ความคิดเห็นที่ 10
ก่อนอื่นต้องชมว่าคุณเก่งมาก ที่กล้าเปิดกิจการของตัวเอง เพราะมีหลายๆ ท่านที่มีความรู้ดี เขายังไม่กล้าเลยครับ(ด้วยหลายสาเหตุ หลายเหตุผล)
ตามความเห็นของผม ผมคิดว่าการเปิดกิจการจะเป็นห้างหุ้นส่วน หรือเป็นบริษัทนั้น เราต้องทราบก่อนครับว่าทำไมเราถึงอยากเปิดกิจการ ลูกค้าเราเป็นใคร เขาต้องที่จะติดต่อกับเราในรูปแบบบริษัท หรือห้างหุ้นส่วน หรือเขาไม่สนใจรูปแบบแต่ว่าเขาสนใจทุนจดทะเบียนมากกว่า การที่เราเปิดกิจการนั้นเราควรศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียก่อนนะครับว่าบริษัทมีข้อดีอย่างไร เช่น จำกัดความรับผิดชอบเท่ากับจำนวนทุนที่เราจดทะเบียนเท่านั้น(สำหรับทุนจดทะเบียนหากคุณมีทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท ก็จะเป็นธุรกิจประเภท SMEs ได้สิทธิ์ด้านภาษี) ในขณะที่ห้างหุ้นส่วนมีหุ้นส่วนสองจำพวก คือ จำกัดความรับผิด กับไม่จำกัดความรับผิด, อีกเรื่องที่เป็นปัญหาประจำคืออำนาจของกรรมการ ถ้าจดห้างฯอำนาจจะเป็นของหุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิดชอบ แต่บริษัทอำนาจอยู่ที่หนังสือรับรอง ซึ่งมาจากการประชุมผู้ถือหุ้นว่าให้ใครเป็นกรรมการบ้างใครมีอำนาจผูกพันแทนบริษัทได้, เมื่อคุณจดทะเบียนแล้วคุณมีหน้าเป็นผู้จัดทำบัญชี(มีหน้าที่จัดหาผู้ทำบัญชี กรณีที่คุณไม่มีคุณสมบัติตามพรบ.), ผู้ตรวจสอบของกิจการทั้งสองประเภทก็แตกต่างกันบริษัทจะใช้CPA แต่ห้างใช้TA เป็นต้น
เมื่อคุณจดทะเบียนจัดตั้งกิจการคุณต้องทำเรื่องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีที่กรมสรรพากรในพื้นที่ที่ตั้งของสถานประกอบการนั้น สำหรับเรื่องภาษี คุณควรทำความเข้าใจภาษีสักเล็กน้อยเช่น ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีธุรกิจเฉพาะ เป็นต้น เพราะภาษีทั้งหมดส่วนใหญ่จะกระทบกับคุณอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น เมื่อคุณมีรายได้ถึง 1.8 ล้านคุณมีหน้าที่ต้องเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม(หากคุณไม่ได้ประสงค์ขอเข้าระบบก่อนหน้ารายได้ถึงเกณฑ์) เมื่อคุณจ่ายค่าเช่าคุณมีหน้าที่หัก ณ ที่จ่าย 5% และนำส่งด้วยแบบภงด.3 หรือ ภงด.53 ภายในวันที่ 7 เดือนถ้ดไป เมื่อคุณจดทะเบียนแล้วคุณมีหน้าที่ยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคกลางปี และปลายปี เป็นต้น(จากคำถามข้อสอง คุณน่าจะศึกษาคำว่า บุคคลธรรมดา และนิติบุคคลด้วยนะครับ จะได้เข้าใจมากขึ้นอีกนิดหนึ่งครับ)
กรณีเงินเดือน หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณจะตั้งเงินเดือนของคุณทั้งสองท่านหรือไม่นั้น ให้คุณดูความเหมาะสมของรายได้ที่จะเกิดกับกิจการด้วยครับ หากคุณคิดว่ากิจการควรมีรายจ่ายในลักษณะที่เป็นเงินเดือนเพราะมีรายได้สูงและไม่มีรายจ่ายใดๆเลยเพราะเป็นธุรกิจบริการ คุณก็ควรตั้งเงินเดือนให้ทั้งกรรมการทั้งสองท่านได้(หากทั้งสองท่านเป็นกรรมการ) แต่การตั้งเงินเดือนสิ่งที่จะกระทบก็คือ กิจการต้องคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และนำส่งด้วยแบบ ภงด.1 ต่อกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป ส่วนกรรมการทั้งสองท่านนั้นมีหน้าที่ยื่นแบบ ภงด.91 ภายใน 31 มีนาคมของปีถัดไป(ถ้าหากมีรายได้อื่นนอกจากเงินเดือนให้ยื่นด้วยแบบ ภงด.90)
กรณีที่คุณต้องการนำรายจ่ายค่าเช่า ที่คุณได้ทำจ่ายให้แก่ผู้ให้เช่ามาลงเป็นรายจ่ายของกิจการ คุณสามารถทำได้ เพียงคุณจัดทำสัญญาเช่า ระหว่างกัน โดยผู้เช่า กับผู้ให้เช่า กำหนดระยะเวลาในการเช่า การจ่ายชำระ ค่าเช่าต่อเดือน(ปี) แต่ผลกระทบที่ตามมาคือ ในสัญญาได้ระบุหรือไม่ว่าผู้ใดเป็นผู้จ่ายค่าภาษีโรงเรือนและบำรุงท้องที่
กรณีการออกใบกำกับภาษีให้แก่ลูกค้า หากคุณได้จดทะเบียนเข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว(ด้วยแบบ ภพ.01) คุณสามารถออกใบกำกับภาษีได้ทันที่นับจากวันที่กรมสรรพากรอนุมัติให้เข้าระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (กรุณาศึกษา มาตรา 86/4 มาตรา 86/9 และมาตรา 86/10 แห่งประมวลรัษฏากรประกอบด้วยครับ)
กรณีภาษีเงินได้นิติบุคคลปลายปี(ภาษีจากกำไร) หากคุณมีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท ณ วันสิ้นปี ถือว่าคุณเป็นธุรกิจ SMEs คุณจะเสียภาษีในอัตราก้าวหน้า โดยกำไรตั้งแต่ 0 บาทไม่เกิน 1 ล้าน เสียภาษีในอัตรา 15% แต่หากคุณมีทุนจดทะเบียนเกิน 5 บาท คุณจะเสียภาษีในอัตรา 30% จากกำไรทั้งจำนวน ครับ
อย่างไรลองอ่านความคิดเห็นท่านอื่นดูนะครับท่านอาจเข้าใจและตอบได้ดีกว่านี้ครับ หากต้องการปรึกษาเพิ่มเติม คุยผ่าน msnได้ที่ lekjaeng@hotmail.com ครับ
จากคุณ :
lekjaeng@hotmail.com
- [
6 ก.ย. 50 00:28:45
A:58.9.5.22 X:
]
|
|
|