Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน.....ชีวิตหลังการตกงาน!!!

    สวรรค์ “ไม่มีตา”!!!
    Destiny Hurts Me!!

    โชคชะตากำลัง “เล่นตลก” อะไรกับฉัน?
    ทำไมสวรรค์ช่าง “โหดร้าย” กับฉันเช่นนี้?
    ทำไมต้อง “กลั่นแกล้ง” ฉันตลอดเวลา?
    ทำไมต้องนำแต่ “สิ่งร้าย ๆ”  เข้ามาในชีวิตของฉัน….
    ทำไมต้องทำให้ชีวิตของฉัน “พลิกผัน” ตลอดเวลา….
    ซ้ำแล้วซ้ำเล่า….ไม่รู้จักจบ?

    โชคชะตาได้นำพาให้ฉันมีโอกาสไป “ใช้ชีวิต” อยู่ต่างประเทศ
    แต่เพียง 2 ปีครึ่งก็โถมซัด “มรสุม” ลูกใหญ่เข้ามา “ทำลาย” ความหวังและอนาคตของฉันจนหมดสิ้น!
    เมื่อ “กลับมาเมืองไทย” ชีวิตของฉันต้อง “จมปรัก” อยู่กับความโศกเศร้าและสิ้นหวัง
    เป็นเวลาเกือบ 3 ปีที่ฉันเหมือนคน “สิ้นสภาพ” ด้วยจิตใจที่ “บอบช้ำ” ที่ “ช๊อก” กับมรสุมชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด!
    แต่พอฉันได้รับ “การเยียวยา” ด้วย “กำลังใจ” จากคนรอบข้างจนพร้อมที่จะ “ลุกขึ้นมาต่อสู้”กับชีวิตและกลับไปทำงานใหม่อีกครั้ง
    โชคชะตาก็มา “กลั่นแกล้ง” ฉันอีก!
    “แกล้ง” ทำให้ฉันได้งาน
    แต่แค่ชั่ว “เวลาเพียงสั้น ๆ”
    ก็ “แกล้ง” ทำให้ฉันตกงาน
    ทำไมไม่ “ปล่อย” ให้ฉัน “เป็นอยู่อย่างนั้น” ตลอดไปเลย?
    ทำไมต้องแกล้งให้ฉัน “ดีใจ” กับการได้ทำงานแค่เพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์?
    แล้วต้องผิดหวังอีกครั้งจนทำให้ชีวิตของฉัน “ตกต่ำ” หนักลงไปกว่าเดิม???
     
    ฉัน “ไม่รัก” สวรรค์แล้ว!!
    สวรรค์ “ลำเอียง”….
    สวรรค์ “ใจร้ายยยยยยย…..”!!!

    หลังจากถูกเลิกจ้างแล้วฉันก็ “ซึมเศร้า” อยู่กับความเสียใจและผิดหวังใน “ชะตาชีวิต” ของตนเอง….
    ฉันรู้สึก “สูญเสีย” ความ “มั่นใจ” และความ “ศรัทธา” ในตัวเองไปมาก
    การถูกเลิกจ้างที่นอกจากจะทำให้ประวัติของฉัน “ด่างพร้อย” แล้วยังทำให้ฉันรู้สึก “เสียเกียรติเสียศักดิ์ศรี” เกินกว่าจะทำใจได้
    ที่ผ่านมาฉันได้พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าไม่ใช่ “ความผิด” ของฉัน    
    แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ “ไม่ปลื้ม” ฉันเป็นการ “ส่วนตัว”  
    และส่งเสริมให้ว่าที่สามีให้ “เขี่ย” ฉันออก!  
    คิดเช่นนี้ทำให้ฉัน “โทษ” ตัวเองน้อยลงและรู้สึกดีขึ้น    

    แต่เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้แล้วฉันก็ไม่อยากจะ “หลอกตัวเอง” อีกต่อไป
    เพราะความจริงอย่างหนึ่งที่ฉัน “ปฏิเสธ” ไม่ได้และต้อง “ยอมรับ” ก็คือ
    “เหตุผล” ในการที่บริษัทตัวแทนธนาคารต่างชาติดังกล่าวนำมาเป็นข้ออ้างในการ “เลิกจ้าง” ฉัน
    เรื่องที่ว่า “สมองฉันขึ้นสนิม”  และฉัน “ขาดทักษะ” ในการใช้ Program computer ซึ่งมีความสำคัญเกี่ยวกับงานโดยตรง
    เป็น “ความจริง” และ “ถูกต้อง” ทุกประการ!

    เหตุการณ์ “เลวร้าย” ที่สุดในชีวิตที่เกิดขึ้นกับฉันเมื่อ 5 ปีก่อนนั้นทำให้ชีวิตของฉัน “จม” อยู่แต่ในความซึมเศร้าจน “สมองฉันขึ้นสนิม”  
    และการที่ฉัน “ร้างลา” จากการทำงานในสำนักงานมาเป็นเวลานานทำให้ “ทักษะ” ในการใช้ computer ของฉัน “ขาดหายไป”

    ฉันคิดว่าหากฉันคิดจะ “กลับไปหางานทำใหม่” อีกครั้งหนึ่ง
    “ถึงเวลาแล้ว” ที่ฉันจะต้องรีบ “ปรับปรุงและพัฒนา” ตัวเองอย่างรีบ “ด่วน”!  
    นั่นก็คือการ “ขัดสนิม” ในสมองหรือในหัวของฉันตามข้อกล่าวหา (ที่เป็นความจริง) ให้หมดไป  
    และ “ฝึกทักษะ” ในการใช้อุปกรณ์ Computer ให้ชำนาญเพิ่มมากขึ้นกว่านี้    
    อันที่จริงฉันไม่มีปัญหาในการใช้ Program Microsoft Word  
    เพราะฉันสามารถพิมพ์งานได้ “รวดเร็ว” และ “คล่องแคล่ว” ถึงแม้ว่าจะห่างเหินวงการมานานหลายปี  
    แต่ฉัน “ขาดทักษะ” ในการใช้ Program Microsoft Excel  ซึ่งเป็นเหตุให้เขานำมาเป็น “จุดอ่อน” ในการ “กำจัด” ฉัน    
    ที่จริงแล้วฉันเป็นคนที่มี “ความตั้งใจ” สูงและสามารถ “เรียนรู้” ได้เร็วซึ่งจะทำให้ฉันใช้เวลา “รื้อฟื้น” เพียงไม่กี่วัน  
    แต่ “น่าเสียดาย” ที่เขา “ไม่ให้โอกาส” แก่ฉันเลย!  

    วันหนึ่งญาติคนหนึ่งของฉัน “พี่ดา” โทรมาชวนฉันไปเป็นเพื่อนลงทะเบียนเรียนหลักสูตร  “MAXI MBA”  ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งด้วยกัน    
    หลังจากศึกษารายละเอียดของหลักสูตรแล้วพบว่า  
    “คุณสมบัติ” ของ “ผู้สมัคร” ต้องประกอบด้วยข้อใดข้อหนึ่งดังนี้
    1.  จบปริญญาตรี  
    2.  ทำงานเป็นผู้บริหารไม่ต่ำกว่า 10 ปี
    3.  เป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของกิจการ
    แต่ฉัน “ไม่จบปริญญาตรี”….
    ฉันกำลัง “ตกงาน” และไม่เคยเป็น “ผู้บริหาร”….
    เหลือข้อสุดท้ายที่จะทำให้ฉัน “มีสิทธิ์” เรียนหลักสูตรนี้ได้คือการเป็นหุ้นส่วนหรือเจ้าของกิจการเอง…..
    แล้วฉันต้องทำอย่างไรจึงจะได้เรียนหลักสูตรดังกล่าว?

    เมื่อดูรายนามวิทยากรที่มีอดีต “นายกอานันท์  ปัญญารชุน” อยู่ด้วยยิ่งทำให้น่าสนใจและใคร่อยากเรียนมากขึ้น
    “ในที่สุด” ฉันได้สมัครและลงทะเบียนเรียนหลักสูตรดังกล่าวด้วยค่าเรียนร่วมหมื่น
    ฉันหวังว่าการสมัครเรียนในครั้งนี้จะทำให้ฉันได้รับ “ความรู้” เพิ่มขึ้น
    และที่สำคัญที่สุดฉันจะได้นำ “ประกาศนียบัตร” ที่ได้รับมาเสริมคุณสมบัติเพิ่มวุฒิการศึกษาให้ Resume ของฉันดู “น่าเชื่อถือ” มากยิ่งขึ้น  
    ซึ่งจะช่วย “เพิ่มโอกาส” ในการได้งานทำของฉันอีกทางหนึ่งด้วย  
    เพราะในอดีตที่ผ่านมา “ประวัติการศึกษา” ของฉัน “ไม่มีอะไรเลย!”
    ฉันเรียนไม่จบแม้ “มัธยมต้น”!!!
    นอกจากนั้นการได้ไปลงทะเบียนเรียนในครั้งนี้ก็จะทำให้ฉันได้พบและ “รู้จัก” กับ “เพื่อนใหม่ ๆ”
    ที่จะทำให้ฉันมีความ “กระตือรือร้น” และ “กระฉับกระเฉง” เพิ่มขึ้นและไม่เป็นโรค “ซึมเศร้า” เหมือนอย่างที่เป็นอยู่!  

