ความคิดเห็นที่ 1 การเรียนปริญญาโท  ไม่ว่าจะเป็น MBA หรือไม่ก็ตาม  มีประโยชน์หลาย แง่มุม  ฉะนั้นต้องพิจารณาให้ดีๆ  และต้องเข้าใจก่อนว่าเราจะเข้าไปเรียน เพื่อเอาอะไร  เรียนเอาความรู้  เรียนเอาวุฒิมาประดับบารมี หรือเอามาปรับ ฐานความก้าวหน้า  หรือเรียนเอาคอนเนคชั่น ฯลฯ  ซึ่งนั่นย่อมเหมาะสม กับคนแตกต่างกันไป แต่โดยส่วนตัว  ผมคิดว่าการจะคว้าประโยชน์จากการเรียนปริญญาโท ให้มากที่สุด  เหมาะกับคนที่ทำงานมาแล้วบ้าง  เพราะมันจะทำให้คุณรู้ว่า เมื่อคุณเรียน  คุณจะต้องโฟกัสที่อะไร  และการเคยผ่านการทำงานจริงมา บ้าง จะสอนคุณว่า  อะไรในทฤษฎีที่เขาสอนมันไม่จริง  มันไม่ใช่   ไม่ใช่ว่าเขาสอนมา  เราก็สักแต่ว่าเชื่อๆ เพราะไม่มีประสบการณ์  ไม่อาจรู้ ว่าอะไรมันจริงหรือไม่จริง  อะไรมันใช้ได้  อะไรใช้ไม่ได้  ถ้าเป็น class ของเมืองนอก  ก็อาจต้องมีการ discuss กัน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน แต่คนไม่มีประสบการณ์  ก็คงต้องไปนั่งฟังผู้รู้  ผู้มีประสบการณ์เขาถกกัน โดยที่ตัวเองไม่รู้เรื่อง  ซึ่งคงได้ประโยชน์กลับมาน้อยกว่าครับ จากคุณ : Jimmy Walker - [ วันปิยมหาราช 07:50:23 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ...ก่อนเรียนควรมีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อยสองปีครับ ...ถ้าจบตรีแล้วไปต่อ MBA มันเหมือนกับคุณได้เรียน course work มากขึ้นเท่านั้นเอง ...แต่คุณไม่มีประสบการณ์หรือการสัมผัสความลึกซึ้งจากภาคปฏิบัติ เมื่ออาจารย์พูดถึงตัวอย่างให้เข้าใจมากขึ้น การบริหารงานในแต่ละส่วนที่ลงรายละเอียด  คุณก็จะนึกไม่ออก การมองของคุณจะไม่ชัดเจน  มันจะส่งผลต่อความมั่นใจ  และคุณจะซึมซับได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ...และในสังคมการเรียน หรือการทำ Case คุณจะเอาอะไรไปคุยไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆที่เรียนล่ะครับ ...ขอแนะนำว่าควรทำงานก่อนสักสองปีครับ ..โชคดีครับ เอาใจช่วยครับ ^^Siri จากคุณ : sunny EAGLET (boonsiriPOWER) - [ วันปิยมหาราช 08:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คุณรู้สึกแบบผมไหมครับว่า ตอนเรียน ป.ตรี เนี่ย เป็นการเรียนที่เน้น ทฤษฏี มากๆ แบบว่า เรียนไปทำไม จบไปจะได้ใช้หรือเนี่ย ไม่เข้าใจ ได้แต่ท่องจำไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะวิชาประเภท Human Resource / Human Management / Organization Behaviour ตอนทำงานจริง วิชาเหล่านี้ที่เคยเรียนมา ก็เลือนหายไปหมด เพราะไม่เคยคิดว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเรา / ตอนเรียนไม่สนใจ ตอนทำงานก็ลืมหมด แต่พอได้มาเรียน MBA วิชาเหล่านี้ก็จะย้อนกลับมาใหม่ ซึ่งไม่แตกต่างจากเดิมที่เคยเรียนตอน ป.ตรี แต่เราจะเข้าใจมันมากขึ้น เพราะเราได้สัมผัสของจริง ถูกนำมาใช้จริง(โดยไม่รู้ตัว) นี่แหละครับที่ว่า ทำไม MBA ส่วนใหญ่จึงอยากได้นักศึกษาที่มีประสบการณ์ครับ จากคุณ : kitz (kitz) - [ วันปิยมหาราช 08:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ได้เรียน MBA แต่ตอนนั้นคิดว่าเรียนโทเพื่อพัฒนาความคิด ตอนนี้มาเรียนปริญญาตรีอีกใบ ทำให้รู้สึกว่าคิดอะไรลึกซึ้ง และคำนึงถึงเหตุและผลมากขึ้น จากคุณ : pangolin - [ วันปิยมหาราช 09:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนแล้วหางานยากขึ้น จากคุณ : tenkai - [ วันปิยมหาราช 09:22:19 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จริงๆ MBA น่ะออกแบบมาให้ผู้ที่ไม่ได้เรียนจบตรีบริหารอยู่แล้ว ที่อเมริกาสมัยก่อน ส่วนมากจบวิศวะหรืออาชีพที่เป็นผู้ชำนาญเฉพาะด้านกันมาก เมื่อทำงานไปนานๆถึงเวลาที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นหรือได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น อาจจะมองภาพรวมไม่เห็น ก็เลยมีหลักสูตรMBA มาให้เรียน จะได้ทำงานที่ได้รับมอบหมายใหม่ได้ จากคุณ : ทัพที่เก้า - [ วันปิยมหาราช 11:05:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณมากคะ คือตอนนี้เรียนโท คณะเดิม สาขาเดิม ที่เหมือน ป ตรี จะจบแล้ว แต่ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพมากขึ้นเลย เลยสับสนว่าเรียนไปทำไมเนี่ย ก็เลยคิดว่าตอนนั้นน่าจะเรียน MBA แต่ก็จริงอย่างที่ว่าน่าจะเหมาะกับคนมี ปสก มากกว่า แก้ไขเมื่อ 23 ต.ค. 50 11:34:47 จากคุณ : romanov - [ วันปิยมหาราช 11:34:28 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ปัจจุบันนี้ หลักสูตร MBA มีให้เลือกเยอะแยะ ถึงจะเป็น MBA เหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างอยู่ในนั้น ------------------------------------------------------------------------ 1. ดูชื่อหลักสูตรก่อน - MBA ทั่วไป ไม่เจาะจงสาขาวิชา เหมาะสำหรับคนที่ต้องการรู้กว้าง ๆ - MBA (...) มีวงเล็บสาขาวิชาต่อท้าย เป็นการเรียนฐานกว้าง และเจาะลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น MBA (HRM) หรือ MBA (Marketing) เป็นต้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเป็นมืออาชีพในด้านนั้น ๆ ซึ่งผู้เรียนส่วนใหญ่ทำงานอยู่ในสายวิชาชีพนั้นอยู่แล้ว และต้องการพัฒนาศักยภาพในการทำงาน - Young Executive MBA และ Executive MBA เป็นหลักสูตร MBA ที่ตัวเนื้อหาไม่ได้แตกต่างจากข้างต้น แต่ต่างที่การคัดกลุ่มผู้เข้าเรียน ว่าจะต้องเป็นระดับหัวหน้างาน หรือระดับผู้บริหาร - นอกจากนี้ ยังมีหลักสูตรอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ MBA แต่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เช่น MS Finance, M Accounting เป็นต้น ------------------------------------------------------------------------ 2. ดูคุณสมบัติของผู้สมัคร - ไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ หลักสูตรแบบนี้ อาจจะมีเปิดสอนอยู่ในบางสถาบัน ซึ่งมุ่งพัฒนาผู้ที่เรียนจบ ป.ตรี แล้วยังไม่ได้ทำงาน (และทางบ้าน มีเงินเก็บพอที่จะส่งเสียได้) ข้อดีคือ เปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่ได้ทำงาน และผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสาขาวิชาซึ่งอาจจะได้เรียนสิ่งที่ไม่ชอบหรือไม่ถูกใจมาในตอนปริญญาตรี เช่น ป.ตรี เรียนกฎหมาย เทคนิคการแพทย์ การเกษตร ฯลฯ แล้วไม่ชอบ ต้องการมาเรียนด้านบริหารธุรกิจ ซึ่งผู้เรียนจะได้มีความรู้ด้านบริหารธุรกิจ และอาจจะออกไปเป็นผู้ประกอบการได้ ข้อเสียคือ ผู้เรียนขาดประสบการณ์ทำงานจริง ซึ่งทำให้ไม่จูงใจในการเรียน เพราะสุดท้าย อาจารย์ต้องเน้นเฉพาะทฤษฎี หากเล่าเรื่องหรือนำประสบการณ์ กรณีศึกษามาวิเคราะห์ ผู้เรียนจะมองไม่ทะลุ ไม่เห็นภาพ - กำหนดประสบการณ์ขั้นต่ำ ... ปี ไม่จำกัดสายงาน หลักสูตรแบบนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน หรือต้องการนำความรู้ด้านบริหารธุรกิจไปเติมเต็มกับงานที่ตนเองทำอยู่ เช่น บรรณารักษ์ต้องการศึกษาด้านบริหารธุรกิจเพราะต้องการเปลี่ยนสายงาน หรือแพทย์ต้องการเพิ่มเติมความรู้ด้านบริหารธุรกิจเพื่อจะนำไปใช้ในการบริหารโรงพยาบาล เป็นต้น ข้อดีคือ มีความหลากหลายของผู้เรียนในชั้นเรียน ทำให้ผู้เรียนได้เปิดมุมมองที่กว้างขึ้นจากประสบการณ์ของเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่หลากหลาย ข้อเสียคือ เมื่อมีคนหลากหลาย การ discuss ในชั้นเรียน ความสนใจและพื้นฐานของเราต่างกัน ก็อาจะทำให้บางคนได้ประโยชน์มาก (เพราะถามเก่ง ขยันถาม) แต่บางคนได้ประโยชน์น้อย (เพราะทำงานกลุ่มทีไร ต้องตามเพื่อน ทำเรื่องของเพื่อน) - กำหนดประสบการณ์ทำงานขั้นต่ำ ... ปี โดยทำงานตรงสายที่จะเรียนต่อ หลักสูตรแบบนี้ เป็นการเน้นความเป็นมืออาชีพในสายวิชานั้น ๆ หรือเป็นการชุมนุมคนที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกัน ให้มารวมตัวกัน ข้อดีคือ การจัดเนื้อหาการสอนจะมุ่งเน้นไปเพื่อคนกลุ่มเดียวกัน ผู้เรียนจะได้เรียนตรงกับความสนใจของตนเอง ได้พัฒนาไปสู่ความเป็นมืออาชีพมากขึ้น ข้อเสียคือ ขาดความหลากหลาย และขาดการเชื่อมโยงให้เข้าใจหน้าที่งานอื่น ๆ ที่จะต้องประสานงานกันในการทำงานจริง อาจจะทำให้การเรียนรู้ไม่กว้างเท่าที่ควร สรุป ในเรื่องคุณสมบัติของผู้เรียน ให้ดู class profile ของผู้เรียนรุ่นก่อน ๆ ในส่วนนี้ จะทำให้เรารู้ว่า คนที่ไปเรียนในสถาบัน/หลักสูตรนั้น ๆ ในภาพรวมเป็นอย่างไร นั่นคือ เพื่อนร่วมชั้นที่เราจะพบเจอในนั้น ใช่กลุ่มที่เราคาดหวังหรือไม่ และการนำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้งาน จะแตกต่างกันไป ------------------------------------------------------------------------ 3. ดูการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมเสริมหลักสูตร และวิธีการเรียนรู้ - สัดส่วนของอาจารย์สายวิชาการและสายประสบการณ์ หลักสูตร MBA จะเน้นวิชาการทั้งหมด คงไม่ได้ และถ้าจะเน้นวิทยากรจากภายนอกมากเกินไป ผู้เรียนก็จะได้มาฟัง Talk Show โดยเก็บหลักการคิดและการวิเคราะห์ไปใช้ได้ไม่หมด อย่าลืมว่า การเรียน MBA ต้องวิเคราะห์ (analysis) สังเคราะห์ (synthesis) และประยุกต์ได้ คงต้องใช้ทั้ง 2 ส่วนผสมกันในสัดส่วนที่ลงตัว - กิจกรรมการเรียนการสอน เช่น การใช้กรณีศึกษา (case study) การใช้เกมจำลอง (simulation game) การจัดทำแผนธุรกิจ (business plan) และกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อเพิ่มทักษะการวิเคราะห์ การเชื่อมโยงเนื้อหาภาคทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติให้มากขึ้น - การศึกษาดูงาน ในประเทศ/ต่างประเทศ ส่วนนี้ก็สำคัญ เป็นการเปิดโลกทัศน์ การไปดูงานไม่ใช่การไปเที่ยว ขึ้นอยู่กับการฝึกสังเกตและการวิเคราะห์ของผู้เรียน บางสถาบัน มีการมอบหมายรายงานให้ทำเมื่อไปศึกษาดูงาน ฯลฯ ------------------------------------------------------------------------ 4. ดูทัศนคติของผู้เรียนเอง ที่มีต่อการเรียน MBA ให้พิจารณาว่า เรายอมรับได้ไหม ว่าการมาเรียน จะต้องทำงานกลุ่มเป็นส่วนใหญ่ จะต้องปรับตัวให้เข้ากับการทำงานกลุ่มที่ต้องแลกเปลี่ยนให้เกิดความคิดเห็นของกลุ่ม ไม่ใช่วิธีการโหวต หรือแบ่งกันไปทำคนละส่วนแล้วนำงานมาต่อกันเป็นท่อน ๆ เรายอมรับได้ไหม ว่าจะต้องแบ่งเวลาให้เป็น เช่น กลางวันทำงาน ตอนเย็น หรือเสาร์อาทิตย์ ต้องเรียน เวลาส่วนตัวเราจะหายไป และเราจะต้องมีเวลาเตรียมตัวก่อนเรียนและทำงานที่มอบหมายด้วย ภาระงานส่วนนี้จะหนักมาก ขาดงานก็ไม่ได้ เรียนก็สำคัญ จะจัดสรรเวลาอย่างไรให้ลงตัว การนำข้ออ้างเรื่องภาระงานหรือมีเวลาไม่เพียงพอไปต่อรองกับการเรียน ไม่ใช่เหตุผลที่สมควร เรายอมรับได้ไหม ว่าเราต้องเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับที่ดี ต้องนำสิ่งที่เรารู้ไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมชั้น และต้องรู้จักรับฟังผู้อื่น แล้วนำมาคิดประยุกต์กับประสบการณ์ของเราเอง หลายครั้งที่ผู้เรียนอายุมาก ๆ จะไม่ชอบผู้เรียนที่อายุน้อยกว่า และผู้เรียนที่อายุน้อย ๆ จะรำคาญผู้ใหญ่ คนที่ทำงานด้านการขายไม่เข้าใจวิธีคิดของวิศวกร คนที่อยู่สถาบันการเงินคิดแตกต่างจากผู้ที่เป็นพบาบาล ฯลฯ แต่ถ้าเรายอมรับและปรับตัว นี่คือการเรียนรู้ที่จะย้อนกลับไปใช้ในที่ทำงานเพื่อแก้ปัญหาความไม่ลงตัวต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ------------------------------------------------------------------------ สรุป หลักสูตร MBA มีหลากหลาย คงต้องเลือกเอง ว่าสนใจเรียนแบบไหน เราต้องการอะไรจากการเรียน เราจะมีวิธีการเรียนอย่างไรเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมแนะนำนักศึกษาที่เรียน MBA อยู่เสมอ ว่าบนโต๊ะเรียน MBA จะต้องมีสิ่งต่อไปนี้ - กระดาษ 1 แผ่น ที่โน้ตย่อการเตรียมตัวของคุณในการเรียนวันนั้นมาล่วงหน้า พร้อมสิ่งที่อ่านมาล่วงหน้าแล้วไม่เข้าใจ เพื่อจะได้ถามอาจารย์ในวันนั้น วางไว้ด้านซ้ายมือของตนเอง - ตรงกลาง เอกสารประกอบการเรียนในวันนั้นที่ได้รับแจก หรือสมุดโน้ตที่จะจดบันทึกสาระสำคัญ - กระดาษเปล่า 1 แผ่น วางไว้ด้านขวาของตนเอง (ผู้ที่ถนัดซ้าย เขียนหนังสือมือซ้าย ให้สลับข้อ 1 กับ 3) ขีดเส้นแบ่งกระดาษเป็นท่อนบนและท่อนล่าง เมื่อเรียนไปแล้ว เห็นว่าเรื่องไหนที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในที่ทำงานได้ในวันร่งขึ้น ให้จดไว้ที่ด้านบนของกระดาษแผ่นนี้ และเรื่องไหนที่ฟังไม่เข้าใจ หรือได้คำศัพท์ใหม่ ให้จดลงไว้ด้านล่าง เพื่อจะไปค้นคว้าเพิ่มเติมให้เข้าใจภายหลังการเรียน พอดีวันนี้เป็นวันที่พอจะมีเวลาว่าง ก็เลยตอบมากเกินคำถามไปหน่อยครับ จากคุณ : CNXek - [ วันปิยมหาราช 11:53:23 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณอาจารย์มากคะ จากคุณ : romanov - [ วันปิยมหาราช 11:56:49 ]

ความคิดเห็นที่ 10 MBA ในยุคปัจจุบัน เรียนได้ทั้งผู้ที่มีและไม่มีประสบการณ์ ครับ แต่ผู้ที่จะเรียน ต้องศึกษาหลักสูตรแต่ละหลักสูตรว่าอันใหนเหมาะกับตัวเองแต่ละคน และหาว่าตนเองชอบที่จะเรียนเน้นทางด้านใหน ลองดู ครับ www.mba.ru.ac.th จากคุณ : SEA - [ วันปิยมหาราช 12:01:41 A:124.120.88.63 X: TicketID:107202 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณอาจารย์ ด้วยคนครับ -.- จากคุณ : *-* (guruguru) - [ วันปิยมหาราช 17:35:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12 โอวววววววววว ได้ความรู้มากมายค่ะ ดีจังที่คลิกมาอ่านกระทู้นี้ ขอบคุณ (อาจารย์) CNXek ค่ะ จากคุณ : pompoko - [ 24 ต.ค. 50 01:37:21 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตอนนี้เจ้าของกระทู้ก็เรียนโทอยู่ น่าจะเรียนไปสักพักแล้วไม่ชอบ คิดว่าจะมาต่อ MBA อาจจะมีภาพในหัวว่า คนที่เรียนจบ MBA คือ ผู้บริหาร หรือเจ้าของกิจการ แต่ในความเป็นจริง มีไม่กี่% ที่หลังจากจบมาแล้วจะได้เป็นเจ้าของกิจการเลย หรือแม้กระทั่ง เป็นผู้บริหารในตอนเริ่มต้น อยากให้คนที่เรียนต่อปริญญาโท ได้ทำงาน และคิดว่าตนเองต้องการศึกษาต่อทางด้านใด แล้วค่อยไปเรียนต่อปริญญาโท เพราะมีหลายคน แค่เห็นชื่อ คณะแล้วคิดว่า เรียนแล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่ในความเป็นจริงคนที่จบ MBA ตอนนี้ ก็ Over Supply หรือไม่ก็ Over Qualify(เงินเดือนสูงไป) จนอาจจะทำให้ไม่เป็นอย่างที่หวัง อยากให้ลองทำงานดูก่อน สัก 1 -2ปี แล้วค่อยไปเรียนก็ยังไม่สาย มหาวิทยาลัยที่สอบปริญญาโท ยังเปิดสอนจนหลานเราเกิด มีเวลาอีกเยอะ เห็นด้วยตามคห.1 เพื่อที่จะได้รู้ว่า เวลาเรียน เราต้องการอะไร จะตักตวงอะไรจากการเรียนได้เยอะที่สุด จากคุณ : BMWTurboman - [ 24 ต.ค. 50 10:09:02 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ก่อนเรียน mba เราทำงานมาแล้ว 2 ปี แล้วลาออกไปเรียนภาคปกติ ถ้าเที่ยบกะเพื่อนๆ น้องๆ ในห้องเรียนแล้วรู้สึกว่า ความคิดเรามันกว้างกว่าเค้า เวลาทำรายงานอะไรก็เห็นภาพเปรียบเที่ยบดีกว่า (ความรู้สึกลึกๆอ่ะนะ) ตอนนี้จบแล้ว หางานง่ายกว่าเพื่อนๆเพราะอย่างน้อยเรามีประสบการณ์ทำงาน ซึ่งต่างจากพวกจบโท แต่โนประสบการณ์ เวลาเรียกเงินก็ยากหน่อย  บางคนถึงกะท้อใช้เกณฑ์ป.ตรีก็มี (10000-12000) อันนี้เป็นแค่ประสบการณ์ส่วนตัวที่เห็นมาอ่ะนะ เลยเล่าให้ฟัง จากคุณ : moeyeus (MOeYeUs) - [ 24 ต.ค. 50 17:33:18 ]

ความคิดเห็นที่ 15 3. ดูการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมเสริมหลักสูตร และวิธีการเรียนรู้ - สัดส่วนของอาจารย์สายวิชาการและสายประสบการณ์ หลักสูตร MBA จะเน้นวิชาการทั้งหมด คงไม่ได้ และถ้าจะเน้นวิทยากรจากภายนอกมากเกินไป ผู้เรียนก็จะได้มาฟัง Talk Show โดยเก็บหลักการคิดและการวิเคราะห์ไปใช้ได้ไม่หมด อย่าลืมว่า การเรียน MBA ต้องวิเคราะห์ (analysis) สังเคราะห์ (synthesis) และประยุกต์ได้ คงต้องใช้ทั้ง 2 ส่วนผสมกันในสัดส่วนที่ลงตัว "วิทยากรจากภายนอก" ที่ว่ามาแสดง"Talk Show" นั้น ผมคิดว่า คับแคบ เกินไป ครับ น่าจะปรับ"Mind Set"ใหม่ เพราะบางหลักสูตร อาจารย์ประจำของแต่ละที่ อาจมีไม่พอ และบางหลักสูตร ต้องการวิทยากรจากภายนอกเข้าไป เพิ่มเติม แชร์ และเสริมทั้งความรู้และประสบการณ์จริง ให้แก่นักศึกษา เพื่อ ให้นักศึกษาได้รับทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ครับ จากคุณ : SEA - [ 25 ต.ค. 50 11:08:38 A:124.121.244.33 X: TicketID:107202 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ไม่จำเป็นต้องปรับ Mind Set ครับ สำหรับความเห็นที่ 15 กรุณาอ่านใหม่อีกครั้งนะครับ (ข้อความเดิม ไม่ได้แก้ไขอะไร เพียงแต่ทำตัวเข้ม + ขีดเส้นใต้เพิ่มเติม และกด Enter จัดบรรทัดใหม่ ให้อ่านจับประเด็นทีละบรรทัดนะครับ) ----------------------------------------------------------------- - สัดส่วนของอาจารย์สายวิชาการและสายประสบการณ์ หลักสูตร MBA จะเน้นวิชาการทั้งหมด คงไม่ได้ และ ถ้าจะเน้นวิทยากรจากภายนอกมากเกินไป ผู้เรียนก็จะได้มาฟัง Talk Show โดยเก็บหลักการคิดและการวิเคราะห์ไปใช้ได้ไม่หมด อย่าลืมว่า การเรียน MBA ต้องวิเคราะห์ (analysis) สังเคราะห์ (synthesis) และประยุกต์ได้ คงต้องใช้ทั้ง 2 ส่วนผสมกันในสัดส่วนที่ลงตัว แก้ไขเมื่อ 25 ต.ค. 50 21:13:46 จากคุณ : CNXek - [ 25 ต.ค. 50 21:11:57 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ผมอ่านละเอียด แล้วครับ มีอะไรมายืนยันหรือฟันธงได้จากข้อความที่ว่า "ถ้าจะเน้นวิทยากรจากภายนอกมากเกินไป ผู้เรียนก็จะได้มาฟัง Talk Show โดยเก็บหลักการคิดและการวิเคราะห์ไปใช้ได้ไม่หมด" เพราะการกล่าวว่า "วิทยากรจากภายนอก"ถ้ามากเกินไป จะมาแสดง "Talk Show"นั้น เป็นการกล่าวที่เกินเลยไป ไม่น่าจะเกิดในวงการศึกษา เนื่องจากวิทยากรจากภายนอกบางท่านก็เป็นอาจารย์ผู้มีคุณวุฒิอยู่แล้วเพียงแต่มาจากมหาวิทยาลัยอื่นทั้งในและต่างประเทศ บางท่านมาจากหน่วยงานราชการ องค์กร รัฐวิสาหกิจ บางท่านมาจากหน่วยงานเอกชนฯ แต่ละท่านผมคิดว่าต้องมีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ เพียงพอที่จะถูกกลั่นกรองแล้วเชิญมา"เสริม"เพื่อประโยชน์แก่นักศึกษาและแก่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง รวมทั้งก่อประโยชน์ให้แก่สังคมไทย ด้วยครับ จากคุณ : SEA - [ 25 ต.ค. 50 23:36:25 A:124.120.86.176 X: TicketID:107202 ]

ความคิดเห็นที่ 18 OK ขอเคลียร์ทีละประเด็นก็แล้วกันครับ สมมติว่า เป็นหลักสูตร MBA ของมหาวิทยาลัย A นะครับ ประเด็นแรก ข้อความของ CNXek - สัดส่วนของอาจารย์สายวิชาการและสายประสบการณ์ ข้อความของ SEA เนื่องจากวิทยากรจากภายนอกบางท่านก็เป็นอาจารย์ผู้มีคุณวุฒิอยู่แล้วเพียงแต่มาจากมหาวิทยาลัยอื่นทั้งในและต่างประเทศ อาจารย์สายวิชาการ ในที่นี้ หมายถึง อาจารย์ของมหาวิทยาลัย A เอง และอาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัย B มหาวิทยาลัย C ผู้เชียวชาญของกรม D ฯลฯ อาจารย์สายประสบการณ์ ในที่นี้ หมายถึง นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ หรือใครก็ตามที่มีประสบการณ์ ทำงานอยู่ในบริษัท ก. บริษัท ข. ร้าน ค. ฯลฯ และได้รับเชิญให้มาบรรยายเป็นวิทยากรพิเศษจากภายนอก อาจารย์สายประสบการณ์ มีหลายลักษณะ ตัวอย่างเช่น (ตัวอย่างเช่น แปลว่า ขอยกตัวอย่างแค่บางส่วน ไม่ได้บอกว่าทั้งหมดมีแค่นี้) - ผู้ที่ทำงานเก่งจริง มีประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ แต่พูดไม่ค่อยเก่ง นั่ง (หรือยืน หรือเดิน .. ป.ล. ถ้าใส่ไม่หมด เดี๋ยวโดนจับมาเป็นประเด็นโต้แย้งอีก) เล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ผู้เรียนต้องจับประเด็นเองและปะติดปะต่อกับเนื้อหาที่ได้เรียนมา ถ้าผู้เรียนทำได้ จะได้เรียนรู้อย่างมาก - ผู้ที่ทำงาน มีประสบการณ์จริง และพูดเก่ง เล่าสิ่งที่ทำมาได้อย่างมันส์ น่าติดตาม มีเสียงหัวเราะของผู้เรียน วิทยากรลักษณะนี้เป็นที่ต้องการของผู้เรียนโดยทั่วไป เพราะน่าสนใจ ฟังแล้วเพลิน สนุก แต่ผู้เรียนต้องรู้จักจับประเด็นและเชื่อมโยงปะติดปะต่อกับเนื้อหา จึงจะได้เรียนรู้อย่างมาก ประเด็นแรกนี้ ผมยอมรับว่า ผมสื่อสารไม่ชัดเจน เนื่องจากใช้คำว่า "สายวิชาการ" "สายประสบการณ์" และ "ภายนอก" โดยไม่ได้ให้นิยามไว้ ----------------------------------- ประเด็นที่สอง คำเจ้าปัญหา คือคำว่า Talk Show ซึ่งถ้าเข้าใจประเด็นแรกตรงกันแล้ว คำว่า Talk Show ในที่นี้ หมายถึงเฉพาะวิทยากรสายประสบการณ์ ที่มาเล่าเรื่อง เล่าประสบการณ์ การใช้คำว่า Talk Show เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ (ซึ่งผู้อ่านบางท่านอาจจะเห็นว่าใช้คำที่เกินเลยไป) เพราะถ้านำมาเปรียบเทียบกับการบรรยายของอาจารย์สายวิชาการแล้ว เป็นลักษณะการสอนที่แตกต่างกันมาก (ในที่นี้ นับเฉพาะวิชาทางด้านบริหารธุรกิจ ส่วนสาขาวิชาอื่น ๆ ไม่ได้พูดถึง กรุณาอย่าตีความรวมไปเรื่องอื่น) นักศึกษาที่เรียน MBA (ส่วนหนี่ง อาจจะเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) ชอบเรียนกับวิทยากรภายนอกสายประสบการณ์มากกว่า เพราะไม่ต้องเรียนทฤษฎี ผมจึงเปรียบเทียบว่า Talk Show ข้อความของ SEA แต่ละท่านผมคิดว่าต้องมีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ เพียงพอที่จะถูกกลั่นกรองแล้วเชิญมา"เสริม"เพื่อประโยชน์แก่นักศึกษาและแก่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง ถูกต้องครับ ไม่เถียง และเป็นความหมายเดียวกับข้อความนี้ ข้อความของ CNXek การเรียน MBA ต้องวิเคราะห์ (analysis) สังเคราะห์ (synthesis) และประยุกต์ได้ คงต้องใช้ทั้ง 2 ส่วนผสมกันในสัดส่วนที่ลงตัว ซึ่งขอนำมาขยายความเพิ่มเติมรวมกับข้อความที่ถูกยกขึ้นมาถามต่อไปนี้ ข้อความของ CNXek ถ้าจะเน้นวิทยากรจากภายนอกมากเกินไป ผู้เรียนก็จะได้มาฟัง Talk Show โดยเก็บหลักการคิดและการวิเคราะห์ไปใช้ได้ไม่หมด ขออธิบายจากประสบการณ์ในแวดวงนี้ 12 ปีครึ่ง โดยได้ดูแลหลักสูตร MBA มาเป็นเวลา 7 ปีเศษ (อาจจะยังไม่มากพอ ในสายตาของบางคน) ว่านักศึกษา MBA บางส่วน หรืออาจจะเป็นส่วนใหญ่ ชอบและต้องการให้มีวิทยากรรับเชิญจากภายนอก (สายประสบการณ์) มาก ๆ ไม่ชอบมาฟังบรรยายสายวิชาการ อาจจะเป็นเพราะ วิทยากรสายประสบการณ์ ไม่สั่งการบ้าน ไม่มีสอบ ไม่ต้ออ่านหนังสือ (เรื่องไม่ต้องอ่านหนังสือนี้ เป็นความเชื่อที่ไม่น่าจะถูกต้อง) ฯลฯ และที่สำคัญ พบว่า นักศึกษา MBA บางส่วน หยิบประสบการณ์ไปประยุกต์ใช้ไม่เป็น เพราะไม่เข้าใจว่า ที่วิทยากรมาเล่าให้ฟัง เป็นกรณีศึกษาของกิจการหนึ่ง ๆ ที่ได้ทำไป ณ เวลาหนึ่งที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์และปัจจัยต่าง ๆ อาจจะต่างกันไป แต่เวลาทำรายงาน หรือ project หรืองานอื่น ๆ นักศึกษาบางส่วนได้ copy แนวคิดนั้น ๆ มาใช้ ทั้ง ๆ ที่อยู่ต่างอุตสาหกรรม ลูกค้าคนละกลุ่มกัน ฯลฯ เพราะฉะนั้น ข้อความนี้ จึงต้องการเน้นว่า ให้เรียนรู้วิธีคิด (thinking / logic / analytical skill) แต่ไม่ได้เรียนรู้สูตรสำเร็จ (solution) จากสิ่งที่วิทยากรมาเล่าสู่กันฟัง หรือ Talk show นั่นแหละ -------------------------------- ป.ล. ถ้ามีประเด็นอื่นเพิ่มเติม เชิญต่อได้เลยครับ แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 50 18:22:07 จากคุณ : CNXek - [ วันออกพรรษา 18:19:39 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมเข้าใจและเห็นใจคุณและนักศึกษานะครับ ถ้าหากว่า มหาวิทยาลัยหรือหลักสูตรหรือคณะหรือสำนักที่คุณดูแลอยู่ ( จากประสบการณ์ในแวดวงนี้ 12 ปีครึ่ง โดยได้ดูแลหลักสูตร MBA มาเป็นเวลา 7 ปีเศษของคุณ ซึ่งน้อยกว่าผมมากๆ)ขาดความพร้อม งบประมาณ ความสัมพันธ์ นโยบายหรือปัจจัยอื่นๆ ทำให้หา "วิทยากรจากภายนอกสายประสบการณ์" ที่ทำได้แค่มาเล่าประสบการณ์หรือTalk Show ตามที่คุณได้เห็นเท่านั้น แต่ในแวดวงมหาวิทยาลัยอื่นๆที่ผมเจอหลายๆมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนปริญญาโท ทั้งหลักสูตร MBA,MSC,MM,MEngฯ เค้าหา"วิทยากรจากภายนอกสายประสบการณ์" และสายอื่นๆที่ทำได้มากหรือดีกว่านั้น อาจเพราะปัจจัยเอื้อที่ดีกว่าดังกล่าว จึงไม่มีอาจารย์ท่านใดออกมาบอกว่าท่านเหล่านั้นแสดงTalk Showเลย มีแต่ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เป็นทีมช่วยนักศึกษาด้วยกัน ผมยินดีจะแนะนำและให้ความช่วยเหลือถ้าคุณพร้อมที่จะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อ"วิทยากรจากภายนอก" โดยการเปลี่ยนแปลง ออกแบบหรือปรับปรุงหลักสูตรMBA อีกทั้งสรรหาและเชิญวิทยากรภายนอกใหม่ เนื่องจากผมไม่ได้เป็นสมาชิก สามารถติดต่อผมผ่านทาง คุณ ความคิดเห็นที่1 Jimmy Walker(ขอรบกวนคุณJimmyด้วย ครับ) หรือแจ้งเบอร์E-Mailไว้ก็ได้ ครับ จากคุณ : SEA - [ 28 ต.ค. 50 01:17:09 A:124.120.81.190 X: TicketID:107202 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ข้อความของคุณ ทำให้หา "วิทยากรจากภายนอกสายประสบการณ์" ที่ทำได้แค่มาเล่าประสบการณ์หรือTalk Show ตามที่คุณได้เห็นเท่านั้น ผมยังไม่ได้บอกเลยครับ ว่าผมเจอปัญหานี้ คุณต่างหากที่คิดไปเอง แล้วไม่เปิด mind set ของคุณ (ซึ่งคุณได้กรุณาแนะนำให้ผมปรับเปลี่ยน และผมยืนยันว่าผมไม่ต้องเปลี่ยน) ในการเชิญวิทยากรสายประสบการณ์ แน่นอนว่า ครั้งแรก เราก็ต้องลอง ไม่รู้ว่าจะได้วิทยากรที่บรรยายและเสริมได้ตรงกับที่เราต้องการหรือไม่ ระบบประเมินผลหลายทิศทาง ทั้งอาจารย์เจ้าของวิชาเข้าไปนั่งสังเกตการณ์ การสอบถามจากนักศึกษาที่ได้เรียน จะช่วยประเมินได้ แล้วก็จะทำให้เราได้ฐานข้อมูลวิทยากร นอกจากนี้ เครือข่ายจากศิษย์เก่า และเพื่อนร่วมวิชาชีพจากสถาบันอื่น ๆ ข้อความของผมในความคิดเห็นที่ 18 บอกว่า เท่าที่สัมผัสมา พบว่า นักศึกษาชอบ แต่ผมไม่ได้บอกว่า ผมตามใจนักศึกษา ในทางตรงกันข้าม เราปรับวิธีคิดของนักศึกษาครับ ผมแค่นำเสนอ แนะนำเพื่อนในบอร์ดนี้ ว่าเวลาเลือกเรียน MBA ในดูประเด็นนี้ด้วย แต่ผมไม่ได้บอกเลยว่า ผมเจอปัญหานี้ คุณอ่านดี ๆ นะครับ ขอบคุณสำหรับข้อเสนอความช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องการครับ ขอบคุณอีกครั้ง จากคุณ : CNXek - [ 28 ต.ค. 50 08:19:14 ]