้วย สำหรับผม อยากจะฝากน้องๆ ที่เพิ่งจบ เข้าทำงานใหม่ๆ อย่าเอาเรื่อเงินเดือนหรือผลตอบแทน มาปิดกั้นความสามารถของตัวเอง  ทำงานให้เกินเงินเดือนเข้าไว้ครับ แล้วจะดีเอง จากคุณ : =[ชงเข้ม]= - [ 17 มิ.ย. 50 07:53:34 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เห็นด้วยอย่างที่เจ้าของกระทู้บางส่วนครับ ผมคิดว่าเมื่อเราเริ่มทำงานเราควรเรียนรู้กับที่งานที่เราทำก่อน แล้วอย่างอื่นจะตามาทีหลัง จากคุณ : rutmarama - [ 18 มิ.ย. 50 13:46:30 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แบบว่าทำงานมานานแล้ว เงินเดือนยังน้อยอยู่ ก็น้อยใจเหมือนกัน แต่ตอนนี้ที่ทำงานมีการปรับฐานเงินเดือนใหม่ เด็กเข้าใหม่สตาร์ทมากกว่าเราตอนเข้า เขาก็เลยปรับเงินเดือนให้เราเท่ากะเด็กที่เข้าใหม่ แล้วเราควรดีใจไหมนี่ (ก็แค่ทำงานก่อนเขา2ปีเอง) จากคุณ : เซ็งจริงๆ (คนคอยฝัน) - [ 18 มิ.ย. 50 20:29:23 ]

ความคิดเห็นที่ 38 สำหรับผม คุ้มแล้วกระมังครับ ทั้งดูแลระบบคอมพิวเตอร์ ระบบเว็บ ระบบอีคอมเมิร์ช ดูแลการตลาดร้าน cd ดูแลร้านสาขา 18 สาขา (ตะก่อน 20) ทำเงินเดือนพนักงานขาย รับสมัคร สัมภาษณื อบรมพัฒนาพนักงานขาย ขับรถส่งของในบางที ตั้งบูตในงานแสดงสินค้า ทำกรงหมา พาหมาไปฉีดยา ขับรถให้ผู้บริหาร และญาติมิตร 12K ก่อนโดนหัก จากคุณ : MiraSport - [ 19 มิ.ย. 50 09:22:59 ]

ความคิดเห็นที่ 39 กระทู้ดีๆ โหวตๆ จากคุณ : mung_emotalcore - [ 19 มิ.ย. 50 17:44:40 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขำขำครับ มันเป็นแค่วิธีการหลอกลวงคนกินเงินเดือนครับ มีตำแหน่งให้ โยนเศษเงินให้นิดๆหน่อยๆ พยายามหาการอบรมต่างๆเพื่อเพิ่มศักยภาพ เหมือนไก่ที่อยู่ในกรง ให้เขาป้อนอาหาร ฉีดยาให้ จะได้ออกไข่ได้เยอะๆครับ อย่าไปคิดมาก คุณจะจบฮาเวิดได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่ทำงานให้เขาไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์ครับ เงินเดือนจริงๆที่บริษัทจ้างมีมูลค่าไม่ถึง 10 เปอร์เซนต์ของกำไรบริษัทครับ ทุกคนทำงานได้คุ้มครับ คุณทำเงินให้เขาได้มากกว่านั้นครับ ถ้าไม่คุ้มเขาก็จะหาทางไล่คุณออกเอง เพราะจ้างไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ผมเคยเป็นลูกจ้างมาก่อน ที่จะเป็นเจ้าของบริษัท มันก็แค่มุขที่เจ้าของบริษัทเล่น ใครจะหลอกพนักงานให้ทำงานได้เยอะๆกว่า ได้เนียนกว่ากัน ก็เท่านั้นเองครับ จำไว้ว่าลูกจ้างจะเป็นพวกแรกๆที่ซวย ถ้าบริษัทมีปัญหา เพื่อการรักษากิจการไว้เขาต้องปลดคุณออก กรุณาแยกให้ออกครับ อย่าไปหลงลมปากบริษัทให้มาก พวก MD ก็เป็นลูกจ้างเขาเหมือนกัน ได้เงินเดือนนิดหน่อย ให้หุ้นนิดหนึ่ง แค่นี้ก็คุยแอ็คได้แล้ว เค้าใช้งานยังกับวัวกับควายยังไม่รู้ตัวอีก จากคุณ : zen (zencha2547) - [ 20 มิ.ย. 50 11:45:04 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อ้า ... รอมานาน ...ความเห็นที่แตกต่าง ... หนทางหมื่นลี้ เริ่มที่ก้าวแรก ... จะเป็นเจ้าของกิจการ ไม่เป็นลูกจ้างเลยจะทำได้ไง ... คิดเป็นเจ้าของธุรกิจกันหมด ใครจะมาเป็นลูกน้อง ... ดูถูกงานตัวเอง ดูถูกลูกน้องตัวเอง ก็เท่ากับดูถูกตัวเอง ... การตีความหมายของแต่ละคนแตกต่างกัน ... กระทู้นี้ ต้องการเตือนให้คนอดทน อย่าไปมองที่ค่าตอบแทนเป็นอันดับแรก แม้แต่ทำธุรกิจ ... จ้องแต่จะกำไร ... เอาของคุณภาพต่ำมาขายแพง ... ไม่ลงทุนปรับปรุงระบบ ... ย่ำอยู่กับที่ ...หาแรงงานราคาถูก แต่ไร้ฝีมือ ... มันไม่ยั่งยืนหรอกครับ ... (ปรเทศจีน แรงงานถูกก็จริง แต่คุณว่า คนประทเศเขาสุขสบายงั้นหรือ) ... การเป็นลูกจ้าง หรือ เจ้าของ ไม่มีใครศักดิ์ศรีด้อยกว่ากันหรอกครับ ต่างคนก็เป็นกำลังผลักดันซึ่งกันและกัน ... หน้าที่ต่างคนก็ต่างกัน ... ขาดใครไม่ได้ ความสุขก็มีได้เหมือนๆกัน เพราะ อยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่เงินมาก หรือ น้อย (ยกเว้นเงินไม่พอจ่าย ... อิอิอิ) ... โลกนี้ ต่างคนก็มีหน้าที่ของตนเอง ... คนเล่นเงินก็มี พวกนักค้าสัญญาล่วงหน้าต่างๆ ... รวยเร็วกว่าเป็นเจ้าของมากนัก ... แต่เก็งผิดก็ล้มครืน เจ้าของกิจการที่มั่นคงก็มี พวกทำแล้วเจ๊ง หนี้สินท่วมตัวนอนไม่หลับก็ไม่น้อย พนักงานบริษัทบางคน เงินเดือนพอใช้จ่าย ซื้อบ้านอยู่ ให้การศึกษาลูกได้ มีเวลาไปเที่ยวพักผ่อน ไม่มีหนี้สิน ก็มีอยู่มาก ... (มีเงินเก็บ 40 -50 ล้าน ผมก็เห็นมาแล้ว) ก็ไม่เห็นจะแย่ตรงไหน ... ผมว่าเขาก็คงพอใจแล้วล่ะครับ (เจ้าของกิจการบางคน ยังมาขอยืมเงินเลยนิ) จากคุณ : KENG76 - [ 20 มิ.ย. 50 12:33:57 ]

ความคิดเห็นที่ 42 http://www.bangkokbizweek.com/20070603/bschool/index.php?news=column_23894198.html Eager to Learn ดร. เกศรา รักชาติ เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว ทาง สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม หรือ สคส. ได้จัดเวทีสัมมนา “KM เพื่อการพัฒนาองค์กรอัจฉริยะ” ขึ้น ดิฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมเสวนาในหัวข้อ "ประสบการณ์การพัฒนาองค์กรแนวใหม่" ซึ่งมี ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ที่ปรึกษาด้านการวางกลยุทธ์และพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน และ ดร.ปรอง กองทรัพย์โต ผู้จัดการอาวุโส บจก.สแปนชั่น (ประเทศไทย) ร่วมเสวนาด้วย โดย ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมการสื่อสารพัฒนาการเรียนรู้ ของ สคส.เป็นผู้ดำเนินการเสวนา ดิฉันปลื้มใจที่เห็นมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ทำงานกว่า 800 คน มาร่วมรับฟัง เรียนรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน จากคำถามที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาเขียนส่งขึ้นมาบนเวทีเป็นปึกๆ ได้ความว่าหลายท่านอยากจะให้คน และองค์กรตนเองมีความสามารถในการปรับตัว การเรียนรู้ หลายท่านอยากจะได้วิธีการสร้างและใช้ความรู้ที่นำไปสู่การเพิ่มคุณค่าและมูลค่าขององค์กร เห็นจำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนา เห็นคำถามเป็นปึกๆ แล้วสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยเราน่าจะไปได้ไกล น่าจะเติบโตอย่างแข็งแรง หากเราช่วยกันสร้างคุณสมบัติพื้นฐานของการเป็นองค์กรอัจฉริยะให้เป็นรูปธรรม เป็นจริงเป็นจังขึ้นมา บนเวทีของการสัมมนาในวันนั้น 3 ใน 4 คน มีพื้นฐานมาจากการเป็นวิศวกร ยกเว้นดิฉันคนเดียว คุณผู้อ่านคงนึกออกนะคะว่า ปกติวิศวกรส่วนใหญ่มักจะถูกหล่อหลอมทางด้านพฤติกรรมให้มุ่งเน้นการทำอะไรที่ต้องมีกระบวนการชัดเจน มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น 1+1 ต้องได้ 2 และไม่ค่อยจะสนใจเรื่องของ “คน” เท่าไร ในวันนั้นที่พวกเราได้แลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์การทำงานกันในเรื่อง “ประสบการณ์การพัฒนาองค์กรแนวใหม่” โดยมิได้นัดหมายล่วงหน้าค่ะ เราทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีความเชื่อ ความศรัทธา ในเรื่องของการสร้างบรรยากาศองค์กรให้เอื้อต่อการเรียนรู้ เอื้อต่อการทำให้คนมีความสุขในการทำงาน (งานได้ผล คนเป็นสุขค่ะ) พวกเราทั้งหมดเชื่อว่า ไม่ว่าองค์กรอยากจะเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม (Innovation) อยากจะเป็นองค์กรที่มีสมรรถนะสูง (High Performance Organization) หรืออยากจะเป็นองค์กรอัจฉริยะ (Intelligent Organization) ทุกองค์กรก็ต้องเริ่มต้นจากเรื่องของ “คน” กันทั้งนั้น คุณผู้อ่านเห็นไหมคะว่าแม้แต่วิศวกรที่ถูกบ่มเพาะหล่อหลอมมาให้เชื่อเรื่องกระบวนการ เรื่องผลลัพธ์ สุดท้ายก็หันมาสนใจเรื่อง “คน” กัน ดิฉันนั่งบนเวที ส่งสายตา มองหน้า และสบตาให้กับผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่นั่งฟังอยู่ด้านล่าง เห็นสีหน้า แววตา ของการเป็นผู้ใฝ่เรียนใฝ่รู้ (Eager to learn) แล้วชื่นใจค่ะ หลายๆ คนนั่งจดสิ่งที่วิทยากรพูดอยู่ตลอดเวลา หลายๆ คนนำเครื่อง MP3 มาอัดเสียงด้วย หลายๆ คนเขียนคำถามที่อยากรู้คำตอบขึ้นมาถามวิทยากร หลายๆ คนนั่งพยักหน้าหงึกหงักเห็นด้วย โดนใจกับสิ่งที่วิทยากรได้แลกเปลี่ยน เล่าสู่กันฟัง การเป็นผู้ใฝ่เรียนใฝ่รู้ (Eager to Learn) เป็นสิ่งที่จะช่วยสร้างคนให้เป็นอัจฉริยะได้ค่ะ หากเรายึดหลักดังนี้ ต้องหมั่นหาความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมในวิชาชีพของตนเองเสมอ วันนั้นดิฉันบอกไปว่าอย่างน้อยเราต้องอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาชีพเราปีละ 20 เล่มเสมอ เพราะไม่อย่างนั้นเราเองจะล้าหลังในวิชาชีพค่อนข้างสูงค่ะ เอาง่ายๆ ค่ะว่าสมัย 10 ปีก่อน เราเคยได้ยินเรื่อง Knowledge Management ไหม ก็คงไม่เคยใช่ไหมคะ และดิฉันว่าพนักงานในหลายๆ องค์กรก็คงไม่เคยได้ยินเช่นกัน เพราะไม่เคยอ่านหนังสือเพิ่มพูนความรู้กันเท่าที่ควร อ่านแล้วต้องนำมาประยุกต์ใช้ในงานด้วยค่ะ เพราะการอ่านจะทำให้ความรู้อยู่กับตัวเราได้แค่ 10% เท่านั้น หากเวลาผ่านไป 3 วันค่ะ ถ้าเราเอาไปประยุกต์ใช้ในงาน ความรู้ที่ได้จากการอ่านจะอยู่กับเราได้ถึง 50-75% ค่ะ อ่านหนังสือแล้ว นำไปประยุกต์ใช้ในงานแล้ว ต้องนำไปถ่ายทอดต่อค่ะ ให้กับคนในทีม คนรอบข้าง ยิ่งจะทำให้ความรู้อยู่กับตัวได้ถึง 90% ค่ะ เห็นไหมคะยิ่งให้ จะยิ่งได้ หากอ่านแล้วเก็บเงียบ ก็จะทำให้ไม่ได้ประโยชน์กับตัวเองอย่างสูงสุดค่ะ นอกจากอ่านหนังสือแล้ว การจะสร้างตนเองให้เป็นอัจฉริยะได้ ต้องหมั่นเปิดโลกทัศน์ให้กับตัวเองค่ะ เช่น การมาเข้า Conference การมาเข้าสัมมนา วันนั้นหลังจากลงจากเวทีการเสวนาแล้ว ดิฉันมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้เข้าร่วมสัมมนาอย่างไม่เป็นทางการกับผู้เข้าร่วมสัมมนาหลายกลุ่ม มาจากหลากหลายองค์กร เกือบทุกกลุ่มได้เกิดความตื่นเต้น ฮึกเหิมที่อยากจะนำเอาความรู้ที่ได้รับไปปฏิบัติใช้กับองค์กรเร็วๆ หลายๆ กลุ่มเกิดอาการตื่นตา ตื่นใจ กับจำนวนคนกว่า 800 คน ว่าผู้คนตื่นตัวกันจัง องค์กรเราจะช้าไม่ได้แล้ว กลับไปต้องรีบลงมือทำแล้ว การมาเข้า Conference ทำให้เราได้เรียนรู้จากเพื่อนต่างองค์กรค่ะ ได้สร้างเครือข่าย (Connection) เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ หลายๆ คนแลกนามบัตร เบอร์โทรติดต่อกันค่ะ การเข้า Conference ทำให้เราได้เรียนรู้จากมืออาชีพค่ะ จะทำให้เราแก้ปัญหาได้เร็ว ต่อยอดได้เร็วค่ะ บางทีเรานั่งแต่อยู่ในองค์กร เราจะมองไม่เห็นปัญหาและวิธีแก้ไขที่ต่างมุมมองค่ะ การจะสร้างตนเองให้เป็นอัจฉริยะได้อีกทางหนึ่ง คือ การบันทึก การเขียนสิ่งที่เป็นความรู้เอาไว้เป็นการจัดการองค์ความรู้ หรือ Knowledge management ค่ะ ที่สำคัญที่สุดคือ อย่าอายที่จะเรียนรู้ค่ะ หลายๆ อัจฉริยะในองค์กร ก็จะเป็นองค์กรอัจฉริยะได้ค่ะ โดย ดร.เกศรา รักชาติ : Ph.D. Leadership and Human Behavior ผู้มีประสบการณ์ตรงจากการสร้าง Learning Organization วิทยากรและที่ปรึกษาทางด้าน Learning Organization, Leadership, Coaching, Communication & Interpersonal Skills, ทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาองค์กร มีสิ่งใดต้องการแบ่งปัน แลกเปลี่ยน หรือ ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม เชิญ e-mail มาคุยกันได้ที่ ketsara_rugchart@yahoo.com จากคุณ : KENG76 - [ 20 มิ.ย. 50 21:36:48 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ตอนนี้กำลังเปิดรับสมัครพนักงานเป็นจำนวนมาก หลายตำแหน่ง หากท่านใดสนใจสามารถเข้ามาฝากประวัติย่อไว้ได้ที่เว็บไซค์ jobsinsure  com จากคุณ : jobs (satangle) - [ 21 มิ.ย. 50 10:03:52 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ผมเห็นด้วยในกรณีที่เด็กจบใหม่หรือคนที่ไม่มีประสบการ์ณการทำงานในสาขาอาชีพนั้นมาก่อนไม่ควรเลือกงานที่เงินเดือนมากนะครับคุณควรจะพิจารณาจะความสามารถของคุณที่จะทำให้บริษัทก่อนถ้าคุณคิดว่าคุณทำได้ก็เรียกค่าตัวตามที่คุณต้องการไปเลยแต่ถ้าไม่ก็อย่าให้ความสำคัญกับมันมากนะ(แต่ไม่ใช่เขาให้เท่าไรก็เอานะ)คือคุณควรจะใช้เหตุผลในการพิจารณาด้วยนะครับว่าตอนนี้คุณยังไม่มีประสบการ์ณหรือผลงานอะไรที่เลิศหรูมากถ้าเขากล้าจ้างคุณในราคาที่เป็นมาตราฐานก็ลองทำดูก่อนเถอะครับ ผมว่ามันไม่เสียหายอะไรนี่มันก็เป็นประสบการ์ณของคุณไปเพื่อใช้ในการสมัครงานในครั้งหน้านะครับ จากคุณ : Lu Xun - [ 21 มิ.ย. 50 16:24:32 ]

ความคิดเห็นที่ 46 บางบริษัทตอนนี้ถึงขั้นบอกว่า หาเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานคนดีกว่า เพราะควบคุมได้ ฟังแล้วเป็นห่วงตัวเองจัง จาตกงานมั้ยน้า... จากคุณ : คนชื่อถัง - [ 22 มิ.ย. 50 10:00:08 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ผมเห็นด้วยนะ แต่มันก็มีถูกมีผิดครับ แต่ผมเห็นบางคนชอบเอาเงินเดือนตอนสมัยตัวเองเริ่มต้นมาเปรียบเทียบกับสมัยนี้ครับ สมัย 10-20 ปีที่แล้วน้ำมันราคาเท่าไร ค่าครองชีพละ ค่ารถละ ค่าข้าวละ ค่าครองชีพตอนนี้กับสมัยก่อนต่างกันเยอะนะครับ บางครั้งก็หลายๆคนก็อยากได้เงินเดือนที่สมเหตุสมผล มากกว่า แต่เนื่องจากสมัยนี้สังคมมันเปลี่ยนไป พวกจบมหาลัยดังๆบางคนมักจะิคิดว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น(เหมือนที่อาจารย์หลายๆท่านพูดว่าไม่ค่อยอดทนกัน) และแถมยังมี HR ในหลายบริษัทแบ่งระดับมหาลัยอีก มันก็เลยเป็นอย่างงี้ไง จากคุณ : นายสายฟ้า - [ 22 มิ.ย. 50 11:23:00 ]

ความคิดเห็นที่ 48 สำหรับผมเงินมาก่อนครับ และผมมักจะยืนยันนอนยัน เสมอว่า ผมให้ได้มากกว่าที่บริษัทจ้างผม ถ้าบริษัทจ้างคนต่างชาติตำแหน่งเดียวกัน 300 k จ้างผม 40-50 k อะไรมันจะต่างปาณนั้นเนี่ย จากคุณ : To die for - [ 22 มิ.ย. 50 11:47:19 ]

ความคิดเห็นที่ 49 เราอ่ะได้นิดเดียวเอง แต่เจ้านายก็ดี เพื่อนก็ดี สวัสดิการก็ดี เงินเดือนผ่านโปรขึ้น10% งานไม่หนักมาก เราว่าคุ้มค่ามากๆ เราอายุ 26 แล้ว ภาษาก็ได้ แต่ตำแหน่งยังเป็นธุรการอยู่เลย เราอิจฉาพวกที่จบมาได้เงินเดือนเยอะนะ ที่บริษัทก็มี แต่อยู่ไม่ถึง 3 เดือนก็ลาออกล่ะ เงินเดือนเยอะ เขาก็หวังไว้เยอะ ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องพิจารณาตัวเอง เราอ่ะเงินเดือนก็พอเหมาะกับงานแล้ว จากคุณ : นู๋ไข่ชะอม (นู๋ไข่ชะอม) - [ 22 มิ.ย. 50 16:03:30 ]

ความคิดเห็นที่ 50 เห็นด้วยนะ ในความคิดเราตอนจบใหม่ ก้อไม่หวังเงินเดือนเท่าไหร่แค่เป็นงานที่ชอบและได้เรียนรู้ประสบการณ์ แล้วก้อดูว่าคุ้มไหม ระหว่างรายได้ที่ได้รับกับการซื้อประสบการณ์ แล้วก้อคิดว่ารายได้ที่ได้รับหักค่าใช้จ่ายต่างๆ ต่อเดือน ค่ารถ ใช้พอต่อเดือนรึเปล่า แต่บางบริษัทก็เอาเปรียบจริงๆๆ เพราะเค้าก็คิดเงินเดือนพนักงานเป็นรายจ่ายของเค้าจ้าง 1 คนจะคุ้มกับผลตอบแทนหรือเปล่า ปล. ข้อแนะนำสำหรับคนที่ซีเรียสว่าจะทำงานให้บริษัทมากเกินไปรึเปล่า ก้อให้ทำงานเต็มเงินเดือน เช่น 12000บ. ทำงาน 8ชม ก็คำนวณว่าทำแค่ไหนคุ้มกับที่เค้าจ้างไหม เค้าจ้างแค่นี้ทำมากเหมือนได้เงินซะ 20000 ก็จะทำให้เราเหนื่อยแล้วก็ท้อ จากคุณ : sugus (sugusbear) - [ 23 มิ.ย. 50 09:59:15 ]