Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี” ตอนที่ 15 เยี่ยมทาคาชิโฮ เบอร์โร่ส์

    “จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี” ตอนที่ 15 เยี่ยมทาคาชิโฮ เบอร์

    โร่ส์





    นั่งรถบูลเลทเทรน หรือรถหัวกระสุนของญี่ปุ่นครั้งแรก นี่

    มันทั้งตื่นเต้น น่าประทับใจหนักหนาเสียพ่อคุณเอ๋ย  

    เราต้องจองตั๋วจากกรุงเทพ จึงจะได้นั่ง และรถไฟแน่น

    มาก  พอวันที่จะไปขึ้นรถไฟก็ไปเสียแต่เนิ่นๆ เพราะรถเข้า

    ตรงเวลามาก  




    เราต้องเอาตั๋วไปให้เจ้าหน้าที่ที่ยืนบริการผู้โดยสารอยู่ที่

    ชานชลาเพื่อถามว่าขบวนรถและเลขที่นั่งของเราจะจอด

    ณ จุดไหน แล้วไปยืนเข้าคิวที่จุดนั้น  พอได้เวลาเป๋ง  

    รถไฟขบวนไม่ยาวนักก็วิ่งเงียบกริบมาจอดตรงที่เรายืนเข้า

    คิวอยู่แทบไม่รู้ตัว  




    ขึ้นไปนั่งตามเบอร์ที่กำหนดไว้  แป็บเดียวรถก็ออก  เสียง

    รถที่วิ่งปรี๊ดขึ้นพรวดเดียว 300 กว่ากิโลเมตรนั้นช่าง

    นิ่มนวล ไม่มีเสียงดังหนวกหู ไม่มีเสียงโครมคราม ถึงก็

    ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง แบบบ้านเรา  




    ตอนนี้เรามีรถไฟใต้ดินแล้ว คงวิ่งไม่ถึง 100 กิโลเมตรต่อ

    ชั่วโมง  ก็คงต้องรอการพัฒนาไปอีกนานจึงเทียบญี่ปุ่น

    ได้  เรื่องที่เล่านี่ 30 กว่าปีแล้วนะ  ไม่ใช่ เมื่อวานนี้ ตอนนี้

    เขาไปถึงไหนแล้วก็ไม่ทราบ




    ไปถึงสถานีปลายทาง ก็ต้องนั่งรถไปทั้งใต้ดินและบนดิน

    เข้าไปในเมืองอีกหลายสถานี  รถไฟฟ้าของเขาก็เหมือน

    รถไฟฟ้าของเราขณะนี้ แต่คนแน่นกว่ามาก ขนาดดันกัน

    เข้าไปกว่าจะปิดประตูได้  พอขึ้นไปถึงต่างคนต่างอ่าน

    หนังสือพิมพ์ หรือตำราเฉย  คอยฟังประกาศชื่อสถานีที่รถ

    จะหยุดต่อไป




    พอถึงสถานีที่ตัวเองจะลง ก็ก้มหน้าพรวดๆ จ้ำอ้าวๆ ไป  

    ไม่รู้จะรีบจะไปไหนกันหนักหนา  แต่เดี๋ยวนี้คงมีคนเขาขึ้น

    รถไฟเสร็จก็คงพูดโทรศัพท์หรือนั่งกดเกมโทรศัพท์เล่นอยู่

    เหมือนเมืองไทยเดี๋ยวนี้ก็ได้




    เสียอย่างเดียว ที่เหมือนรถไฟในเมืองไทย คือการบอกชื่อ

    สถานีที่จะถึงในสถานีต่อไป….ของไทยก็  “ส ถ า นี ต่อ

    ไป สพานควายยยย  Next stationnnnn  Saaa Paaan

    Kaaawiiii”





    คือฟังแทบไม่รู้เรื่องเลย  ของญี่ปุ่นแย่กว่านั้นอีก คือ

    ประกาศแต่ชื่อสถานีเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างเดี่ยว  ไม่มีภาษา

    อังกฤษกำกับ




    คนต่างชาติอย่างเรา ก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังจนหูห้อย ก็

    ไม่รู้ว่าถึงไหนแล้ว  จะคอยนับสถานีรถก็วิ่งเร็วมาก  จะดู

    ป้ายก็มองไม่เห็นเพราะคนยัดเยียดกันแทบเป็นทะนาน….




    ดังนั้นขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่นวันแรกจึงลำบากมาก แต่พอวันต่อ

    ไป เราจะต้องคอยศึกษาก่อนว่า ขึ้นสถานีไหน  รถจะวิ่งไป

    ทางไหน ถึงสถานี มีชื่อเรียกว่าอย่างนี้ เป็นสถานีที่เท่า

    ไหร่ รถจึงจะจอดแล้วเราลงได้ จึงไม่ค่อยพลาดในโอกาส

    ต่อไป




    เราไปถึงโรงแรมที่พัก  เก็บของเข้าโรงแรมเสร็จก็รอ มร.

    ยาซาว่าที่จะมารับเราไปทานข้าว……ธรรมเนียมญี่ปุ่นใน

    การต้อนรับแขกเมืองก็คงเหมือนกับของเรา  พอแนะนำตัว

    ให้รู้จักกัน ก็โค้งกันแล้วโค้งกันอีก และหลังจากนั้นก็ต้อง

    ไปรับประทานอาหารให้อิ่มหนำสำราญกันก่อนจึงค่อยคุย

    บิวซิเนส




    อาหารมื้อแรกในญี่ปุ่น  ความจริงไม่ใช่มื้อแรกหรอกครับ

    เพราะเราไปหากินกันเองที่โอซาก้ามาสองสามวันแล้ว แต่

    ส่วนมากเป็นพวกบะหมี่น้ำซุบที่กดออกมาจากเครื่อง ไอ้

    การที่จะได้นั่งโต๊ะนั่งพับเพียบแบบญี่ปุ่นจริงๆ เห็นจะไม่มี

    ซะหรอก เพราะอาหารญี่ปุ่นมันแพง  คุณธวัชบอกว่าอดใจ

    ไว้ไปกินที่โตเกียว เดี๋ยวพวกญี่ปุ่นเลี้ยงเราจนท้องแตกแน่

    ไม่ต้องกลัว




    อาหารมื้อนั้นก็อร่อยดี มีปลาดิบ ที่ลุงไม่เคยทาน ทานเข้า

    ไปทีไรเป็นหน้าเหยเก เพราะรสมันเผ็ดเหลือหลาย  ปลา

    ไหลของเขาก็เป็นอาหารมีชื่อ พวกเรารู้จักดีกันอยู่แล้ว  

    เดี๋ยวนี้อาหารญี่ปุ่นมีอยู่เหลื่อนกลาดทุกห้างสรรพสินค้าใน

    เมืองไทย  แต่ที่ลุงติดใจยังไม่หายจนถึงบัดนี้คือ “ชาบุ ชา

    บุ”
    ที่เป็นเนื้อสไลท์แผ่นบางๆ สีแดงใสๆ เวลาจะทานก็ใช้

    ตะเกียบหยิบลงจุ่มในน้ำเดือดๆ แล้วจิ้มน้ำจิ้มทานอีกที

    หนึ่ง มันเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในบรรดาอาหารญี่ปุ่นที่ลุง

    ว่า  




    กลับมาเมืองไทย 30 กว่าปีแล้ว รู้ว่าเขามีขายมานานหลาย

    ปีแล้ว ยังไม่กล้าไปกินสักที กลัวจะไม่อร่อยเท่าที่ตัวเอง

    เคยทาน แล้วจดจำความอร่อยนั้นไว้  เดี๋ยวจะเสียความ

    รู้สึกหมด  เพราะอย่างว่า  อาหารญี่ปุ่นเดี๋ยวนี้ก็ทำกับแบบ

    สำเร็จรูป จะหาเนื้อดีๆ ปลาดีๆ มาทำให้อร่อยก็ยากเหลือ

    หลาย




    รับประทานอาหาร และเสริมด้วยน้ำสาเก……..ตบท้ายด้วย

    น้ำชาญี่ปุ่นแล้วเราก็เดินทางไปประชุม ที่ Takashiho

    Burroughs




    พอเข้าห้องประชุม ก็มีชาวญี่ปุ่น สิบกว่าคนเห็นจะได้ ยืน

    ต้อนรับเราเป็นแถว  ในถือก็ถือนามบัตรไว้สองมือคอยยื่น

    ให้เราแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษ กว่าจะแนะนำตัวกันเสร็จ

    ก็หลายนาที จนเราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  




    แอบเห็นคุณธวัชเขียนในกระดาษเป็นรูปโต๊ะประชุม  แล้ว

    ใส่ที่นั่งจดแต่ละคนตามนามบัตร ลุงก็ทำบ้าง เลยได้

    เทคนิคในการจดทำชื่อชาวต่างประเทศที่เพิ่งจะรู้จักกัน

    ใหม่  บางทีก็ไม่รู้ใครเป็นใครเหมือนกัน




    การประชุมวันแรก ก็เป็นการแนะนำบริษัท  แนะนำกิจการ

    แนะนำองค์กรกันเสียเป็นส่วนใหญ่  ทางเรา คุณธวัชก็เป็น

    คนบรรยายว่ายิบอินซอยเราทำอะไรบ้าง  มีการดำเนิน

    กิจการอย่างไร  ตอนนั้น Power point ก็ไม่มี  แผ่นใสก็

    ไม่มี  คุณธวัชเลยทำเป็นกระดาษ Sheet 2-3 ไปแจก  

    ส่วนทาง Takashiho Burroughs เขามีเป็น Brochure

    พิมพ์สำเร็จรูปเป็นสี มีหลายหน้าแจกเลย  และเป็นภาษา

    อังกฤษอีกด้วย  เขาคงทำ Presentation ให้คนต่างชาติ

    บ่อย เลยต้องมีอุปกรณ์เหล่านี้ไว้พร้อม




    ที่น่าแปลกใจก็คือ ในที่ประชุมวันนั้น นอกจาก Mr.

    YaZawa ที่เคยติดต่อกับเราแล้ว ทุกคนพูดภาษาอังกฤษ

    ไม่ได้สักคนเดียว  หรือพูดได้ ก็ไม่พูด ก็ไม่ทราบ  และพอ

    เปิดให้ถาม ทุกคนก็ไม่ค่อยถามอะไร  มักแต่นั่งยิ้มกันอยู่

    ได้ แม้แต่ตอนที่คุณธวัชบรรยาย ยังต้องมีล่ามแปล

    อังกฤษเป็นญี่ปุ่นอยู่หนึ่งคนเลย




    ตกลงบรรยายกันคนละครึ่งชั่วโมง  ไม่มีคำถาม  แสดงว่า

    ทุกคนเข้าในสิ่งที่เราพูด  แต่ส่วนลุงฟังชาวญี่ปุ่นไม่ค่อย

    ออก ไม่ว่าจะเป็นล่ามหรือใคร ก็เอาไว้รอถามคุณธวัชดี

    กว่า  เพราะคุณธวัชคงผ่านเวทีการเจรจามามากกว่า




    เสร็จการประชุม Mr. YaZawa ก็ส่งเราเข้าโรงแรมให้เราไป

    พักผ่อนสักสองสามชั่วโมง เพราะเมื่อเช้าต้องตื่นแต่เช้ามา

    ขึ้นรถบูลเลทเทรน แล้วก็ไปเยี่ยม Takashiho

    Burroughs เลย  ยังไม่มีโอกาสได้พักผ่อนเลย  แล้วตอน

    6 โมงเย็นจะมารับไปกินข้าวเย็น




    ลุงกลับถึงโรงแรม  ก็หลับเป็นตายเพราะความเพลีย  เดี่ยว

    เย็นต้องตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปกินข้าวเย็นอีก  ใครว่าไปทำ

    งาน หรือไปติดต่อธุรกิจเมืองนอกสบาย  ลุงไปมาทั่วโลก

    แล้ว  ไม่เห็นมันสบายตรงไหนเลย  ไม่เคยได้ไปเที่ยวที่

    ไหน บางทีไปประชุมที่อเมริกา พอลงเครื่องบินก็ไป

    ประชุม  ขากลับแวะอีกเมืองหนึ่งก็มีนักธุรกิจมารับไป

    เจรจาความต่อ เสร็จแล้วก็เดิน ทางขึ้นเครื่องกลับบ้าน

    เลย  มาถึงกรุงเทพฯ ก็ยุ่งฉิบเป๋ง  งานบนโต๊ะค้างพะเรอ

    เกวียน ต้องสะสางกันอีก  ดังนั้น เรื่องการเดินทางไปต่าง

    ประเทศนี่ลุงจะเล่าให้ฟังในวันหลังว่า เราจะใช้เวลาที่แอร์

    ปอร์ต  ใช้เวลาที่สนามบินให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร

    พอกลับถึงกรุงเทพฯ แล้วจึงจะมีเวลาพาครอบครัวไปดูหนัง

    ดูละครได้บ้าง




    เห็นแต่คุณธวัชยังที่ไม่ยอมนอน  เพียงแต่อาบน้ำ เปลี่ยน

    เครื่องแต่งตัว และนั่งเขียนอะไรหยุกหยิกอยู่  ลุงถาม

    ว่า “ไม่พักบ้างหรือครับ”  คุณธวัช บอกว่า

    “คุณนอนไปเถอะ  ผมจะขอร่าง Strategy ที่จะไปคุยกับ

    Takashiho Burroughs หน่อย……”
     แล้วคุณธวัชก็พูด

    อะไรต่อไม่รู้ไปอีกคำสองคำ…… .....................




    Strategy……Strategy……..Strategy……….




    มันหมายความว่าอย่างไรหว่า......ลุงแอ็ดนอนนึกถึงคำที่

    คุณธวัชพูดให้ฟังจนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว




    amorntvm@hotmail.com

    จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ วันพ่อแห่งชาติ 18:26:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom