ความคิดเห็นที่ 122
ไปอ่านเจอมา น่าสนใจดี (มีภาพประกอบด้วย)
********************
http://www.wealth-society.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=64&postdays=0&postorder=asc&start=30
พยายามจะสรุปให้ง่ายๆ นะคะ
เรียกได้ว่า ประเทศไทยก่อนหน้านี้ ประมาณ 1 ปี.. จากภาพ ตำแหน่งของประเทศ จะอยู่ในโซน มุมขวาบน (แม้บางเดือนเกินดุล บางเดือนขาดดุล แต่อยู่ครึ่งบน)
ทำไมอยู่ครึ่งบน.. ส่วนใหญ่ จะเปรียบเทียบ ค่าเงินบาท กับอัตราเงินเฟ้อของประเทศไทย และต่างประเทศด้วย (แล้วเรียกว่า อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง รวมถึงดูได้จาก ยอดคงค้างการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า) เอาเป็นว่า..ยอดไม่สมดุล ก็เลยไม่ได้อยู่ตรงกลางๆ ... ส่วนจะไม่สมดุลไปทางด้านบน หรือ ด้านล่าง ก็ขึ้น กับว่า... ยอดคงค้างการซื้อขายเงินต่างประเทศล่วงหน้า เป็น "ซื้อ" สุทธิ หรือ "ขาย" สุทธิ)
ถ้า อัตราแลกเปลี่ยนที่เห็นอยู่ กับอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง ยังไม่เท่ากัน .. สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การปรับตัวสู่ดุลยภาพ
ที่กล่าวมาข้างบน.. สรุปได้ดังนี้
1. ค่าเงินบาท.. อาจมีการปรับตัว ไม่เป็นไร ไม่ถือว่าแปลก.. แต่ควรจะให้ปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้เข้าใกล้ดุลยภาพหรืออัตราที่ควรจะเป็น
2. ตำแหน่งดุลยภาพ ก็ไม่แน่นอน.. ขึ้นกับสถานการณ์แต่ละขณะ โดยจะเปรียบเทียบจาก ค่าเงินในตอนนั้น และเปรียบเทียบกับอัตราเงินเฟ้อภายในประเทศกับต่างประเทศ โดยเฉพาะต่างประเทศที่เราทำการค้าขายด้วย อาจจะถ่วงน้ำหนักกับมูลค่าการซื้อขายสินค้าและบริการกับต่างประเทศ
3. การปรับตัว ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ.. ที่สำคัญคือ.. เราอยากให้ปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะเกิดขึ้นได้อย่างไร.. คำตอบเบื้องต้น.. ถ้าห่างจากดุลยภาพไม่มาก.. เวลาปรับตัว ก็ไม่ลำบากมากนัก.. เราจึงอยากให้ค่าเงินบาท อยู่ใกล้เคียงกับอัตราที่ควรจะเป็น ยิ่งใกล้เท่าไร ก็ยิ่งดี เวลาปรับตัว ก็ไม่รุนแรง นโยบายที่ใช้ ต้องประกาศให้ทราบถึง "สาเหตุที่แท้จริง คือการขาดประสิทธิภาพ" ไม่หลอกตัวเอง แล้วใช้นโยบายเพื่อส่งผลให้ค่าเงินฯ กลับไปสู่ตำแหน่งดุลยภาพค่อยเป็นค่อยไป (ไม่ฝืนธรรมชาติ)
สรุป 3 ข้อนี้ เป็นพื้นฐาน ของการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด ในโลก ..ก็พยายามจะปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อก่อน จีน ค่าเงิน แข็งกว่าที่ควรจะเป็น ก็ค่อยๆ เปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน แบบค่อยเป็นค่อยไป
อลัน กรีนสแปน.. เวลาเห็นว่า แนวโน้มทิศทางเป็นอย่างไร ก็พยายามจะสื่อสารให้ทุกคนในประเทศ รับรู้และเข้าใจเวลาปรับตัว
เป็นต้น...
สำหรับนโยบายของประเทศ.. ระดับมหภาค..สรุปเป็น 2 ทาง คือ นโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน .. ซึ่งจริงๆ ทุกนโยบาย ทุกกระทรวง ก็คงจะพยายามเชื่อมโยงกันทุกด้านในการพัฒนาคนและพัฒนาประเทศชาติ
ประเทศไทย อยู่ในตำแหน่ง ที่ต้องมีการปรับปรุง ด้านการผลิต ประสิทธิภาพในการผลิต สมรรถภาพในการแข่งขัน (เพิ่มมูลค่า, สร้างความแตกต่าง) ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำมานานแล้ว.. นี่คือ..การแก้ไขที่ต้นเหตุแท้จริง.. ถึงตอนนี้ เราคงไม่ได้พูดในประเด็นนี้ (แต่ทุกคน ยังต้องรับทราบ และต้องปฏิบัติต่อเนื่อง)
ซึ่งทุกๆคน ทุกๆภาคส่วนในสังคม.. ก็จะต้องตระหนักถึงสิ่งนี้ ว่า..ที่สำคัญเราต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ฯลฯ
ณ ตอนนี้ ก็จะพูดถึงนโยบายการเงิน เป็นส่วนใหญ่... โปรดทราบทั่วกันว่า..นโยบายการเงิน ณ วันนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาครั้งนี้ .. เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ หรือเพื่อช่วยชะลอปัญหาให้ช้าลง หรือเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาให้เบาลงเท่านั้น
ถ้าเรา เป็นผู้ว่า..ธปท. ณ เวลานี้.. ก็คงทำอะไร ไม่ได้มาก (ณ ตอนนี้) เพราะเหมือนมาแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุ
สิ่งที่จะทำได้ เพื่อให้ทุกคนได้รับทราบ คือ...
1. บอกให้ทุกคนทราบ และอย่าหลอกตัวเองต่อไป ..ขอให้รู้ว่า..ประเทศเรา ยังมีปัญหาเรื่องประสิทธิภาพการผลิต เราต้องปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต... ทุกๆคน ต้องตระหนักถึงตรงนี้ โรงงานต้องปรับปรุงประสิทธิภาพ โรงงานไหนขาดประสิทธิภาพ ก็อาจจะต้องเจ็บตัวอยู่บ้าง ถ้ารัฐฯ จะช่วยคนเจ็บตัว..ก็ต้องช่วยแบบให้รู้ว่า "ต้นเหตุ" คืออะไร.. ไม่เช่นนั้น อาจเป็นเหมือนพ่อแม่รังแกฉัน องค์กรที่เกี่ยวกับการบริการ การศึกษาต่างๆ ต้องเร่งสร้างองค์ความรู้ การวิจัยและพัฒนา ไม่ได้ผลวันนี้ก็ไม่เป็นไร แต่ต้องเร่งทำแล้ว (ควรทำมานานแล้ว แต่ไม่เป็นไร เริ่มวันนี้ ก็ยังไม่สาย เพราะไม่มีคำว่าสาย สำหรับการเริ่มต้น) เมื่อบอกคนไทยแล้ว..ชาวต่างชาติ ก็จะได้รู้ด้วยว่า .. "เราก็รู้ว่า ต้นเหตุของปัญหาคืออะไร" หาก ชาวต่างชาติ เห็นว่า.. เรายังไม่รู้ว่าต้นเหตุของปัญหาคืออะไร.. บางส่วนก็อาจจะจ้องเก็งกำไรต่อไป.. (อันนี้ไม่แน่ใจ..)
2. นโยบายที่จะใช้ ไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย หรือการเข้าแทรกแซงค่าเงินฯ ก็ตาม นโยบายต่างๆ ที่ใช้ ล้วนต้องมีผู้เจ็บปวดจากนโยบายทั้งสิ้น... หากเป็นไปได้ ..เราก็อยากเลือกนโยบาย ที่ให้กลับไปสู่ดุลยภาพโดยเร็ว..(ดังนั้น จึงไม่ค่อยเห็นด้วยกับการแทรกแซง) เพราะหากแทรกแซงแล้ว... ทำให้กลับไปสู่ดุลยภาพก็ดีไป.. แต่ถ้ายิ่งไปฝืนธรรมชาติ.. เวลาเด้งกลับไปดุลยภาพ ก็จะเจ็บตัวมากขึ้น นโยบายอัตราดอกเบี้ย.. ลดดอกเบี้ยปุ๊บ.. ราคาหุ้นก็สูงขึ้น.. ดังนั้น เงินต่างประเทศ ก็ยังเข้ามาที่ตลาดหุ้น...(หรือเปล่า..ต้องลองคิดดู) ถามว่า.. ค่าเงินบาท จะกลับเข้าสู่ดุลยภาพหรือไม่... ไม่ว่าจะเป็นการแทรกแซงหรือลดอัตราดอกเบี้ย...
ดังนั้น เทียบแล้ว.. นโยบายใดๆ ที่ใช้..ล้วนมีผู้ต้องรับความเจ็บปวดจากนโยบาย .. ในฐานะคนหนึ่งที่เป็นเจ้าของประเทศ 1 เสียง..จึงมีความเห็นว่า... ไม่ว่าจะใช้นโยบายใด.. ต้องประกาศให้ทราบถึง "สาเหตุที่แท้จริง คือประสิทธิภาพที่ต้องปรับปรุง".. แล้วเหตุผลที่เลือกนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นนโยบายใดก็ตาม..ก็เพื่อให้ค่าเงินบาท เข้าสู่ดุลยภาพโดยเร็ว (นั่นคือ.. ค่าเงินบาท จะแข็งค่า กว่านี้อีกๆๆๆ --> เพราะนี่ คือความจริงที่ต้องเผชิญ)
3. ถ้าฝืนต่อไป จะเกิดอะไรขึ้น... หากเทียบสมัยก่อนประมาณ 11 ปีที่แล้ว ประมาณ 1 ปี ก่อน 2 กรกฎาคม 2540 สถานการณ์ใกล้เคียงกัน... เพียงแต่ ตอนนั้น ค่าเงินบาท แข็งกว่าที่ควรจะเป็น..และต้องปรับตัวอ่อนกว่าเดิม) (ตอนนี้ ค่าเงินบาทอ่อนกว่าที่ควรจะเป็น.. และต้องปรับตัวแข็งกว่านี้)
โปรดทราบว่า.. ค่าเงินบาทตอนนี้ ไม่ใช่ตำแหน่งดุลยภาพ..ตำแหน่งดุลยภาพ ต้องแข็งค่ากว่านี้
จึงขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ที่ไม่ได้ดุลยภาพในทั้ง 2 ช่วง (ช่วงนั้น แข็งกว่าที่ควรจะเป็น, ช่วงนี้ อ่อนกว่าที่ควรจะเป็น)
ตอนนั้น..ชาวต่างชาติทำ buy-sell swap โดยนักเก็งกำไรขายเงินบาท ซื้อเหรียญฯ ในตลาด แล้วกลับมาเก็งกำไรค่าเงิน ธปท. เงินสำรองที่เป็นเงินตราต่างประเทศลดลง ก็มีการเพิ่มความน่าเชื่อถือ (หรือเปล่า ไม่แน่ใจ) โดยการนำเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าที่ซื้อไว้ล่วงหน้า มาขายในตลาด
ตอนนี้.. ชาวต่างชาติ net open buy เงินตราต่างประเทศ forward position (เก็งกำไรหรือเปล่า...) แล้ว เราก็กำลังสนับสนุน มาตรการต่างๆ เพื่อให้ถือเงินต่างประเทศ (สนับสนุน ชาวต่างประเทศ ที่เอาเงินเหรียญฯ มาขาย เพื่อซื้อกลับล่วงหน้า..กันหรือเปล่า)... สถานการณ์คล้ายๆกัน..เหมือนสนับสนุน ให้ไม่เกิดวิกฤติ (ในตอนนี้) แล้วฝืนกันไป ทำให้อาจเกิดวิกฤติที่รุนแรงกว่านี้ (ในวันข้างหน้า) ...หรือเปล่า
4. หลังจากวิกฤติจะเกิดอะไร.. หลายคนก็สงสัยว่า.. เมื่อเกิดวิกฤติแล้ว..ค่าเงินจะกลับไปอ่อนมากๆๆ เหมือนตอนวิกฤติปี 40 หรือไม่... ตอนนั้น ตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนมาใช้ ระบบอัตรา แลกเปลี่ยนแบบลอยตัว (Managed Float) การปรับค่าเงิน จึงปรับอย่างรุนแรง
ปัจจุบัน ก็คงรุนแรง (ถ้าจะเกิดวิกฤติ..เพราะถ้าเรียกว่าวิกฤติ ก็แสดงว่า ปรับตัวรุนแรงพอควร) แต่ถามว่า วิกฤติค่าเงินฯ จะแรงเท่าเดิมมั้ย จาก 27 บาท ไป 60 กว่าบาทต่อเหรียญฯ ตอบว่า.. ไม่รุ่นแรงถึงขนาดนั้น (ในแง่การเปลี่ยนแปลงค่าเงินฯ).. เหตุผลก็คือ.. ค่าเงินฯ นอกจากจะขึ้นกับ ค่าเงินฯที่ประกาศเป็นตัวเลขแล้ว.. ยังขึ้นกับอัตราเงินเฟ้อในประเทศด้วย
ดังนั้น..วิกฤติที่เกิดขึ้น.. อาจจะส่งผลให้ เศรษฐกิจในประเทศฝืด (อัตราเงินเฟ้อต่ำ.. ก็ส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริงสูงขึ้น ได้เช่นกัน)
ทั้งนี้.. ก็ยังขึ้นกับต่างประเทศด้วย.. เช่น สหรัฐฯ กับ ไทย.. ใครจะเกิดวิกฤติก่อนกัน..เป็นต้น..(ไม่แน่ใจ)
5. อย่างไรก็ตาม... ท้ายสุดแล้ว.. หน้าที่ของประชาชนคนไทย..ก็ควรจะ หันมา
เพิ่มประสิทธิภาพของตนเอง (คิด สร้างสรรค์ เพิ่มคุณค่าให้ตนเองและสังคม) เพิ่มประสิทธิภาพให้องค์กร (เพิ่มมูลค่า, สร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ, สร้างความแตกต่างให้กับองค์กร)
หากจะลงทุนใหม่ๆ.. ให้เน้นคุณค่า...ถ้าจะทำอสังหาฯ..(คนใกล้ๆตัว ก็ยังทำอยู่เพียบ..อิอิ) ก็เน้นทำแบบมีคุณค่าจริง เป็น demand จริงๆ ไม่ใช่ demand เทียมๆ ก้าวอย่างมั่นคง..ใช้แนวคิด. wealth ก็ช่วยได้...
ทำเพราะใจรัก ทำเพราะความสุข ทำเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์และองค์ความรู้ ทำเพื่อสังคม
แล้วจะไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป.. อย่าทำเพราะความโลภ อย่าทำเพราะคิดว่าจะรวยๆๆ เงินๆๆ...
ขอบคุณทุกท่านค่ะ...ที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือ..สำหรับประเทศและสังคม
สู้ๆๆ
ninja
*******
จากคุณ :
wonderchoice
- [
28 ก.ค. 50 03:06:39
]
|
|
|