ความคิดเห็นที่ 1 1. การทำความรู้จักกับตัวเอง   สิ่งนี้มีมิติให้ทำความรู้จักหรือสังเกตได้หลายมุม  ทุกวันเราล้วนแสดงออกถึง ตัวตนของเราออกมาอยู่แล้ว  เพียงแต่เราไม่เคยสังเกตมันอย่างจริงจังหรือ แท้จริงต่างหาก  เราลองมามองสังเกตนิสัยของตัวเองแล้วจดๆ ไว้กันก่อนดี ไหม  ลองถามตัวเองว่า - เราชื่นชอบอะไรมาตั้งแต่เด็กๆ  อะไรคือสิ่งที่หลงไหล >> บางทีชีวิตของ ผู้ใหญ่  มักไปยึดติดกับวัตถุ  หรือติดกับมุมมองของสังคม  มากกว่าความคิด ความรู้สึกสมัยเด็กๆ - เราเป็นคนมีนิสัยอย่างไรบ้าง  นิสัยหลักที่เด่นชัดคืออะไร >> โดยทั่วไป แล้วนิสัยและความชอบของคนนั้นเปลี่ยนได้ยาก  แต่อาจพัฒนาให้ดีขึ้นได้ ในบางเรื่อง  ซึ่งส่วนนั้นมักต้องใช้เวลา - นิสัยที่เด่นนี้มักนำไปสู่ Talent ที่เป็นความถนัดหรือความสามารถที่โดด เด่นได้ >> เช่น นิสัยทำอะไรรวดเร็ว  หรือรอบคอบ  นิสัยเป็นผู้นำ  นิสัย ชอบทำอะไรด้วยตัวเอง  นิสัยชอบคบหาคนหมู่มาก ฯลฯ  ซึ่งนิสัยเหล่านี้จะ นำมาพิจารณาถึงอาชีพที่เหมาะสมได้  และการได้ทำอาชีพที่เป็นตัวของตัว เองนี้จะนำมาซึ่งความสุขในที่สุด - ทักษะที่ตัวเองมี  >> ทักษะนี้ต่างจากนิสัย  ทักษะหรือที่เรียกว่า Skill เกิด จากการเรียนรู้ในภายหลัง  และทักษะนี้อาจนำไปสู่อาชีพได้  แต่ต้อง พิจารณาด้วยว่าแท้จริงแล้วมันเหมาะกับเราหรือไม่  เพราะบางครั้ง  บางคน  ตอนเลือกเรียนก็ไม่ได้พิจารณาอย่างเป็นระบบ  จึงอาจเรียนในสิ่งที่ไม่ เหมาะกับนิสัยของตัวเอง - แรงผลักดันในตัวเองที่เรามี  >> แรงผลักดันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งใน การที่เราจะประสบความสำเร็จได้  ผู้มีแรงผลักดันในตัวเองน้อย  จะไม่ สามารถเอาชนะอุปสรรคได้  และจะมีโอกาสในการประสบความสำเร็จได้ น้อย  แต่การแรงผลักดันนี้ก็มีทั้งจากภายในและภายนอก  อีกทั้งยังสามารถ พัฒนาได้ด้วย จากคุณ : Jimmy Walker - [ 16 ต.ค. 50 08:56:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 2. รู้จักกับเป้าหมายอย่างแท้จริง พอรู้จักตัวเองแล้ว  เราอาจมีรายการของความชอบ  หรืออาชีพในฝันอยู่ หลายๆ อาชีพ  ซึ่งต่อไปเราก็ต้องไปทำความรู้จักกับอาชีพเหล่านั้นอย่างลึก ซึ้งเสียหน่อย  ว่ามันมีมิติอย่างไรบ้าง  เช่น -การจะประสบความสำเร็จในอาชีพนั้นๆ  มี format โดยทั่วไปอย่างไรบ้าง >>  อาจเป็นนิสัย  ทักษะ หรือปัจจัยอื่นๆ เช่น เงินทุนหรือ คอนเนคชั่น อย่างไร  เรื่องนี้ต้องศึกษาอย่างถึงที่สุด  ดูคนที่ประสบความสำเร็จในสาย อาชีพนั้นๆ ว่าเขามีนิสัยหรือมีทักษะ  และปัจจัยส่งเสริมอย่างไรบ้าง - รู้จักว่า อาชีพนั้นๆ ต้องมีการทำงานอย่างไร  หรือมี life style อย่างไร >>  บางทีเราอาจเห็นภาพสวยๆ เพียงครึ่งเดียว  ด้านที่ไม่ดี  หรือด้านที่ น่าเบื่อของอาชีพนั้นๆ เราอาจยังไม่รู้จักก็ได้ และการเลือกอาชีพโดยเห็น แต่ด้านดีๆ ก็อาจผิดพลาดเสียหายได้   โดยเฉพาะที่ต้องมีการลงทุน - ผลตอบแทนของอาชีพนั้นๆ อาชีพเหล่านั้นสามารถสร้างรายได้มากที่สุด หรือมีขีดจำกัดที่เท่าไหร่   แล้วนำมาประกอบกับเรื่องอื่นๆ  >>  เพราะต้อง ยอมรับว่า คนเราก็ต้องการนำเงินไปซื้อหาสิ่งอื่นอันเป็นความต้องการของ ชีวิตเช่นกัน  แต่อาจไม่ได้หมายถึงจะต้องเลือกที่มีรายได้มากที่สุดเสมอไป จากคุณ : Jimmy Walker - [ 16 ต.ค. 50 08:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 3 3. รู้จักปัจจัยแวดล้อม  และเงื่อนไขชีวิตของเรา เมื่อรู้เรา และรู้เขาแล้ว  ยังมีปัจจัยแวดล้อมของเราด้วยที่จัดอยู่ในข่ายของ การรู้เรา  เพราะคนเรามีปัจจัยแวดล้อมของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  และบาง ครั้งเปลี่ยนได้ยาก  แต่ปัจจัยเหล่านี้กลับมีอิทธิพลต่อการประสบความสำเร็จ ของเรา  ฉะนั้น เมื่อเราเริ่มรู้เป้าหมายของเราที่ชัดเจนคร่าวๆ แล้ว  เราก็มาดู อีกว่า  ปัจจัยแวดล้อมของเรานั้น  ส่งเสริมหรือเป็นอุปสรรคต่อการเลือก อาชีพใดบ้าง  เพื่อที่จะได้เลือกอาชีพที่ปัจจัยแวดล้อมที่เรามีอยู่นั้นส่งเสริม อาชีพที่เลือก  ปัจจัยแวดล้อมที่ควรพิจารณา เช่น - ครอบครัว  >> เราควรพิจารณาการส่งเสริมของครอบครัว หรือวัฒนธรรม ของครอบครัว  ซึ่งมีผลอย่างมาก  และครอบครัวอาจพิจารณาทั้งพ่อแม่   พี่น้อง  หรือสามี-ภรรยา ด้วย - เงินทุน >> สำคัญมาก  โดยเฉพาะต่อการทำธุรกิจ  แต่เงินทุนก็สามารถ ได้จากการเก็บออมหรือมีคนแวดล้อมให้หยิบยืมได้(บางกรณี) - คอนเนคชั่น >> ชีวิตของหลายคนเริ่มได้ง่ายๆ เพราะมีคอนเนคชั่นที่ดี   อาจจะเป็นพี่น้อง  ญาติ  หรือเพื่อนฝูงก็ได้ - ปัจจัยอื่นๆ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 16 ต.ค. 50 09:00:54 ]

ความคิดเห็นที่ 4 4. เลือกเป้าหมายที่ชัดเจน  และวางแผนกลยุทธ์ มาถึงขั้นนี้  พอรู้เราและรู้เขาแล้ว(ตัวเราและอาชีพของเรา)  ก็ต้องมาวางแผน   ว่าภายใต้เงื่อนไขที่เรามีทั้งหมด  เราจะบรรลุเป้าหมายที่เราฝันหรืออาชีพที่ เราฝันได้ด้วยวิธีใดบ้าง  หากปัจจัยไม่เพียงพอ  แต่ยังพอหาเพิ่มได้  เราจะ ต้องหาปัจจัยนั้นๆ มาอย่างไร  แต่ขอแนะนำว่า  อย่าเพิ่งตั้งเป้าหมายที่สูง เกินเอื้อมเกินไป  ตั้งเป้าหมายที่ยากแต่มีโอกาสบรรลุได้จะดีกว่า  และเรื่อง การวางแผนนี้อาจแยกย่อยได้มากมาย  แล้วแต่จะคิดหาวิธี  แต่โดยทั่วไปก็ จะมีไกด์ไอเดียถึงวิธีการบรรลุเป้าหมายให้ได้เช่น - ต้องระบุเป้าหมายให้ชัดเจนและแคบ  >> อย่าระบุเป้าหมายที่กว้างเกินไป   เช่น อยากรวย อย่างเก่งอะไรแบบนั้น  ถ้าตั้งเป้าหมายทางการเงินต้องระบุ ให้ได้ว่า  เงินจำนวนนั้นมีจำนวนเท่าไหร่(ระบุลงไป)    แล้วทำให้เราต้องหา รายได้ต่อปี  ต่อเดือนเท่าไหร่  ซึ่งบางทีแบบนี้จะทำให้เราปรับเป้าหมายที่ เป็นจริงได้มากขึ้น  มากกว่าการตั้งเป้าหมายที่เลื่อนลอย  อาชีพก็ควรระบุ ให้ชัดเจน  อย่ากว้างๆ เช่น อาชีพอิสระ  (แบบนี้ก็กว้างไป) - ย่อยฝันให้เล็กลง >> อย่าพยายามกลืนอะไรใหญ่ๆ ในคำเดียว  เราต้อง ย่อยความฝันใหญ่ๆ ของเรา  ที่อาจบรรลุใน 20 ปีลงมาเป็น แผน 2 ปี   แผน 3 เดือน  แล้วพยายามบรรลุแผนย่อยๆ นั้น  เมื่อบรรลุแผนย่อยๆ ไปทีละขั้น  ฝันใหญ่ๆ มันก็เป็นจริงได้  Think Big ได้ แต่ให้ Act Small ก่อน - ระบุ Dead line >>  การตั้งเป้าหมายต้องระบุกำหนดระยะเวลาที่เราตั้งใจ จะบรรลุในแต่ละแผนการ  อย่าตั้งเป้าหมายแบบเลื่อนลอยไม่มีกำหนด   การมี Dead line ที่เหมาะสม(อย่าตั้งมาตรฐานที่ต่ำเกิน)  และไม่เลื่อน ออกไปบ่อยๆ (ผลัดวันประกันพรุ่ง)  จะเป็นแรงผลักให้เราบรรลุเป้าหมายได้ เร็วขึ้น - กำหนดเป้าหมายที่จับต้องได้  ประเมินได้  >>  เราจะได้รู้ว่า  เราอยู่ ณ จุดใดแล้ว ช้า  เร็ว  หรือเป็นไปตามแผน - บางครั้ง เป้าหมายอาจไม่ใช่ผลลัพธ์ แต่เป็นกิจกรรมที่ลงมือทำ  >> เช่น ตั้งใจจะเรียนรู้เพิ่มเรื่องนี้  เรื่องนั้นให้เสร็จภายใน 1 เดือน  ฯลฯ  กิจกรรม เหล่านี้  มักจะตามมาซึ่งผลลัพธ์ที่เราวางแผนไว้เองในที่สุด - กลยุทธ์อื่นๆ เช่น จะมีผู้ร่วมทีมหรือไม่  หรือจะทำความฝันไปคนเดียว ฯลฯ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 16 ต.ค. 50 09:06:06 ]

ความคิดเห็นที่ 5 5. ปฏิบัติตามแผน และปรับปรุงอยู่เสมอ เมื่อได้แผนที่แน่นอนแล้วก็  หยุดรับข้อมูลใหม่ๆ เสียบ้าง  มุ่งมั่นกับการทำ อย่างเดียว ไประยะหนึ่ง  แล้วดูว่า  ผลเป็นอย่างไร  ถ้ายังมีปัญหาจึงอาจ หยุดคิดหาทางแก้ไขเป็นระยะๆ    อย่าคิดหรือรับข้อมูลใหม่ๆ ให้มากเกิน ไป  จะทำให้สับสนและเปลี่ยนแผนบ่อยๆ  ซึ่งไม่ดีครับ ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดคร่าวๆ ของผมที่ใช้กับตัวเอง  แม้อาจมีตกหล่นไปบ้าง (เพราะรีบเขียน)  แต่คงไม่มากนัก  ใครมีข้อเสนอแนะอย่างไรเพิ่มเติม  ก็ ช่วยเติมๆ ให้น้องๆ กันนะครับ  หรือใครจะแย้งก็ยินดี  ถือเป็นการมองต่าง มุมกันก็ได้  ซึ่งน่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับทุกคนครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 16 ต.ค. 50 09:07:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ขอบคุณครับ จากคุณ : Arteeart - [ 16 ต.ค. 50 10:50:25 ]

ความคิดเห็นที่ 7 มาปูเสื่ออ่าน เซพไว้ด้วย จากคุณ : ส้มแป้น.. - [ 16 ต.ค. 50 13:03:09 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตามมาอ่านแล้วค่ะ ขอบขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งในความมีน้ำใจของคุณJimmy Walkerนะคะ อย่างน้อยพี่(ขออนุญาตเรียกคำนี้เพราะนับถือค่ะ)ก็ให้แนวทางที่ดีกับหนูและอีกหลายๆคนที่ยังสับสนอยู่ ่จะนำคำแนะนำของพี่ไปปรับใช้ให้ได้มากที่สุดค่ะ ฝันของหนูไม่ใหญ่ ไม่มากหรอกค่ะ แค่เลี้ยงตัวเอง เลี้ยงลูกได้ มีเงินเก็บและมีเงินทำบุญก็พอแล้วค่ะ จากคุณ : pigu - [ 16 ต.ค. 50 18:09:04 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : Salatan - [ 16 ต.ค. 50 18:14:46 ]

ความคิดเห็นที่ 10 พี่จิมมี่เขียนได้ดีมากเลยครับ ผมขออนุญาตร่วมนำเสนอแนวคิดด้วยคนครับ การคิดอย่างเป็นระบบที่พี่จิมมี่ได้กล่าวมาก็คือการคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking) นั่นเองครับ สาเหตุของปัญหาหนักอก ที่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ต้องขบคิดกันอย่างมากนั้นก็อาจจะเป็นเพราะว่า ยังเก็บเกี่ยวความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ไม่ได้มากพอเท่านั้นเองครับ (แต่เก็บมากยังงัยมันก็ไม่พออยู่ดี)  เวลาพบเจอสถานการณ์ใหม่หรือที่แตกต่างออกไป ก็คิดหาวิธีการจัดการกับปัญหานั้นๆ ผมขออนุญาตนำเสนอกรอบความคิดร่วมด้วย อีกอย่างหนึ่งนอกจาก Strategic Thinking แล้ว นั่นก็คือ ตัวแบบพื้นฐานของระบบโดยทั่วๆไป แบบนี้ครับ Input ==> Process ==> Output/Outcome ในกรอบนี้มันช่วยให้เราเห็นความสำคัญของสิ่งที่เราควรจะให้ความสำคัญ   นั่นคือ 1.คนเราต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต เรียนรู้อะไรบ้างหล่ะ? เรียนรู้ Fundamental,Principal หรือ Theory ทั้งหลาย ซึ่งจะมีการพัฒนาขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาตามสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป ...., เรียนรู้ Current Information ที่เราต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น..., เรียนรู้ ลักษณะของคน ที่เราต้องใช้ประสบการณ์ร่วมในการวิเคราะห์ด้วย 2.การที่เราจะแก้ปัญหาอะไร เราต้องมีข้อมูลในการตัดสินใจที่มากพอ ในส่วนของภายในเราอาจจะพอรู้จักตัวเราเองบ้าง แต่สิ่งที่ยากมากก็คือ ส่วนที่เป็นการมองจากภายนอกนั้น บอกได้เลยครับว่าร้อยคนก็ร้อยความคิด บางคนคิดเป็น Negative บางคนคิดเป็น Positive และนอกเหนือจากทัศนคติแล้ว การให้น้ำหนักขององค์ประกอบนั้นๆ ควรจะได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดด้วย เราถึงจะได้ข้อสรุปของทิศทางที่ถูกต้องของกลยุทธ์ที่เราจะกำหนดลงไป ทั้งข้อ 1 และข้อ 2 ทำให้เราเห็นอะไรใน Input และ Process แล้วใช่มั้ยครับ  ถ้า Input ถูกต้อง และ Procees ดี มีให้เลือกหลากหลาย ก็พอจะมีสมมติฐานได้ว่า Output/Outcome ที่ออกมาก็จะมี Productivity สูงเป็นที่พอใจด้วย สิ่งที่ยากยิ่งขึ้นไปอีกเนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคของภาวะที่เราเรียกกันว่า Globalization ที่ปัจจัยภายนอกมีน้ำหนักความสำคัญมากกว่าภายใน และเราทุกคนก็อยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงมาก (Hyper Competition)  ถ้าคู่แข่งมีสิ่งนั้นเหนือกว่า สิ่งที่เราคิดว่าเราเป็นจุดแข็งของเรา ก็อาจจะไม่ใช่แล้ว ก็เป็นได้เมื่อเปลี่ยนมาเป็นสนามใหม่แล้ว ดังนั้นจึงต้องมาดูความได้เปรียบหรือขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Adventage) ว่าของเรายังรักษาระดับได้หรือไม่ ......การคิดเป็นระบบเพื่อการพัฒนา ยังสามารถจะต่อยอดได้อีก ด้วย Model อื่นๆ เช่น Strength ==> Talent + Investment (ผมนำมาจากหนังสือชื่อ Strength Finder ครับ) (ถ้าจะให้ดีช่วยย้อนกลับไปดูเรื่องจุดแข็ง และ Talent ที่พี่จิมมี่ได้กล่าวมาก่อนแล้วก็จะเข้าใจมากขึ้นครับ) ตัวแบบนี้สามารถอธิบายได้ว่าจุดแข็งของเรานั้นสามารถที่จะเสริมสร้างให้แข็งแกร่งได้ถ้าเรารู้จักเลือกที่จะเสริม คือต้องรู้ก่อนว่า Talent ของเราคืออะไร? ถ้ามองผิดก็จะเสียเวลาเปล่าครับ ยกตัวอย่างเช่น ...ถ้าคุณเป็นคนตัวเตี้ย แต่ชอบกีฬาบาสเก็ตบอลมาก จึงอยากเล่นบาสเก่งชนะเลิศ NBA ...เป็นงัยครับ...ถึงคุณจะ Investment ในส่วนนี้มากแค่ไหน คุณก็คงจะเห็นว่า คุณก็แพ้อยู่วันยังค่ำ  คืออย่าไปเลือกสนามที่คุณไม่มีวันชนะ ดังนั้นต้องเลือก Investment ในสิ่งที่ทำให้มีจุดแข็งที่สามารถแข่งขันได้จึงต้องมีทิศทางเดียวกัน อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากคือการวิเคราะห์แนวโน้มของโอกาสที่จะมาถึง ก็จะช่วยให้เราได้เปรียบตั้งแต่การเลือกสนามด้วย (ปล.ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด จึงอยากจะร่วมให้กำลังใจทุกๆคนครับ ผมเองก็ผิดพลาดมาตั้งมากมาย ไม่อยากบอกเลยว่าผมล้มเหลวมาเกือบทุกอย่าง...,กว่าที่จะมาค้นพบตัวเองในวันนี้ ที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป....ก็ใช้เวลานานเป็นสิบปี ,ก่อนหน้านี้ เป็นปกติ เวลาผมไม่รู้ผมก็ ถามๆๆๆๆๆๆ  ผมชอบที่จะให้คนอื่นมองตัวเอง มันเป็นภาพสะท้อนที่ดีกว่า การมานั่งขบคิดด้วยตัวเองเพียงอย่างเดียว) อย่างพี่จิมมี่ผมก็เคยขอคำปรึกษาด้วยเหมือนกัน ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 50 21:13:03 แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 50 21:03:08 จากคุณ : a little donkey (boonsiriPOWER) - [ 16 ต.ค. 50 20:45:36 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไหนๆก็พูดถึง Strategic Thinking แล้ว จึงอยากนำเสนอกรอบความคิดในการพัฒนาตนเอง(Thinking Paradigm) ทั้ง 4 ประการด้วยครับ นั่นคือ 1.Positive Thinking 2.Creative Thinking 3.Strategic Thinking 4.Ethical Thinking นำเสนอแต่ Topic นะครับ ขออนุญาตไม่อธิบายครับ เพื่อนๆสามารถนำ Keyword นี้ไปค้นต่อได้เลยครับ กรอบความคิด 4 อย่างนี้จะช่วยสร้างความสมดุลให้กับแนวคิดของเราครับ ว่านอกจากแข่งขันได้แล้วต้องมีความสุขด้วยครับ (นำมาจาก รศ.ดร.สมชาย ภคภาควิวัตน์) แก้ไขเมื่อ 16 ต.ค. 50 21:33:42 จากคุณ : a little donkey (boonsiriPOWER) - [ 16 ต.ค. 50 21:27:00 ]

ความคิดเห็นที่ 12 " คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดีดี " จากคุณ : SEA - [ 17 ต.ค. 50 00:35:09 A:124.120.71.17 X: TicketID:107202 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณเฮีย SEA ที่เข้ามานำข้อคิดดีๆ มาให้เป็นข้อคิดครับ " คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดีดี "  สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จริงแท้มากๆ ครับ ทั้งการปฏิบัติตนของตนเองให้ดีและการเลือกคบคนดี  จะมีผลต่อชีวิตเรา แน่นอนครับ และขอขอบคุณน้องบุญ (boonsiriPOWER) ที่เข้ามาร่วมนำข้อคิดมาเสริม ให้กระทู้เกิดมุมมองที่หลากหลายมากขึ้นครับ  ไม่ได้คุยกันนานเลยนะครับ สวัสดีคุณ Arteeart  คุณ ส้มแป้น.. น้อง pigu  และคุณ Salatan ด้วยนะครับ ที่น้องบุญเล่ามาทำให้นึกย้อนไปเหมือนกันครับว่า สมัยที่ผมอายุเท่าๆ น้อง pigu (ยังไม่ถึง 30)  ก็ยังขาดความเข้าใจเรื่องการคิดเป็นระบบอยู่ หลายเรื่องเหมือนกัน  การทำงานจึงยังติดขัดอยู่มาก  อย่างเช่น หลังจากผม ตัดสินใจเปลี่ยนงานจากช่างภาพภาพสารคดี(งานประจำ)  มาเป็นช่างภาพ อิสระ และถ่ายงานสตูดิโอประกอบโฆษณาสิ่งพิมพ์  ซึ่งแม้จะต้องลงทุน ไปอีกเยอะ  แต่ก็มีรายได้มากกว่า(ประมาณ 8,000 -12,000 บาท ต่อวัน   แต่อย่าเอาไปคูณ30 นะครับ  เพราะไม่ได้มีงานกันทุกวันหรอก มี 4-5 งาน ต่อเดือนก็โอเคแล้ว ตอนนั้น) แต่ ....  พอถึงระดับหนึ่งก็เริ่มรู้ว่างานนี้ไม่ใช่ผม(ต่างกันระหว่างงานสตูดิโอ กับงานสารคดี)  มันขาดแรงผลักดันที่จะพัฒนาฝีมือในการถ่ายภาพในดี ยิ่งขึ้น  ซึ่งจำเป็นต่อการแข่งขัน  เวลามีงาน  มันจะรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ ใจหนึ่งดีใจที่มีงาน  มีรายได้  อีกใจหนึ่งไม่อยากทำงาน  เพราะไม่ชอบ พอถึงจุดนี้  เราก็คงรู้ว่า  ฝืนทำไปผมก็คงไม่อาจรุ่งไปทางนี้ได้  เพราะ เป้าหมายมีความขัดแย้งกันภายในโดยไม่รู้ตัว(ระวังให้ดีนะครับจุดนี้ เป้าหมายต้องสอดคล้องกันกับจิตใจลึกๆ ของเรา) ผมก็เลยเปลี่ยนอาชีพ มาครั้งที่สองนี้  ก็ยังพลาดอีก(ในช่วงแรก)  เพราะไม่รู้เขา  ซึ่งก็คือ ไม่รู้จัก อาชีพที่เราจะลงไปทำดีพอ(เป็นธุรกิจออกแบบสิ่งพิมพ์ที่ปัจจุบันยังคงทำอยู่) ทำให้ช่วงปีแรกๆ มีปัญหามาก  เพราะขาดความพร้อมจากการไม่รู้เขา  หรือ คือการทำการศึกษาเป้าหมายของเราให้ดีเสียก่อน  กว่าผมจะรู้เรื่องธุรกิจนี้ ดีพอระดับหนึ่งก็ต้องใช้เวลาไปหลายปี  แต่มันคงจะดีกว่า  หากเราศึกษาไว้ ตั้งแต่แรกๆ  โดยอาจช่วยให้เสียเวลาน้อยกว่า  เสียเงินน้อยกว่านะครับ จึงเอามาฝากเพิ่มอีก 2 เรื่องให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น คือ 1. การรู้จักตัวเราเอง  แล้วอย่าฝืนตั้งเป้าหมายที่ขัดแย้งกับตัวเรา แม้มันจะมีรายได้ดีกว่า  หรือดูดีกว่า 2. รู้เขาได้โดยการทุ่มเทศึกษาอย่างจริงจังก่อนลงมือ  อย่าขี้เกียจ  ถ้าขี้เกียจ ตอนนี้อาจต้องเสียใจในภายหลังได้ครับ แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 50 10:44:10 จากคุณ : Jimmy Walker - [ 17 ต.ค. 50 07:26:37 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อ้อ อยากเพิ่มอีกข้อหนึ่งให้กับน้อง pigu นะครับ มีข้อคิดอันหนึ่งสำหรับหลักการบรรลุความสำเร็จว่า  บางทีเราก็ไม่ควรตั้ง เป้าหมายที่ต่ำเกินไปนะครับ  เพราะเป้าหมายที่ต่ำเกินไป  จะนำมาซึ่งแรง ผลักดันที่น้อยเกินไป  และมีหลักการหนึ่งอยู่ว่า  การประสบความสำเร็จ ในเป้าหมาย  ไม่ได้หมายถึงการทุ่มเทแรง 50 % แล้วจะได้ผลลัพธ์กลับมา ครึ่งหนึ่งของการทุ่มเทหมดใจ  บางครั้งความสำเร็จเหมือนการกระโดด ข้ามคลอง  หากเราออกแรงเพียงครึ่งเดียว  เราย่อมตกลงไปกลางคลอง อย่างแน่นอน  ฉะนั้นเราต้องออกแรงที่มากพอที่จะข้ามคลองไปให้ได้ ฉะนั้น  เราควรตั้งเป้าหมายที่สูงระดับหนึ่ง  แล้วพยายามสร้างแรงผลักดัน ให้มากพอ  เพื่อจะผ่านจุดแรกไปได้ก่อน  ผ่านจุดแรกไปได้แล้ว  ก้าวต่อไป จะง่ายขึ้นมาก  ผมเชื่อว่าน้อง pigu จะทำได้ครับ  นำความรักความต้องการ ให้อนาคตที่ดีกับลูกมาเป็นแรงผลักดัน  ก็จะเกิดพลังอันมหาศาล  ลูกย่อม จะกลายเป็นคนเข้มแข็งไปเอง  ถ้าเขาเกิดมามีแม่ที่เข้มแข็งนะครับ เอาใจช่วยนะครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ 17 ต.ค. 50 07:34:59 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ไม่รู้ต้องเอ่ยคำใด ที่แสดงความซาบซึ้งใจที่มีต่อคำแนะนำดีของพี่ Jimmy ได้ดีไปกว่า ขอบพระคุณมากๆ จากใจหนูค่ะ หนูจะนำคำแนะนำด้วยความหวังดีจากพี่ Jimmy และท่านอื่นๆมาปรับใช้กับตัวเองให้มากที่สุด เป้าหมายหลักอยู่ที่ลูกค่ะ หนูจะเข้มแข็งเพื่อลูกค่ะ หนูสัญญา จากคุณ : pigu - [ 17 ต.ค. 50 14:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณค่ะ ขอเซฟเก็บไว้อ่าน จากคุณ : ยามเมื่อลมพัดหวน - [ 19 ต.ค. 50 16:30:44 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณ คุณ Jimmy สำหรับสาระดีๆ ค่ะ จากคุณ : คัสซีโอเพย่า - [ 19 ต.ค. 50 20:02:21 ]