ความคิดเห็นที่ 1 ตัวอย่างที่ 1 ธุรกิจจัดหางาน เพื่อนได้เล่าให้ฉันฟังว่า   เธอเป็นเลขาฯ ตั้งแต่เรียนจบพานิชย์   ทำงานได้ 7-8 ปี    จนกระทั่งอายุ 27 ปีจึงเปิดธุรกิจส่วนตัวเล็ก ๆ ในปีค.ศ. 1987 ด้วยเงินลงทุน 300,000 บาท ซึ่งเธอเก็บรวบรวมได้จากน้ำพักน้ำแรงตลอดระยะเวลาที่ทำงานในตอนต้น  โดยธุรกิจที่เปิดเริ่มต้นจาก Business Center ให้บริการเกี่ยวกับงานเลขานุการในสำนักงาน  งานเอกสารทุกชนิด  ทั้งการรับเขียนจดหมายภาษาต่างชาติ   แปลเอกสาร   พิมพ์เอกสารและรายงานต่าง ๆ   รับส่ง Telex (สมัยนี้สงสัยไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว)  รวมทั้งการรับส่ง Fax  ฯลฯ สมัยนั้นอุปกรณ์สำนักงานที่เป็นเทคโนโลยีราคาสูงมากเมื่อเทียบกับสมัยนี้  เงินลงทุนจึงหมดไปกับ Computer เพียง 1 ตัว   เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า 1 เครื่อง   เครื่องพิมพ์ดีดธรรมดาภาษาไทยและภาษาอังกฤษอย่างละ 1 เครื่อง   ขาดแต่เครื่อง fax ซึ่งสมัยนั้นราคาเครื่องละเกือบแสนบาท  ส่วนเครื่อง Telex ไม่ต้องซื้อ   แต่สามารถเช่ารายเดือนหรือรายปีกับการสื่อสารแห่งประเทศไทย การทำธุรกิจตอนนั้นเริ่มด้วยความยากลำบาก   เพราะต้องทุ่มเททั้งเวลาและกำลังกายใจ   ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่ 8 โมงเช้าไปถึง 3-4 ทุ่มเป็นปกติ   เว้นเสียแต่บางวันมีงานเร่งด่วนต้องทำกันจนถึงเที่ยงคืนหรือรุ่งเช้าก็มี     รายได้ในช่วงเดือนแรก ๆ ไม่พอสำหรับจ่ายเงินเดือนให้พนักงานเพียง 2 คนด้วยซ้ำ   เจ้าของต้องควักกระเป๋าส่วนตัวสำรองจ่ายไปก่อนโดยที่ตัวเองก็ไม่มีเงินเดือน ทำไปได้ 3-4 ปีธุรกิจเริ่มกลายพันธ์   เธอเรียนรู้จากความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการงานเลขานุการใน Business Center ของเธอเอง   ต่อมามีลูกค้าขอเลขาฯ หรือผู้ช่วยไปทำงานในสำนักงานของลูกค้าเองโดยเริ่มจากการจ้างชั่วคราว 1-2 วัน   เป็นสัปดาห์   เป็นเดือน   เป็นปี  และจ้างประจำในเวลาต่อมา  ความต้องการมีเพิ่มมากขึ้น   เธอเริ่มมองความต้องการของลูกค้าในจุดนี้เป็นโอกาส   จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มบริการจัดส่งพนักงานไปตามบริษัทต่าง ๆ เริ่มจากตำแหน่งเลขานุการ   ต่อมาลูกค้าขอตำแหน่งอื่น ๆ เพิ่ม   เช่นพนักงานบัญชี   พนักงานขาย  Admin.  การตลาด   ฯลฯ ปัจจุบันบริษัทนี้เลิกให้บริการที่เกี่ยวกับ Business Center ตามวัตถุประสงค์เดิมตอนเปิดกิจการใหม่ ๆ ไปหมดแล้ว   เนื่องจากบริการดังกล่าวใช้เวลามากและได้ค่าบริการไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น    และได้เปลี่ยนมาให้บริการจัดหางานเต็มรูปแบบหลังจากดำเนินกิจการมาได้ประมาณ 4-5 ปี   นับรวมเวลาที่อยู่ในธุรกิจจนถึงวันนี้ 20 ปีพอดี ลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นบริษัทต่างชาติเกือบ 100%  ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทคนไทยส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยและไม่นิยมใช้บริการจัดหางานในลักษณะเช่นนี้    เหตุผลหลักฉันคิดว่าเนื่องจากบริษัทไม่มีงบประมาณสำหรับค่าบริการที่ค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับการไปลงโฆษณาหาพนักงานและสัมภาษณ์เอง  ซึ่งเป็นแนวคิดที่สวนทางกับบริษัทฝรั่งที่เห็นว่าการใช้บริการแบบนี้ประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณและคุ้มค่ามากกว่า   การให้บริการจัดหางานนี้จะคิดค่าบริการเฉพาะกับบริษัทที่ต้องการพนักงานเท่านั้น   โดยที่ผู้สมัครงานไม่ต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว   และค่าบริการที่คิดกับบริษัทที่ต้องการพนักงานคิดเป็นหนึ่งเดือนของเงินเดือนของพนักงานนั่นเอง   เช่นถ้าคุณสมัครงานผ่านบริษัทนายหน้าและได้งานกับบริษัท A โดยตกลงเงินเดือนที่ 10,000.- บาท    บริษัทนายหน้าจะเรียกเก็บค่าบริการจากบริษัท A ที่รับคุณเข้าทำงานเป็นเงิน 10,000.- บาท   โดยที่บริษัท A ที่รับคุณเข้าทำงานจะไม่หักเงินจำนวนนี้จากเงินเดือนของคุณเหมือนกับที่บริษัทนายหน้าแถวหัวลำโพงเขาทำกัน   ในอดีตที่ผ่านมาก่อนช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ   ค่าบริการคิดเป็น 2 เท่าของเงินเดือนด้วยซ้ำ    แต่เนื่องจากปัจจุบันหลังฟองสบู่แตกและมีการแข่งขันสูง   อีกทั้งยังมีบริษัทนายหน้าผุดขึ้นมากเป็นดอกเห็ดจึงทำให้อัตราค่าบริการลดลงเหลือเพียงหนึ่งเดือนของเงินเดือนเป็นอีกทางเลือกหนึ่งเพื่อดึงดูดบริษัทลูกค้าได้มากขึ้น สำหรับตำแหน่งงานงานที่ให้บริการแก่บริษัทและองค์กรต่าง ๆ มีตั้งแต่ตำแหน่งเสมียนผู้ช่วย  บัญชี  การเงิน   การขาย   การตลาด  ไอที  เลขาฯ วิศวกร และทุก ๆ ตำแหน่งที่บริษัทหนึ่ง ๆ จะมีกัน    ยิ่งภาษาอังกฤษของคุณดี  โอกาสที่จะได้งานดี ๆ และเงินเดือนสูง ๆ ยิ่งมีมากยิ่งขึ้น   ดังนั้นบริษัทนายหน้าหางานจึงเน้นเรื่องความรู้ความสามารถในด้านภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ   ยิ่งถ้าจบการศึกษาจากต่างประเทศก็จะมีโอกาสมากยิ่งขึ้น   และที่สำคัญยิ่งอีกอย่างหนึ่งก็คือความชำนาญเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโปรแกรมต่าง ๆ  เพราะยิ่งเชี่ยวชาญยิ่งดี    ดังนั้นใครที่ยังไม่เก่งแต่อยากได้งานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ ก็ต้องรีบไปศึกษาหาความรู้โดยด่วน  ขอบอก!! ปัจจุบันเธอผู้นี้ไม่ได้บริหารธุรกิจเองแต่คอยดูเป็นกำลังใจอยู่ห่าง ๆ  เพราะโชคดีที่มีน้อง ๆ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีการศึกษาที่สูงกว่ามาช่วยพัฒนาองค์กรเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในยุค Globalization เช่นวันนี้   พร้อมทีมงานผู้มีความสามารถประจำสำนักงานนับสิบ  และบุคลากรที่ส่งไปยังสำนักงานของลูกค้าอีกนับร้อย    บริษัทฯ มีฐานข้อมูลของผู้สมัครนับหมื่นสำหรับรองรับความต้องการของลูกค้าประจำจำนวนหลายร้อยราย นับเป็นการเริ่มต้นที่ยากลำบากในช่วงแรก ๆ   แต่วันนี้เธอบอกว่าเธอรู้สึกภูมิใจและชื่นใจกับการพัฒนาและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   แม้ว่าจะไม่ได้มียอดขายหลักร้อยล้านหรือพันล้านเหมือนคนอื่น ๆ  หรือเหมือนตัวอย่างที่ 2 และ 3 ที่กำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปก็ตาม แก้ไขเมื่อ 01 พ.ย. 50 12:05:42 จากคุณ : Destiny Hurts Me! (Destinyhurtsme) - [ 31 ต.ค. 50 22:14:34 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตัวอย่างที่ 2 ธุรกิจอัญมณี นายจ้างของฉันท่านนี้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่ง   มีจริยธรรมและความสุขุมรอบคอบในการทำธุรกิจอย่างน่ายกย่อง  เป็นสุดยอดนักคิด  มีความเข้าใจคนและมีวิธีการสื่อสารกับพนักงานรวมถึงผู้คนทั่วไปอย่างดีเยี่ยม    เป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน  ให้เกียรติและเห็นคุณค่าของคนทุกระดับชั้น    ปกครองพนักงานเหมือนพ่อปกครองลูก    พนักงานทุกคนในบริษัทจะเรียกท่านว่า “เตี่ย”   พ่อแม่เตี่ยเป็นคนจีนจากไต้หวันลี้ภัยไปอยู่ในพม่า    เตี่ยจึงเป็นคนจีนที่เกิดในพม่า    แต่ต่อมาพม่ามีการปฏิวัติเตี่ยจึงอพยพครอบครัวมาอยู่ประเทศไทยพร้อมลูก ๆ อีก 5 คน และคนที่ 6 เกิดเมืองไทย   นับจากวันที่เตี่ยอพยพมาเมืองไทยจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 40 ปี เตี่ยเริ่มต้นหาเลี้ยงครอบครัวด้วยการเป็นนายหน้าขายประกันที่ AIA   พอเริ่มเข้าที่และสะสมเงินได้ก้อนหนึ่ง   เตี่ยเริ่มธุรกิจอัญมณีด้วยการเป็นนายหน้าเจรจาขายอัญมณีระหว่างคนไทยและชาวต่างชาติ    ทั้งนี้เนื่องจากเตี่ยเคยมีญาติที่มีธุรกิจอัญมณีในพม่าและเตี่ยมีความรู้ภาษาอังกฤษดี     เตี่ยเป็นนายหน้าได้ไม่นานก็เปิดบริษัทเป็นแหล่งนัดพบระหว่างผู้ขายอัญมณีและลูกค้าชาวต่างชาติ   โดยเตี่ยจะคิดค่าคอมมิชชั่นจากผู้ขาย   ในเวลาต่อมาเมื่อเตี่ยเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติในฐานะผู้บุกเบิกวงการธุรกิจอัญมณีเข้ามาประเทศไทย    เตี่ยทำให้ธุรกิจนี้ครบวงจรมากยิ่งขึ้นด้วยการเปิดสถาบันสอนอัญมณีซึ่งเป็นศูนย์รวมนักเรียนทั้งชาวไทยและต่างชาติด้วยเช่นกัน ในอดีตเทคโนโลยี่ต่าง ๆ ยังไม่ทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน   การจ่ายเงินเดือนยังต้องใส่ซอง   และทุก ๆ สิ้นเดือนในวันจ่ายเงินเดือน    เตี่ยจะจัดให้มีการประชุมพนักงานซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 40-50 คน   เตี่ยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงพูดคุย   ให้ความรู้และพูดถึงปัญหางานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมแนวทางในการแก้ไข   และเล่าเรื่องประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เตี่ยพบเจอให้พวกเราฟัง   และจบลงด้วยการแจกซองเงินเดือน    นอกจากวันออกเงินเดือนแล้ว   ทุก ๆ วันเสาร์ซึ่งพนักงานต้องทำงานครึ่งวันเช้า   เตี่ยก็จะเรียกประชุมเพื่อพบปะพูดคุยกับพนักงานทุกเสาร์ด้วยเช่นกัน   การบริหารในลักษณะนี้ทำให้พนักงานเกิดความใกล้ชิดกับนายจ้าง   เกิดความรู้สึกจงรักภักดี   เกิดทีมงานที่แข็งแกร่ง   และรักองค์กร   ทำให้อัตราการลาออกน้อยมาก   และที่สำคัญที่เป็นประโยชน์กับเหล่าพนักงานเช่นฉันก็คือเตี่ยจะพูดเป็นภาษาอังกฤษ   เพราะถึงแม้เตี่ยจะอยู่เมืองไทยมานานหลายสิบปีแต่เนื่องด้วยลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ  และพนักงานที่คัดเลือกเข้ามาทำงานในบริษัทจำเป็นต้องมีความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง    จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เตี่ยไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดภาษาไทย  เหมือนภรรยาและลูก ๆ ของเตี่ยที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วกันทุกคน     ผลพลอยได้ที่ได้รับก็คือพวกเราต่างได้ซึมซับและทำให้หูกระดิกสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องไปเรียนพิเศษให้เสียตังค์     แถมพนักงานคนใดของเตี่ยถ้าไปสมัครงานกับคู่แข่งก็จะไม่ผิดหวัง   เพราะจะได้รับการพิจารณาก่อนเพื่อนด้วยเงินเดือนที่สูงขึ้น   เพราะใครที่มาจากเตี่ยจะได้รับการการันตีเรื่องคุณภาพด้วยมั่นใจว่าบริษัทเตี่ยเปรียบเหมือนสถาบันฝึกอบรมพนักงานที่ดีเยี่ยมแห่งวงการเลยทีเดียว ประมาณปี 1993-4 เตี่ยได้ร่วมลงทุนกับยักษ์ใหญ่ในวงการต่าง ๆ และสร้างอาคารอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยซึ่งเป็นศูนย์รวมของบริษัทผู้ค้าอัญมณีและเป็นแหล่งซื้อขายที่สำคัญของเมืองไทยในปัจจุบัน วันนี้เตี่ยเกษียณแล้วด้วยวัย 81 และใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาและบุตรสาวในประเทศอเมริกาเนื่องจากเตี่ยได้รับสัญชาติเป็นอเมริกันก่อนหน้านั้น   ส่วนลูกชายของเตี่ยยังคงดำเนินธุรกิจอยู่ในเมืองไทยสืบทอดเจตนารมณ์ต่อจากเตี่ยเป็นอย่างดี แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 50 22:37:30 จากคุณ : Destiny Hurts Me! (Destinyhurtsme) - [ 31 ต.ค. 50 22:15:51 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตัวอย่างที่ 3 ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง ท่าทางนายคงจะเป็นเด็กเกเรไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือ    เพราะนายเล่าว่าตอนอายุประมาณ 18-19 ปีก็หนีคุณพ่อจากประเทศมาเลเซียเข้ามาเมืองไทย    เนื่องจากมีพี่ชายทำธุรกิจอาหารทะเลอยู่ในเมืองไทย มาถึงใหม่ ๆ ก็มาเป็นลูกจ้างให้พี่ชาย   ทำงานคล้ายกับจับกังหรือคนงานแบกเข่งอาหารทะเล    ทำงานใช้แรงงานไปวัน ๆ ไม่ค่อยได้ใส่ใจเท่าไร    ทำได้สักพักเกิดไปชอบสาวคนหนึ่งแต่สาวไม่เล่นด้วยเพราะคงจะดูถูกว่านายกระจอก    จึงเกิดแรงบันดาลใจฮึดสู้เพื่อโชว์สาวโดยการตั้งใจทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ด้วยความที่คงจะมีหยักในสมองมากตั้งแต่เด็กทำให้นายมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็ว   และไม่กี่ปีต่อมาก็ซื้อกิจการจากพี่ชายมาบริหารเอง    เป็น SALE ค้าขายและติดต่อลูกค้าต่างประเทศเอง    เพราะตอนทำใหม่ ๆ ยังไม่ค่อยรุ่งเท่าไรเริ่มจากพนักงานไม่กี่คน    ต่อมาจดทะเบียนบริษัทในปี 1982  บริษัทเริ่มเติมโตมีพนักงานมากขึ้น   และประมาณ 10 ปีหลังการจดทะเบียน  นายเอาบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์     ตอนนั้นนายอายุ 30 กว่า   หลังจากเข้าตลาดฯ ได้ไม่นานบริษัทก็เติบโตอย่างรวดเร็วแบบไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้     บริษัทฯ เคยมียอดขายถึงเกือบ 5,000 ล้านบาทต่อปี   และมีพนักงานถึงเกือบ 3,000 คน แต่ปัจจุบันธุรกิจโดนค่าเงินบาทแข็งกระทบเล็กน้อยเนื่องจากบริษัทส่งออกสินค้า 100%  ทำให้ยอดขายลดลง    แต่ก็ยังทำกำไรได้ดีมีโบนัสทุกปี   ปัจจุบันนายอายุยังไม่ครบ 50 ปี   นายแต่งงานแล้วกับสาวไทย (ที่ไม่ใช่สาวโรงงานคนนั้น)   ภรรยานายเป็นสุดยอดผู้บริหารหญิงที่เก่งทั้งงานและเก่งทั้งคนพร้อมความสามารถเป็นเลิศที่เป็นกำลังที่สำคัญที่สุดให้กับนายและองค์กร    นายมีบุตรชายและบุตรสาวที่น่ารักอย่างละคนที่พร้อมที่จะกลับมาสานต่อธุรกิจของนายหลังจากเรียนจบจากต่างประเทศ      นายมีธุรกิจนับพันล้าน   มีอาคารสำนักงานทันสมัยระดับ 5 ดาว 33 ชั้นบนถนนสาทรเป็นของตนเอง    มี CONDOMINIUM หรู 29 ชั้นในใจกลางเมืองบนถนนสีลม   และมีบริษัทในเครือนอกจากบริษัทส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งซึ่งเป็นบริษัทที่ทำรายได้หลักอีกหลายแห่ง นายคนนี้เป็นสุดยอดอัฉริยะที่เติบโตเป็นเศรษฐีระดับพันล้านด้วยลำแข็งของตนเองโดยไม่ได้พึ่งเงินทุนของทางบ้านเลย   และไม่ต้องสงสัยเลยว่าประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 30 ปีทำให้นายเป็นสุดยอดผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถ   มีวิสัยทัศน์กว้างไกล   สามารถนำพาองค์กรที่มีบุคลากรนับพันฝ่าฝันอุปสรรคได้อย่างตลอดรอดฝั่งตลอดมา แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 50 22:40:18 จากคุณ : Destiny Hurts Me! (Destinyhurtsme) - [ 31 ต.ค. 50 22:17:35 ]

ความคิดเห็นที่ 4 หวังว่าเรื่องราวของเจ้าของกิจการทั้ง 3 ข้างต้นจะเป็นประโยชน์   เป็นแบบอย่างที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ   และเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ที่กำลังคิดจะทำธุรกิจส่วนตัว   เกิดความมั่นใจ   และพลังในการเดินไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จที่รอท่านอยู่ข้างหน้า   พร้อมกันนี้ขอเชิญชวนทุกท่านที่มีตัวอย่างเส้นทางสู่ความสำเร็จของนายจ้างของท่าน   ของเพื่อน   ของญาติพี่น้อง  ของคนที่ท่านรู้จัก หรือแม้แต่ของตัวท่านเอง  ที่อาจจะเริ่มต้นธุรกิจจากศูนย์จนเติบใหญ่กลายเป็นนักธุรกิจหลายสิบล้าน  ร้อยล้าน หรือพันล้านมาแลกเปลี่ยนในกระทู้แห่งนี้สำหรับเพื่อน ๆ คนทำงานชาวสีลมและผู้สนใจต่อไป แก้ไขเมื่อ 31 ต.ค. 50 22:41:52 จากคุณ : Destiny Hurts Me! (Destinyhurtsme) - [ 31 ต.ค. 50 22:18:17 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูลของสุดยอดทั้ง 3 ท่าน มีประโยชน์มากครับ จากคุณ : ผู้เฒ่าไม่ยอมแก่ - [ 31 ต.ค. 50 22:27:40 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ดีใจที่มีคนมาคอยเล่าประสบการณ์ที่มีคุณค่าเข้ามาเรื่อยๆครับ ถึก สู้ แต่ที่ขาดไม่ได้เลย คือ วิสัยทัศน์ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ลำบาก (จะวัดกันตรงนี้เลยครับ) ขอให้ความสำเร็จส่งต่อกับทุกๆคนเช่นกันครับ จากคุณ : RaTTeW - [ 31 ต.ค. 50 22:39:23 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมอยากจะเป็นแบบเค้าบ้างครับ สู้ต่อไป ไอมดแดง จากคุณ : dangerous - [ 31 ต.ค. 50 22:55:57 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เยี่ยมครับ จากคุณ : drof - [ 31 ต.ค. 50 23:36:53 ]

ความคิดเห็นที่ 9 อ่านแล้วเห็นแสงค่ะ เกิดความหวังและกำลังใจ ขอบคุณ จขกท ผู้น่ารักนะคะ จากคุณ : denebt00 - [ 31 ต.ค. 50 23:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณมากๆ ที่นำมาให้อ่านครับ ผมรู้สึกว่า คนที่ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนั้น มักจะเริ่มต้นทำธุรกิจเพียงคนเดียว โดยไม่ลงทุนกับเพื่อนหรือญาติพี่น้อง จากคุณ : MADCATZ - [ 1 พ.ย. 50 00:55:40 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับที่นำสิ่งดีๆมาให้ครับ จากคุณ : Coach The Lead - [ 1 พ.ย. 50 03:15:37 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขอบพระคุณมากๆๆๆเลยนะครับ  ที่มาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง  สุดยอดเลยครับ   จากคุณ : คิดดี พูดดี - [ 1 พ.ย. 50 09:51:24 ]

ความคิดเห็นที่ 13 สักวันหนึ่ง...เราจะโต....เราจะโต จากคุณ : ~!!!~ Romantic Blue ~!!!~ - [ 1 พ.ย. 50 10:00:52 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ดีใจที่ตัวอย่างเส้นทางสู่ความสำเร็จข้างต้นเป็นประโยชน์และเป็นแรงบันดาลใจและเป็นกำลังใจให้ทุกท่านเพื่อต่อสู้ต่อไปให้ถึงเส้นชัย จากคุณ : Destiny Hurts Me! (Destinyhurtsme) - [ 1 พ.ย. 50 12:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นประโยชน์มากค่ะ อ่านแล้วก็มองลงไปลึกๆ กว่าที่แต่ละท่านจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้คงเหนื่อยมามาก ทำให้ดิฉันมีกำลังใจในการทำงานเพิ่มขึ้นค่ะ ตอนนี้ดิฉันขอเป็นต้นไม้น้อยๆ ที่กำลังจะเติบโตต่อไปค่ะ ขอบคุณคุณDestinyhurtsme มากนะค่ะ จากคุณ : มะเปรี้ยว (มะเปรี้ยว) - [ 1 พ.ย. 50 15:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณมากครับที่นำมาเล่าสู่กันฟัง... จากคุณ : [..Nothing is what it seems..] - [ 1 พ.ย. 50 16:31:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 2 พ.ย. 50 01:08:48 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ....    o o ! . จากคุณ : Mr.Swat_D - [ 2 พ.ย. 50 08:56:28 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ท่านทั้ง 3 ทำให้สิ่งที่ตัวเอง ถนัดทั้งนั้นเลย แล้วผมเริ่มพัฒนา ร้านโชวห่วยของผม อย่างไรดี จากคุณ : famer (famer) - [ 2 พ.ย. 50 09:30:56 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ไม่ใช่เลย!! ทั้ง 3 ท่านไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองถนัดแต่ต้นเหมือนที่คุณคิด คนแรกเป็นเลขาฯ ทำเอกสาร  ขีด ๆ เขียน ๆ แต่ปัจจุบันทำธุรกิจจัดหางาน คนที่ 2 ค้าอัญมณี  แต่ไม่ได้มีความรู้เรื่องอัญมณีมาก่อน   เพียงแต่มีความรู้เรื่องภาษาอังกฤษที่เป็นตัวกลางระหว่างคนไทยและต่างชาติในการเจรจาธุรกิจ คนที่ 3 เป็นจับกังแบกเข่งอาหารทะเล  จนกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจอาหารทะเลมียอดขายหลายพันล้าน คนที่ 4 เริ่มต้นธุรกิจโชว์ห่วยที่กำลังคิดว่าจะเริ่มพัฒนาธุรกิจของตนเองอย่างไรในวันนี้ ความเก่งของเขาในวันนี้   บวกความเฮงของเขาในวันหน้า   อาจจะทำให้เขามีร้านโชว์ห่วยภายใต้ตราสัญญลักษณ์ famer พร้อมสาขาทั่วประเทศเหมือน 7-11 ก็ได้ ใครจะรู้!! จากคุณ : 4ever Proud! (Destinyhurtsme) - [ 2 พ.ย. 50 23:22:19 ]