เมื่อก้าวเท้าออกจากสำนักงานตัวแทนธนาคารต่างชาติบนอาคารสินธรที่ฉันเพิ่งถูกเลิกจ้าง
ขณะยืนคอยลิฟท์ฉันเหลือบดูนาฬิกาบอกเวลาเกือบ 11.00 น.
คิดไม่ออกว่าฉันควรจะไปไหนดี?
เพราะถ้าฉันกลับบ้านตอนนี้ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
เพราะพี่น้องทุกคนในบ้านต้องรู้เรื่องแต่ฉันยังไม่อยากให้ทุกคนช๊อกและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉัน
และที่สำคัญถ้าเรื่องนี้ถูกเปิดเผยสมาชิกทุกคนในครอบครัวจะต้องเสียใจและสงสารฉันมาก....
ฉันขับรถออกจากอาคารที่ทำงานอย่างไร้จุดหมาย....
พลางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานเย็นก่อนกลับบ้าน
"ยางรถของฉันแบนแฟ็บ"
โชคดีมีคนมองเห็นและชี้ให้ดูก่อนออกรถ
ฉันจึงขอแรงยามและช่างของอาคารมาช่วยเปลี่ยนยางให้
เปลี่ยนเสร็จขอชื่อทั้งสองไว้หวังว่าจะซื้อขนมมาให้เป็นการขอบคุณ
ยังไม่ทันได้ซื้อก็ต้องกระเด็นออกจากตึกซะก่อน
แล้วนี่ยังไม่มีโอกาสขอบคุณอีกครั้ง
หากคุณทั้งสองมีโอกาสได้อ่านบันทึกของฉันและยังจำได้
ก็ขอขอบคุณด้วยใจจริงสำหรับความช่วยเหลือและน้ำใจที่ดีงามด้วยนะ
ที่เขียนเรื่องยางรถแบนเพราะคิดว่าคงเป็น "ลาง" ไม่ดี
และพอมาวันนี้ก็ถูกเลิกจ้าง!
หรือคุณว่าไม่ใช่?
ฉันขับรถไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมาย.....
หัวตื้อไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี
พอเริ่มรู้สึก "หิว" ฉันก็คิดออกว่าฉันควรแวะไปหาอะไรกินก่อนที่จะ "หน้ามืด" เป็นลม
แล้วเกิดอุบัติเหตุขับรถไปชนคนหรือชนเสาไฟฟ้าซะก่อน!
ณ เวลานี้คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการไปนั่งกินสลัดบาร์ในร้าน Sizzlers (ถ้าจะให้ค่าโฆษณาก็ไม่ปฏิเสธนะ)
เพราะเป็นสลัดแบบบุฟเฟ่ที่ฉันสามารถเข้าไปนั่งกินได้เลยโดยไม่ต้องนั่งคอยอาหารตามสั่ง
และสามารถเติมอาหารเองตามต้องการได้อย่างน้อยจนถึงบ่าย 2 โมงเพราะในเวลานี้ฉันคงคิดไม่ออกว่าจะต้องสั่งอาหารอะไร
ก็แปลกดีนะ..... หลาย ๆ คนคงกินอะไรไม่ลงในสถานการณ์เช่นนี้
และโดยเฉพาะในเวลาที่รู้สึก "เครียด" และแย่ ๆ แบบนี้
แต่สำหรับฉันแล้ว ปกติการกินจะทำให้ฉันหายเครียด แถมยังทำให้สมองแล่นคิดแก้สถานการณ์ (ที่แย่แล้ว) ให้ดีขึ้นได้ด้วย
แต่คราวนี้กลับไม่เป็นแบบทุกครั้งแฮะ!
เพราะฉันรู้สึกจุก
.