    ในวัน “ปฐมนิเทศน์”   คณาจารย์และวิทยากรได้แนะนำหลักสูตรและแนวการเรียนการสอนให้นักศึกษาทุกคนทราบ    
    ฉันรู้สึก “ตกใจ” ที่เพิ่งได้ทราบจากอาจารย์ว่านักศึกษาทุกคน
    จะต้องทำ  “Business Plan” หรือแผนธุรกิจทั้งหมด 5 ส่วน   ซึ่งประกอบด้วย  

    >>>การวิเคราะห์การตลาด  (Marketing Analysis Plan)
    >>>กลยุทธ์การตลาด (Marketing Strategy Plan)
    >>>การวางแผนการผลิตและบริหารสินค้าและบริการ (Production and Product and Service Description Plan)
    >>>การวางแผนงานทางการบริหาร (Management Plan) และ
    >>>การวางแผนทางการเงิน (Financial Projections Plan)

    วันนั้นฉันกลับบ้านพร้อม “ตำราเรียน” เป็น “โหล” เต็มกระเป๋าเอกสารที่สถาบันมอบให้
    เห็นตำราและคิดถึงเรื่องการทำแผนธุรกิจทั้ง 5 ฉบับข้างต้นแล้ว…..  
    ฉันและญาติปรึกษากันว่าเราจะ “ยกธงขาว” โบกมืออำลาสถาบันตั้งแต่ยังไม่ “เริ่มต้น” ต่อสู้กันเลยดีไหม?  
    เพราะญาติฉันเป็น “เจ้าของธุรกิจอัญมณี” และไม่ต้องการนำข้อมูลทางธุรกิจที่เป็น “ความลับ” ออกมา “เปิดเผย” ผ่านการทำแผนงานให้กับ “คู่แข่ง”    
    ส่วนตัวฉันเองก็รู้สึกว่า “ห่างเหิน” จากการเรียนมานานและเป็นคนที่ “ขี้เกียจ” เรียนหนังสือ “ในห้องเรียน”
    และเมื่อบวกกับ “สภาพจิตใจ” ที่กำลัง “ย่ำแย่”….  
    ทำให้ฉัน “กลัว”!
    กลัวว่า….ตัวเองจะทำไม่ได้  
    กลัว….ความล้มเหลว  
    สารพัดความกลัวที่จะคิดได้เพื่อเป็น “ข้ออ้าง” ที่ไม่อยากเรียน    
    ฉันและญาติผู้พี่ปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่นาน….  
    แต่ด้วยจิตสำนึกที่ “ใฝ่ดี” ที่ยังมีอยู่ของเราทั้งคู่  
    เราตกลงกันว่าเราจะ “ลองเรียน” และทำแผนธุรกิจส่งอาจารย์ดูสักแผนหนึ่งก่อน  
    หาก “ผลการเรียน” ออกมา “ดี” (ไม่ใช่…D!) แสดงว่าเราพอจะ “มีแวว” ว่าสามารถเรียนจนจบหลักสูตรได้    
    แต่ถ้าไม่ดีหรือ “สอบไม่ผ่าน” ตั้งแต่แผนแรกเราค่อย “Say Goodbye!” ก็ยังไม่สายเกินไป    
    เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันและญาติต่างก็ “ซุ่มเงียบ”  ต่างฝ่ายต่างแอบเรียนแข่งกัน!!


    เทียน   เทียน   เทียน   เทียน   เทียน  เทียน   เทียน   เทียน   เทียน   +   เทียน     เทียน     เทียน     เทียน   เทียน   เทียน   เทียน   เทียน   เทียน

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 9 ธ.ค. 50 13:45:00 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom