ความคิดเห็นที่ 1 เรียนรู้ คนเราเรียนรู้ตั้งแต่เกิด แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ มีพื้นฐานนิสัยที่ชอบการเรียนรู้เป็นพิเศษ บางคนก็จะเป็นคนที่ชอบสังเกตุสิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่เป็นประจำ บางคนชอบการฟังการสนทนา หรือบางคนก็จะชอบอ่านหนังสือ อ่านนิตยสาร หรือ อ่านหนังสือพิมพ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการเรียนรู้เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่ง การเรียนรู้เหล่านี้นี่เองที่เป็นการรวบรวมข้อมูล จำนวนมาก และจะทำให้ความรู้เหล่านั้นตกผลึก กลายเป็น องค์ความรู้ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ การเรียนรู้ของคนเรา สามารถแบ่งออกเป็น  5 แนวทางที่จะนำมาซึ่งความรู้ คือ 1. การเรียนรู้จากการเรียนในห้องเรียน หรือ การเรียนรู้จากการฟังประสบการณ์ของผู้อื่น 2. การเรียนรู้จากการอ่าน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ นิตยสาร หรือ หนังสือพิมพ์ 3. การเรียนรู้จากการสังเกตุ สิ่งแวดล้อมรอบตัวว่ามีความเป็นไปอย่างไร และ ตั้งคำถามกับตนเองเสมอๆว่า สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร 4. การเรียนรู้จากความผิดพลาด และ ความสำเร็จของตนเอง หรือ ของผู้อื่น ซึ่งจะทำให้เกิด ความคิดต้นแบบในการตัดสินใจ ในทางที่ถูกต้อง 5. การเรียนรู้จากทำซ้ำๆ บ่อยๆ ทำให้เกิดแนวคิดทางด้านนั้นๆ ซึ่งเหมาะกับคนที่เรียนรู้ด้วยวิธีการปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น คนที่ทำงานในโรงงานทอผ้าที่ไม่มีความรู้ทางด้านเครื่องจักร แต่เมื่อเครื่องทอผ้าเสีย เมื่อช่างมาซ่อมก็จะพยายามที่จะมองเรียนรู้จากการแก้ไขของช่างว่าแก้ไขอย่างไร แต่การเรียกช่างมาแต่ละครั้ง จะต้องเสียเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาหลายครั้งเข้า ก็พยายามแก้ไขด้วยตนเอง และสามารถทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เมื่อเวลาผ่านไปเขากลับสามารถแก้ไขปัญหาของเครื่องทอผ้าเองได้เป็นต้น การเรียนรู้แบบใดแบบหนึ่งก็จะต้องเข้ากับนิสัยส่วนตัวของแต่ละบุคคล เช่น ถ้าคนใดคนหนึ่งชอบการเรียนรู้ในห้องเรียนมากก็จะมีนิสัยที่ชอบรอรับการสอนสั่งหรือรอรับข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นหนทางที่เร็วแต่ก็มีข้อเสียที่ต้องหาผู้มีความรู้จริงมาสอน หรืออย่างคนที่ชอบเรียนรู้ด้วยการอ่าน อย่างคนที่ชอบอ่านข่าวสารและหนังสือมากๆ จะมีทักษะเฉพาะตนอีกสิ่งหนึ่งคือ มีทักษะการจัดการข้อมูลที่ได้รับ หรือ ที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะสม สามารถแยกแยะข้อมูลข่าวสารที่ได้ว่า สิ่งใดควรจะจดจำ สิ่งใดที่ไม่ควรสนใจ ทักษะการจัดการข้อมูลที่ได้รับอย่างมีประสิทธิภาพนี่เอง ที่ทำให้เกิดการตกผลึกทางความคิด และ สามารถนำองค์ความรู้ที่ตกผลึกเหล่านั้นมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น สามารถสรุปใจความสำคัญของข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว แยกแยะประเด็นของข้อมูลได้ง่าย และ สามารถให้ความคิดเห็นได้ตรงประเด็นและถูกต้อง เป็นต้น การเรียนรู้เพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจและลึกซึ้งกับสิ่งที่เรียน การเรียนรู้ที่จะส่งผลให้ดีที่สุด ต้องประกอบด้วยความคิดวิเคราะห์ด้วยเสมอทุกขั้นตอน เพื่อที่จะสามารถแยกแยะแจกแจงความรู้ที่ได้รับออกมาเป็น หมวดหมู่ และ เป็นเรื่องๆ ที่ทำให้ต่อเนื่อง และ สามารถจดจำได้ง่ายยิ่งขึ้น จากคุณ : wbj - [ วันปิยมหาราช 23:39:11 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คิดวิเคราะห์ ความคิดเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของมนุษย์ และ เป็นสิ่งที่นำพาให้มนุษย์เราแตกต่างจากสัตว์โดยทั่วไป ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายท่านมักเป็นนักคิดมาก่อน ซึ่งเป็นผู้ที่ชอบการเรียนรู้ ชอบการวิเคราะห์ เหตุการณ์ หรือ สิ่งต่างๆรอบตัว นักคิดจะใช้องค์ความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้มาประยุกต์ให้เข้ากับ สิ่งแวดล้อม สถานการณ์ปัจจุบัน และ คิดเพื่อทำนายในอนาคตจากประวัติ และเหตุการณ์ที่จะส่งผลในอนาคต พื้นฐานของนักคิดจึงต้องมี ความเชื่อมั่นในตนเอง ต้องมีองค์ความรู้ที่หลากหลาย และ มีทักษะทางด้านการคิด ที่สามารถแจกแจงข้อมูลและประยุกต์สิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม โดยส่วนใหญ่ แนวความคิดของนักคิดผู้ที่ประสบความสำเร็จจะมีแนวคิดอยู่ 10 ประเภทดังนี้ 1. ความคิดในเชิงบวก  Positive Thinking หรือความคิดที่มองในเชิงสร้างสรร ไม่อคติ 2. ความคิดที่เป็นระบบระเบียบ Systematic Thinking เนื่องจากความคิดเป็นสิ่งที่รวดเร็วและส่วนใหญ่จะสับสน คิดได้แต่จับต้นชนปลายไม่ได้เลยว่าคิดอะไรไป การจัดความคิดให้เป็นระเบียบนั้น ต้องมีการฝึกฝนเป็นขั้นเป็นตอนอย่างเป็นระบบ หรือ ต้องหัดคิดอย่างเป็นระบบ 3. ความคิดสร้างสรรค์ เป็นแนวคิดที่คิดให้ออกนอกกรอบ อาจจะต้องคิดที่แปลกออกไป แต่ต้องยึดหลักเหตุและผล รวมทั้งความเป็นจริง คนที่จะมีความคิดลักษณะนี้มักมีประสบการณ์ที่ต้องใช้ความคิด หรือ ฝึกฝนให้เกิดขึ้น 4. ความคิดที่แตกต่าง เป็นแนวความคิดที่พยายามคิดในมุมมองที่แตกต่างเพื่อสร้างแนวคิดใหม่ๆให้กับตัวเอง อย่ายึดติดเพียงความรู้ในหนังสือ อย่ายึดติดกับสิ่งที่เห็น อย่ายึดติดอยู่กับความเชื่อเดิมๆ ซึ่งต้องลองคิดดู และต้องฝึกหัด 5. คิดถึงเหตุการณ์ล่วงหน้า Forward Thinking ที่จะเกิดขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยใช้ข้อมูลและการคาดการณ์จากเหตุการณ์ปัจจุบันเป็นเกณฑ์ 6. คิดให้ตนเอง และ ผู้อื่นได้ดี เป็นแนวความคิดเชิงบวกอย่างหนึ่ง แต่การที่ต้องแยกออกมา เพราะการคิดให้ตนเองได้ดีมีอยู่ทุกคน แต่คนส่วนมากเมื่อต้องการให้ตนเองประสบความสำเร็จ จะไม่มองถึงผู้อื่นว่าเขาจะมีความรู้สึกอย่างไร หรือคนอื่นจะเดือดร้อนอย่างไร ซึ่งการคิดให้คนอื่นได้ดีไปพร้อมๆกับตนเองนั้นเป็นเรื่องหาได้ยาก แต่เป็นแนวความคิดที่มีคุณค่าทางสังคม และจะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้น 7. ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา เพื่อคิดไตร่ตรองทั้งแง่ดี หรือ ในแง่ร้าย โดยเฉพาะความผิดพลาดต่างๆ เราจะได้นำมันมาคิดทบทวนใหม่ เพื่อหาแนวทางที่จะแก้ไขให้ลุล่วงได้และเมื่อต้องประสบเหตุการณ์เช่นเดิมอีก เราจะได้สามารถจัดการได้ทันที จากสิ่งที่เคยคิดมาแล้ว เพื่อเป็นแนวทางที่จะทำให้เราสามารถทำปัจจุบัน และ อนาคตให้ดีกว่าได้ 8. มีความคิดเป็นกลาง ไม่เบี่ยงเบน โดยปกติแล้ว คนเรามักมีความคิดเข้าข้างตนเองกันทุกคน ดังนั้นจึงต้องฝึกฝนไม่ให้ความคิดของเราเข้าข้างสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ต้องเป็นกลาง และ มีเหตุ มีผล 9. คิดถึงความสำเร็จในอนาคต เป็นแนวความคิดที่เป็นเป้าหมายให้เราได้เดินทางไปถึง ทำให้เราเกิดแรงผลักดันที่จะทำ และเกิด อิทธิบาท ๔ ขึ้น แนวทางหลักคือ การ “คิดใหญ่ทำใหญ่” เพราะเมื่อคิดเช่นนี้ จะเหมือนกับเป็นการสะกดจิตให้เรามีความมุ่งมั่นและสร้างความมั่นใจให้กับตนเองได้เป็นอย่างดี คนที่คิดว่าตนเองจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างไร ส่วนใหญ่จะพบกับความสำเร็จในสิ่งนั้น และ อย่าคิดในแง่ลบกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือยาก จงเชื้อเชิญความสำเร็จและอย่าผลักไสมันออกไป 10. คิดและทำความเข้าใจถึงเหตุ และผล ของทุกๆสิ่ง ในความเป็นจริงเราจะเห็นผลเสียส่วนใหญ่ ซึ่งการคิดย้อนกลับเพื่อเป็นการหาข้อเท็จจริงหาเหตุที่เกิดจากผลเหล่านั้น จะทำให้เราเข้าใจถึงสภาพการณ์ต่างๆได้อย่างละเอียดลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น อย่างเช่น ทำไมต้องสร้างรถไฟใต้ดิน ทำไมรถไฟฟ้าใต้ดินถึงเป็นผนังคอนกรีตอย่างดี.. ทำไมรถไฟฟ้า BTS ต้องมีจุดเชื่อมที่สยาม เหล่านี้เป็นต้น ถ้าเราสามารถพัฒนาแนวความคิดทั้ง 10 ประการข้างต้นได้ จะทำให้เรามีแนวความคิดที่กว้างและไกลกว่าคนทั่วไป เป็นการนำเอาศักยภาพทางสมองมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความคิดเพียงอย่างเดียว ไม่อาจที่จะทำให้เกิดผลงานขึ้นมาได้ ถ้าไม่ลงมือทำ ให้มันเกิดขึ้นมา จากคุณ : wbj - [ วันปิยมหาราช 23:40:34 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทำ / ปฏิบัติ ไม่ว่าจะหาความรู้มาได้มากสักเท่าไหร่ หรือ เรามีความคิดเพื่อการทำสิ่งนั้นดีมากเท่าไหร่ หากไม่มีการลงมือทำจริงๆ ไม่ทำฝันหรือความคิดให้เป็นจริง ก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้น การปฏิบัติ ถึงแม้นไม่ใช่สิ่งแรกที่ต้องมี แต่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในความสำเร็จเช่นกัน การมีความรู้ท่วมหัว หรือ มีความคิดดีๆ สามารถสร้างกันได้ แต่ทักษะการทำงานต้องมีการลงมือทำจริงๆ ถึงจะเกิดทักษะ บางคนอาจจะพบว่า ที่บริษัทฯมีผู้บริหารหลายคนตอนประชุม จะมีความคิดอ่าน มากถึงมากที่สุด ซึ่งเป็นแนวคิดดีๆ มีความเป็นไปได้สูง แต่เมื่อให้งานนั้นกับเขาซึ่งเป็นสิ่งที่เขาคิด เป็นสิ่งที่เขาเสนอ บางท่านกลับทำในสิ่งที่คิดไว้ไม่ได้ นี่แสดงถึงให้เห็นถึงผลของการขาดทักษะในด้านการปฏิบัตินี้ การลงมือที่จะทำนั้น ต้องอาศัยพื้นฐานความรู้ ความเข้าใจ หรือ การฝึกฝนให้เกิดความชำนาญในการทำให้เกิดขึ้น เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนให้เกิดขึ้นกับตนได้ การสร้างทักษะการปฏิบัติงานได้ดี นั้นทางพุทธศาสนาได้สอน อิทธิบาท ๔ เพื่อใช้เป็นหลักในการทำงาน มีรายละเอียดทั้ง 4 คือ 1. ฉันทะ = ความพึงพอใจในการทำงานหรือเต็มใจทำงาน การจะทำให้ใครเกิดความพึงพอใจ หรือ เต็มใจในการทำงานนั้น คนๆนั้นต้องมองเห็นคุณประโยชน์ของการทำงานเสียก่อน อย่างเช่น ทำแล้วได้ผลงาน ทำแล้วมีคนเห็น ทำแล้วมีคนอนุโมทนา สิ่งเหล่านี้ บางคนมองไม่ออกว่า การทำงานนั้นๆของเขาแล้วจะได้ผลอะไรตอบแทน เพราะคนเราต่างกัน ความคิดก็ต่างกัน ปัญญาก็ต่างกัน โดยพื้นฐานของคนแล้ว ความไม่รู้จะเป็นตัวขัดขวางความพึงพอใจไม่ให้เกิดขึ้น ถ้าไม่รู้ว่างานจะทำอย่างไร ก็ต้องเรียนรู้หรือหาคนมาสอนให้เกิดความเข้าใจในการทำงานเพิ่มมากขึ้นก่อน 2. วิริยะ = พากเพียรในการทำงาน ความเพียรในการทำงานนั้น เกิดจาก การประพฤติตนตามมงคลสูตรบทที่ว่า ทำงานไม่คั่งค้าง แต่ถ้าไม่มีทักษะทางด้านนี้ก็ต้อง สร้างให้มี ให้เกิดขึ้น อาจจะต้องฝึกการทำงานอย่างตั้งใจ และพยายามทำให้สำเร็จเป็นผลงานชิ้นเล็กๆ แล้วค่อยเพิ่มผลงานให้ใหญ่ขึ้นเป็นต้น 3. จิตตะ = การมีจิตใจจดจ่อต่อการทำงาน การจะมีจิตใจที่จดจ่อต่อการทำงานได้นั้น ต้องศึกษาองค์ประกอบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งงานเหล่านั้น เป็นงานที่ถนัดในการทำหรือไม่ บรรยากาศต้องเอื้อต่อการทำงาน ต้องฝึกทางด้านความตั้งใจมั่นในการทำงานให้สำเร็จ ไม่ละทิ้งการงานกลางคัน 4. วิมังสา = การพินิจ วิเคราะห์ และ เข้าใจในการทำงานนั้นๆ แนวทางวิธีง่ายๆ ที่จะสร้างวิมังสาให้เกิดขึ้นกับตัวเรา หลวงพ่อธรรมะ และ หลวงพ่อทัตตะชีโว วัดพระธรรมกาย ท่านให้โอวาทในการทำงานว่า  “ทำให้ดีกว่าดีที่สุด” เป็นคำง่ายๆ แต่ลึกซึ้งมาก หมายถึง เวลาเราทำงานแล้ว คิดว่าดีแล้ว ให้สังเกตุ และ วิเคราะห์งานที่ทำว่า เราสามารถทำได้ดีกว่านี้อีกหรือไม่ มีวิธีการใดที่จะทำได้ดีกว่านี้ หรือ ถ้าทำในครั้งต่อไป เราจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ผลดีกว่านี้ เป็นต้น ซึ่งถ้าทุกคนสามารถนำเอาคำหลวงพ่อมาใช้ ก็จะเปลี่ยนแปลงตนเองให้มีวิมังสาให้เกิดกับตนเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ มีคำกล่าวว่า "คนที่ไม่เคยผิดพลาด คือ คนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย..." ดังนั้นการลงมือทำแม้นว่ามันจะเกิดความผิดพลาด หรือ ทำแล้วไม่ได้อย่างที่คิดไว้ก็ตาม การกระทำเหล่านั้นก็ยังได้ประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อเอาไปใช้ในอนาคต อย่ากลัวความผิดพลาด เพราะถ้ากลัวมันก็เท่ากับเรามีการยอมแพ้และล้มเหลวไปแล้วครึ่งหนึ่ง จากคุณ : wbj - [ วันปิยมหาราช 23:41:56 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สื่อสาร ไม่ว่าคุณจะเรียนรู้มาได้อย่างดี มีข้อมูลมากมาย มีความคิดดีๆ มีไอเดีย เจ๋งๆ จนสามารถผลิตสินค้าอย่างเยี่ยมยอด หากคุณไม่สื่อให้คนอื่นรับทราบในสิ่งที่คุณมี ในสินค้าที่คุณทำ มันก็เหมือนกับ เพชรที่ยังไม่เจียรไน คนที่เห็นคุณค่าต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์จริงๆ ดังนั้น การสื่อสารเพื่อให้คนเห็นและรับรู้นั้น จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ลดความขัดแย้ง ลดการซ้ำซ้อน และ ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ จะสื่อต้องมีสาร อยากจะเน้นคำว่าสารที่จะสื่อโดยให้ตระหนักถึง ข้อมูลที่เป็นจริง เกิดประโยชน์ เหมาะสมกับกาลเทศะ สุภาพ และ นอบน้อมแบบไทยๆ เป็นการเสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้คนอื่นๆรับทราบจริงๆ ไม่ใช่โฆษณาชวนเชื่อ ไม่เช่นนั้น เมื่อคนรับสารเห็นว่าสิ่งที่เราสื่อไปนั้นไม่จริง เขาก็จะไม่เชื่อถืออีกเลย มันจะทำให้คุณค่าของคนสื่อลดลงไป การสื่อสารที่ดีนั้นต้องทำให้ผู้รับสาร เข้าใจ หรือ มีความเชื่อถือในสารเหล่านี้ ซึ่งการสื่อสารที่ดี ควรจะมีองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. เลือกใช้สื่อที่ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้รับสาร 2. สารที่จะสื่อนั้น ต้องมีความหมายชัดเจน และ มุ่งตรงประเด็น 3. ใช้คำพูดหรือคำที่เหมาะกับผู้รับสาร 4. มีเหตุ มีผล อย่างเป็นระบบในการสื่อสาร 5. ยกอุปมา อุปมัย เพื่อทำให้ผู้รับสารเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น 6. ลดศัพท์เทคนิค หรือ ราชาศัพท์ ให้น้อยลง หรือ แปลความหมายของศัพท์เหล่านั้น เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจสารที่จะสื่อได้ง่ายขึ้น 7. มีการตรวจสอบความเข้าใจของสารที่ส่งไปว่า ผู้รับสารเข้าใจตรงกับผู้สื่อสารมากน้อยเพียงใด 8. มีการสรุปสารที่ต้องการสื่อเพื่อเป็นการบอกจุดประสงค์การสื่อสารครั้งนั้น เพื่อให้เข้าใจตรงกัน จากคุณ : wbj - [ วันปิยมหาราช 23:42:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ตรวจสอบ/ประเมินผล ในการทำงานที่ดี และ การทำงานเป็นระบบ สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ คือการติดตาม และ ตรวจสอบการทำงานทุกขั้นตอน เพื่อลดความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น หรือ ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น เพื่อความสมบูรณ์ที่สุด หลักการตรวจสอบ หรือ ประเมินผลที่ดีนั้น ต้องตรวจสอบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ การเรียนรู้ ความคิด การวิเคราะห์ การสื่อสาร เพื่อให้ได้ผลที่ออกมาแต่ละขั้นตอนมีความสมบูรณ์ในตัวเองหลักการตรวจสอบและประเมินผลที่ดีนั้น ประกอบด้วย 1. มีการทบทวนข้อมูลเนื้อหาต่างๆ 2. มีหลักการณ์และเหตุผลที่ชัดเจน 3. มีเครื่องตรวจวัดที่มีประสิทธิภาพ 4. มีการตรวจสอบที่เป็นกลาง เที่ยงตรง โปร่งใส 5. สามารถตรวจสอบได้ทั้งประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล 6. ตรวจสอบหาข้อผิดพลาดเพื่อดำเนินการแก้ไข การตรวจสอบ และ ประเมินผลทุกขั้นตอนจะทำให้เรารู้ถึงสภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังสามารถช่วยให้เราประเมินความก้าวหน้าของงานแต่ละชิ้นงานได้เป็นอย่างดี ผู้ที่จะประสบความสำเร็จจึงต้องมีการติดตามงานเป็นนิสัยพื้นฐานเป็นองค์ประกอบในทุกๆส่วน ไม่ว่าจะเป็นด้านการคิด การลงมือทำ เพื่อให้งานสำเร็จตามวัตถุประสงค์อย่างแท้จริง จากคุณ : wbj - [ วันปิยมหาราช 23:43:34 ]

ความคิดเห็นที่ 6 จากหลักการที่กล่าวมาแล้ว นอกจากเราจะใช้สำหรับการปฏิบัติตนให้ประสบความสำเร็จแล้ว เรายังสามารถนำเอาไปประยุกต์ใช้งานกับธุรกิจได้ ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการที่จะเปิดธุรกิจทางด้านซักอบรีด ก็สามารถนำเอาพื้นฐานเหล่านี้มาประยุกต์ใช้โดยการ ความรู้ของผู้ดำเนินกิจการว่ามีความรู้และเข้าใจธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด ต้องมีความรู้ทางด้านใดเสริมเพื่อสามารถประกอบธุรกิจได้ จากนั้นก็ต้องวิเคราะห์สถานที่ว่าเป็นสถานที่ๆเหมาะสมหรือไม่ โดยการเรียนรู้สถานที่รอบข้างว่ามีกลุ่มเป้าหมายมากน้อยเพียงใดเหมาะแก่การที่จะเปิดหรือไม่ เมื่อมั่นใจว่าการเปิดกิจการนั้นมีความเป็นไปได้มาก ก็ต้องวางแนวทางปฏิบัติ หาอุปกรณ์มาเพื่อดำเนินการ และทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ว่ามีการบริการด้านซักอบรีดในระแวกนั้น จากนั้นก็ต้องตรวจสอบว่า บริษัทฯคู่แข่งเป็นอย่างไร บริการของเราเป็นอย่างไร ลูกค้ามีการตอบสนองดีมากน้อยเพียงใด เพื่อจะได้เป็นข้อมูลไว้สำหรับหาวิธีการเพื่อที่จะพัฒนาธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าต่อไป เป็นต้น จากคุณ : wbj - [ วันปิยมหาราช 23:43:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 . จากคุณ : wbj - [ วันปิยมหาราช 23:45:12 ]

ความคิดเห็นที่ 8 บทสรุป คนเราจะสร้างความสำเร็จให้กับตนเองได้นั้น สามารถสรุปได้ตามผังด้านบน การสร้างความสำเร็จทางด้านชีวิต การทำงาน หรือแม้นแต่ธุรกิจ ต้องประกอบด้วย ประสบการณ์ สภาพแวดล้อมของเขาที่ได้สร้าง ความคิดต้นแบบในการตัดสินใจ โดยมีแนวคิด และวิสัยทัศน์ เป็นแนวคิดพื้นฐาน ที่จะคอยสนับสนุนการดำเนินกิจการ หรือ การประยุกต์องค์ความรู้ ใช้ในการแก้ปัญหา โดยองค์ความรู้ต่างๆ และ ข้อมูลต่างๆนั้นจะได้มาจากการเรียนรู้ การคิดวิเคราห์ เพื่อสามารถกำหนดวิธีการปฏิบัติได้อย่างสำฤทธิ์ผล สื่อสารให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าใจ และ รับรู้อย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา เมื่อทำงานใดเสร็จก็จะต้องทบทวนตรวจสอบ จนกระทั่งผลลัพธ์ในแต่ละส่วน แต่ละเรื่องมีความชัดเจน และ สำเร็จเสร็จสมบูรณ์ตามความต้องการ จากคุณ : wbj - [ วันปิยมหาราช 23:45:38 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แปะชื่อก่อนขอเวลาอ่านซัก 20 นาทีครับ จากคุณ : Jump.Jr - [ 24 ต.ค. 50 00:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ชอบคุณสำหรับบทความดีดีครับ จากคุณ : kman (Kman) - [ 24 ต.ค. 50 01:04:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ชอบครับ ขอบคุณมาก... จากคุณ : BFlash - [ 24 ต.ค. 50 03:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เซฟไว้ก่อนได้ป่ะ...... ต้องอ่านช้าๆหน่ะ ขอบคุณครับ ขอบคุณหลายๆ จากคุณ : ครูต้อ - [ 24 ต.ค. 50 08:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอค่อยๆกะดืบกะดืบอ่านไปนะค่ะ ^_^! จากคุณ : น้อง(ของ)หมา - [ 24 ต.ค. 50 09:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เเอบอ่าน.....ขอบคุณครับ จากคุณ : ไล้ (tjlai) - [ 24 ต.ค. 50 10:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ติดตามอ่านด้วยครับ จากคุณ : Lazy Genius - [ 24 ต.ค. 50 14:42:44 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากครับ สำหรับบทความดีๆ ที่มีมาให้อ่านเสมอ จากคุณ : ... (โอม SUT) - [ 24 ต.ค. 50 17:34:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 การให้ความรู้แก่ผู้อื่น เป็นการสร้างบุญกุศลอันยิ่งใหญ่ คนที่ฉลาดและมีความรู้ คือผู้ที่ให้ความรู้แก่ผุ้อื่นเช่นคุณ wbj ขอให้ฉลาดยิ่ง ๆ ขึ้นนะ จากคุณ : Destiny Hurts Me! (Destinyhurtsme) - [ 24 ต.ค. 50 20:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 18 จริงที่ซู๊ดดดเรยยค่ะ :) จากคุณ : One-Of-Us - [ 24 ต.ค. 50 23:27:46 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ดี ครับ จากคุณ : SEA - [ 25 ต.ค. 50 10:31:37 A:124.121.244.33 X: TicketID:107202 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ชอบมาก ๆ เลยคับ จากคุณ : Ento-NA - [ 25 ต.ค. 50 17:03:08 ]

ความคิดเห็นที่ 21 เข้ามาขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : EncodeO - [ 25 ต.ค. 50 19:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณครับที่เข้ามาเป็นกำลังใจ... อยากทราบว่า อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายหรือยากแค่ไหนนะครับ จากคุณ : wbj - [ 29 ต.ค. 50 20:05:23 ]

ความคิดเห็นที่ 23 มันช่างเป็นบทความที่ยอดเยี่ยมมาก พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก จากคุณ : Ice - [ 29 ต.ค. 50 20:39:19 A:202.91.19.194 X: ]