เปล่านะ! ฉันไม่ได้จุกเพราะกินเยอะเกินไปเพราะเป็นสลัดบุฟเฟ่หรอก
แต่ฉันคิดว่าผักและน้ำสลัดที่แสนเลี่ยนคงทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหาร จึงทำให้ฉันรู้สึกจุก
แต่เอ๊ะ
..หรือจะเป็นเพราะ "ความเครียดลงกระเพาะ" กันแน่นะ?
พอรู้สึกกินไม่ไหวจริง ๆ แล้วฉันก็ไป Window Shop ในห้างบริเวณใกล้เคียง
เดินเรื่อยเปื่อยแบบไร้จุดหมายจนรู้สึกปวดเท้า
ก็แวะเข้าร้านกาแฟสั่งกาแฟแบบ Frozen กินดับกระหายและนั่งเหม่อลอยแก้เมื่อยฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ
จนถึง 5 โมงเย็นฉันก็ขับรถกลับบ้าน
ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ถึงบ้านเวลาเดียวกับที่เคยกลับบ้านเป็นปกติ
ได้ผล! ไม่มีพิรุธ......สมาชิกในบ้านก็ใช้คำถามเดิมว่า
งานวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ฉันก็ตอบเหมือนเดิมแบบหลบ ๆ สายตาว่า
ก็ดี แต่วันนี้งานเยอะหน่อย รู้สึกเพลียและปวดหัวนิดหน่อย
ว่าแล้วฉันก็ขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและทำกิจวัตรอื่น ๆ ตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงเวลาเข้านอน
วันรุ่งขึ้นฉันก็ตื่นแต่เช้าเหมือนเดิม
แต่งตัวเสร็จก็ขับรถออกจากบ้านทำท่าเหมือนไปทำงาน
แต่คราวนี้ฉันไม่ได้ขับแบบไม่มีจุดหมายเหมือนเมื่อวานแล้ว
เพราะฉันได้คิด "วางแผน" ไว้แล้วทั้งคืนว่าเช้านี้ฉันจะต้องไปไหน
คุณลองช่วยกันทายซิว่าฉันจะเลือกไปไหน?
ผิด!
เช้าขนาดนี้ห้างฯ ต่าง ๆ ยังไม่เปิดหรอก และห้างฯ ส่วนมากจะเปิดหลัง 10.00 น. โน่น
สถานที่ต่าง ๆ ที่ฉันจะไปนั่งฆ่าเวลา และทำท่าเหม่อลอยก็ไม่น่าจะมีที่ไหนที่จะเปิดต้อนรับฉันแต่เช้าขนาดนี้
จะมีอีกที่ก็คือโรงพยาบาลเอกชนที่เปิดตลอด 24 ช.ม.
แต่ฉันก็คงไม่ "เพี๊ยน" ขนาดไปสูดลมหายใจร่วมกับคนไข้เพื่อรับเชื้อบางอย่างโดยไม่จำเป็น
ถูกต้อง!
ไป Makro ดีกว่า เพราะฉันจำได้ว่าที่นี่เขาเปิดบริการตั้งแต่ 06.30 น.
เปล่า
.! ฉันไม่ได้คิดจะไปซื้อของเป็นโหล ๆ เพื่อเปิดร้านหรือเปิดท้ายรถขายของปลีกหรอก
แต่ที่นี่เขามีร้านอาหารที่ฉันสามารถสั่งมากิน และนั่งคิดเหม่อลอยนาน ๆ หรือคิดหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้
เบื่อมากก็เดินดูของ....
เดินเมื่อยก็กลับมานั่งกินและคิดอะไรต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้เวลาเลิกงานแล้วค่อยกลับบ้านแบบเมื่อวานนี้ไง
ว่าแล้วฉันก็เลี้ยวเข้าที่จอดรถของห้างฯ และเข้าไปนั่งในบริเวณศูนย์อาหาร
สั่งกาแฟมาดื่มหนึ่งแก้วและนั่งคิดว่าฉันควรทำอย่างไรกับชีวิตและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดี?
ยังไม่ทันได้คิดอะไรออกเป็นรูปเป็นร่าง
ฝนก็ตกหนักแบบไม่ลืมหูลืมตา!
และเพียงชั่วไม่ถึงอึดใจมีเสียงฟ้าผ่าดัง เปรี้ยง!
ฉันได้ยินเสียงร้อง กรี๊ด! จากสาว ๆ บริเวณนั้นด้วยความตกใจ
และแล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง!
พอได้สติฉันถึงรู้ว่าฟ้าที่ผ่าดังเปรี้ยงเมื่อกี้เป็นผลทำให้ไฟดับไปทั้งห้างฯ !
ว๊า! ชักไม่สนุกแล้วซิ!
คิดจะอาศัยยืมสถานที่เขามานั่งปลงกับเรื่องที่เกิดขึ้นสักหน่อย
ฟ้าก็ดันมาทำเป็น "พิโรธ" เสียนี่!!
ไม่เป็นไร อย่าไปโกรธฟ้าเลยเพราะเป็นเรื่องของธรรมชาติ
ฉันมาคิดต่อเรื่องที่ "ถูกมนุษย์กระทำ" และคิดว่าฉันควรจะดำเนินชีวิตของฉันต่อไปอย่างไรดีกว่า
คุณคงไม่คิดว่าฉันกำลังจะใช้วิชามารมาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับฉันหรอกนะ
แต่ถ้าคุณคิด
..
คุณคิดไม่ผิด!
ท่ามกลางห่าฝน (เอ
ฝนตกหนัก ๆ เขาเรียกว่าเทห่าลงมาใช่หรือไม่หนอ?)
ฉันยังคงนั่งอยู่ในศูนย์อาหารภายในห้าง
ไฟยังดับอยู่....แต่ทางห้างใช้ไฟฉุกเฉิน
และฉันเลือกที่นั่งติดกระจกตลอดแนวซึ่งสามารถมองออกไปเห็นฝนที่ซัดกระหน่ำอย่างแรง
จนทำให้แผ่นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ซึ่งติดกับผนังตึกขาดห้อยปลิวไปตามกระแสลมและฝน
ฉันมองลอดกระจกออกไปภายนอกซึ่งมืดครึ้มเหมือนตะวันกำลังจะชิงพลบ
ความคิดในขณะนั้นบอกว่า.......
ฉันถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรม!
ถึงแม้ในสัญญาว่าจ้างที่บริษัทให้ฉันเซ็นตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปทำงานระบุไว้ชัดเจนว่า
ทั้งบริษัทและฉันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีสิทธิ์เลิกจ้างหรือไม่ทำงานต่อหากไม่พอใจในระหว่างเวลาทดลองงาน 3 เดือน
โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
หากเหตุผลในการเลิกจ้างเป็นเพราะฉันทุจริต
ทำให้บริษัทเสียหายร้ายแรง
ทำงานผิดพลาดจนไม่สามารถให้อภัยได้
ไม่มีความสามารถในการปฏิบัติงาน
หรืออื่น ๆ ตามที่กฏหมายกำหนด
แต่ฉันก็ยังอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าในกรณีของฉัน
มันไม่ได้อยู่ในข่ายข้างต้นเลย
เหตุผลที่เขาใช้อ้างในการเลิกจ้างงานฉันก็คือฉันไม่มีความชำนาญในการใช้ Computer
โดยยกตัวอย่างงานพิมพ์ตัวเลขสถิติที่เขามอบหมายให้ฉันพิมพ์ก่อนวันตัดสินฉันเพียงหนึ่งวัน
ที่บอกว่าฉันรู้สึกว่าถูกบอกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมนั้นเพราะฉันมานึกถึงคำพูดของว่าที่ภรรยานายฝรั่งว่า
เธอได้ติดต่อ "ให้เพื่อนมาทำงานแทนฉัน" แล้ว
ซึ่งเพื่อนคนดังกล่าวของเธอเป็นคนที่ฉันมาทราบภายหลังจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งของฉันว่ารู้จักดี
เพราะเคยทำงานธนาคารต่างชาติอีกแห่งหนึ่งด้วยกันมาก่อน
และเพื่อนฉันก็บอกว่าเธอคนนั้นเคยทำงานสนิทสนมกันมาก่อนกับว่าที่ภรรยานายฝรั่ง
ยิ่งกว่านั้นเธอคนนั้นเป็นคนที่มีประวัติการทำงานที่ไม่น่าอภิรมย์นักแต่ทั้งสองสนิทกันมาก
เมื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ดูแล้วฉันก็คิดว่าเธอคงเพิ่งได้พบเพื่อนคนนี้
และเมื่อมีการพูดคุยถึงเรื่องที่เธอจะต้องลาออกเพราะจะต้องแต่งงานกับนายฝรั่ง
เพื่อนเธอคงทำให้เธอรู้สึกว่าการให้โอกาสเพื่อนเก่าแก่น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม.....
แต่ประการสำคัญฉันเชื่อว่าฉันคงได้ทำให้เธอเกิด "ความรู้สึกลบ" ต่อฉันในเรื่องที่ฉันไม่รู้ตัวก็ได้
แต่ฉันก็พอจะลำดับเหตุการณ์และมั่นใจว่าเป็นเพราะฉันไม่ได้ทำตัวประจบสอพลอ
หรือชื่นชมให้เธอหลงระเริงในฐานะว่าที่ภรรยานาย
มันเป็น "ความไม่ฉลาด" ของฉันเอง แต่ก็เป็นความไม่ฉลาดที่ฉันรู้แก่ใจดีและไม่เคยคิดจะเรียนรู้วิธีทำให้ฉลาด
เพื่อประโยชน์ในหน้าที่การงานเลย
ฉันจะกลับไปเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลา 2 สัปดาห์ที่ทำงานที่นี่ในตอนอื่น
เมื่อคิดรวบรวมเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ฉันเข้าไปรับการสัมภาษณ์
วันที่ฉันเริ่มทำงานจนถึงวันที่ฉันถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมแล้ว
คำว่า ไม่เป็นธรรม ทำให้ฉันนึกถึงกฏหมาย ฉันคิดถึงทนายความ
ฉันคิดว่ากฏหมายจะสามารถช่วยให้ความเป็นธรรมกับฉันได้อย่างไรบ้าง
พอคิดได้ดังนั้นฉันก็หยิบโทรศัพท์มือถือโทรขอเบอร์โทรศัพท์ของกรมแรงงาน
แต่ได้รับคำแนะนำพร้อมเบอร์โทรให้ติดต่อกับศาลแรงงานอีกทอดหนึ่ง
เมื่อเล่าเรื่องและเหตุการณ์ให้เจ้าหน้าที่ฟังจนจบก็ได้รับคำแนะนำว่า
ฉันสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมได้
และฉันสามารถกำหนดค่าเสียหายเป็นเงินกี่ล้าน หรือเท่าไรก็ได้ตามที่ฉันต้องการ
แต่นายจ้างจะจ่ายค่าเสียหายให้ฉันได้มากที่สุดตามที่กฏหมายจะให้ความคุ้มครอง
ซึ่งก็คือ "ค่าบอกกล่าวล่วงหน้า" หนึ่งเดือนของเงินเดือน
บวกเงินเดือนจากวันที่เริ่มงานจนถึงวันสุดท้ายของวันที่บริษัทกำหนดเป็นวันจ่ายเงินเดือนเป็นประจำเท่านั้น
ฉันไม่คิดว่าเงินก้อนนี้จะสามารถซื้อความมั่นใจและความภาคภูมิใจทางสังคมในหมู่เพื่อนฝูงญาติพี่น้องที่ฉันได้สูญเสีย
ความรู้สึกอับอาย และความรู้สึกแย่ ๆ ที่ฉันจะได้รับอันเป็นผลมาจากการถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมในครั้งนี้กลับคืนมาได้
ฉันพยายามซักไซ้เจ้าหน้าที่จากศาลแรงงานเพื่อให้เขาตรวจสอบกฏหมายให้รอบคอบ
และให้มั่นใจว่าเขาไม่ได้ตกหล่นกฏหมายข้อไหนที่ฉันสามารถจะฟ้องร้องการถูกเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมในครั้งนี้
เจ้าหน้าที่คนนั้นก็บอกว่าถ้าฉันยังข้องใจหรือไม่เชื่อก็ให้ไปปรึกษากับ "สภาทนายความ" ได้
ฉันขอเบอร์ติดต่อและโทรไปสอบถามทันที
คำตอบที่ได้รับก็เหมือนกัน แต่คำแนะนำที่ฉันได้เพิ่มเติมจากสภาทนายความก็คือ
จะมีทนายความที่มีประสบการณ์คอยให้คำแนะนำปรึกษาที่สำนักงานสภาทนายความ
ซึ่งถ้าฉันไปพบด้วยตนเอง ฉันอาจจะได้รับคำแนะนำที่เป็นประโยชน์มากกว่านี้ก็ได้
จากข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับทำให้ฉันคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องบอกเรื่องนี้ให้กับน้อง ๆ ของฉันที่บ้านทราบ
เพราะฉันก็ไม่สามารถ "แสร้งทำเป็นออกจากบ้านไปทำงาน" และตะรอนไปเรื่อย ๆ เช่นนี้ตลอดไปได้
ว่าแล้วฉันก็โทรศัพท์กลับบ้านและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้น้อง ๆ ฟัง
ทุกคนตกใจและสงสารฉันมาก.....
น้องสาวบอกให้ฉันนั่งคอยอยู่ที่นั่น (ศูนย์อาหารใน Makro) แล้วเขาจะรีบขับรถตามมาพบฉัน
ฉันบอกให้เขาทั้งสองคอยจนกว่าฝนหยุดหรือซาลงแล้วค่อยมา
และอีกอย่างตอนนี้ห้างฯ ไฟดับ มีแต่เพียงไฟฉุกเฉินบริเวณที่สำคัญเท่านั้น
แต่น้องฉันเขาวางสายไปเสียแล้ว.....
ฉันเผลอนั่งเหม่อไม่ถึง 10 นาที น้องทั้งสองของฉันก็ปรากฏกายด้วยหน้าตาตื่น เห็นใจและสงสารฉัน
พร้อมกับแสดงน้ำเสียงโกรธเคืองนายจ้างฝรั่งโดยเฉพาะว่าที่ภรรยาของเขาอย่างกับเหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นกับตัวน้อง ๆ ของฉันเองก็ไม่ปาน
จากนั้นทั้งสองคนก็ทำหน้าที่เป็นทนายความเสียเอง.....
เพราะเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาไล่ต้อนฉันด้วยร้อยแปดคำถาม
เมื่อได้ข้อมูลจนพอใจแล้วก็นำมาวิเคราะห์สถานการณ์และเห็นด้วยว่า
ฉันไม่ควรที่จะปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นโดยไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้หรือปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
ว่าแล้วน้องสาวทั้งสองก็อาสาเป็นเพื่อนพาฉันไปสภาทนายความเช้านั้นเลย
..
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
โปรดติดตาม เลขาฯ ตัวแสบ! ตอน.....พบทนายความเรื่องการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมพร้อมกับการได้รับเงินชดเชยเกือบแสนบาท!!!
สุดสัปดาห์หน้า
ความเดิมเมื่อตอนที่แล้ว:
http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6083075/B6083075.html
เลขาฯ ตัวแสบ! ตอน.....วันที่ฉันถูกเลิกจ้าง!!!
แก้ไขเมื่อ 02 ธ.ค. 50 09:14:55