DESTINYHURTSME
เอ๊ย
ทำไมถึงเป็นคน
มีตา
แต่หามีแววไม่ อย่างนี้น๊า
?
นายผู้หญิงอุตสาห์มาทักทายถึงที่
แต่กลับมองเป็นอื่นแถมยังบังอาจคิดจะจับมาคบหาเป็นเพื่อนซะอีก!
ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาซะเลย
จะไม่ให้ฉันคิดว่าเป็นพนักงานธรรมดาได้ไง
ก็คุณนีน่าเธอไม่ได้แสดงทีท่าวางกล้ามหรือเชิดหยิ่งให้ฉันรู้สึกเลยนี่นา
ตรงกันข้าม
เธอกลับพูดจานุ่มนวลออกไปทางสุภาพอ่อนน้อมเสียด้วยซ้ำ
แถมยังยิ้มแย้มแจ่มใสแสดงความเป็นมิตรชวนให้หลงใหล
และที่สำคัญการแต่งกายของเธอช่างเรียบง่ายไม่มีแม้แต่สีลิปสติกบนริมฝีปาก
ไม่มีเครื่องประดับอะไร
หรือสัญญาณใด ๆ ที่บ่งบอกถึงความเป็นเศรษฐีนีพันล้านเลย!!!
พอรู้สึกตัวฉันก็ตอบ CEO ไปว่า
อ๋อ
.พบกันแล้วค่ะ
ภรรยาคุณน่ารักมากเลยนะคะ!
ฉันสังเกตเห็นสีหน้าของเขาแสดงความพึงพอใจกับคำตอบของฉัน
จากนั้นฉันก็กล่าวคำอำลาพร้อมคำขอบคุณ
และยืนยันความพร้อมในการเริ่มงานสัปดาห์ถัดไป
วันแรกของการทำงาน
วันที่ 10 กันยายน
..
เป็นวันแรกที่ฉันเริ่มทำงาน
ฉันแต่งตัวไปทำงานด้วยเสื้อสูทสีแดงสด
มีเสื้อยืดแนบตัวสีครีมลายลูกไม้อยู่ข้างใน
ตัดกับกระโปรงสีดำดูเด่นมาแต่ไกลโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ
แต่ที่เลือกสีแดงเพราะทำตามความเชื่อที่จะนำโชคลาภและความรุ่งเรืองมาให้
เนื่องจากกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย
เพราะนับจากวันที่ฉันถูกไล่
เอ๊ย
บอกเลิกจ้าง
โดยสำนักงานตัวแทนธนาคารต่างชาติจนถึงวันนี้
ฉันก็ยังไม่ได้ไปทำงานที่ไหนอีกเลยกว่าปีครึ่ง
นอกจากเรียนหลักสูตรการทำแผนธุรกิจดังที่ได้เล่าไปแล้ว
ทำให้เวลาของการขาดช่วงในการทำงานนานมากเพิ่มเข้าไปอีก
ฉันมาทราบจากเพื่อนร่วมงานในภายหลังว่า
ฉันเป็นที่จับจ้องของเพื่อนร่วมงานในบริษัทฯ อย่างไม่กระพริบตา
ในวันที่เข้ามาทำงานใหม่ ๆ
เพราะเป็นเลขาฯ คนใหม่ของ CEO
ที่เพิ่งเข้ามาใหม่และเริ่มงานก่อนเลขาฯ อีกคนหนึ่งถึงเดือนกว่า
เพราะเธอยังต้องอยู่เคลียร์งานกับบริษัทเก่าและต้องใช้เวลาในการลาออกเป็นเดือน
ส่วนฉันเป็นคนตกงานจึงสามารถเริ่มงานได้ทันที
จากการแต่งกายและรูปพรรณสันฐาน
บวกกับบุคลิกที่นิ่งและสุภาพเรียบร้อย
ฉันถูกมองว่ามาในมาดของ ไฮโซ
ความเกร็งและประหม่าของฉันถูกมองเป็น
.ประมาณว่า สวย-เลิศ-เชิด-หยิ่ง
ในขณะที่เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่รวมทั้งผู้บริหาร
โดยเฉพาะ CEO และนายหญิงเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ และติดดินมาก
จึงเป็นเหตุให้ฉันถูกจับตามองและแอบเม้าท์กันเป็นพิเศษ
ว่าฉันจะสามารถอยู่ร่วมในสังคมและวัฒนธรรมขององค์กรแห่งนี้ไปได้สักกี่น้ำ?
นอกจากนั้นฉันได้ยินเพื่อนร่วมงานในแผนกพูดเชิงเสียดสีเหมือนได้ยินได้ฟังอะไรมา
และบ่นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือนของพนักงานใหม่ ๆ ในองค์กร
ที่มักจะสูงกว่าคนเก่า ๆ ที่ทำมานานแล้วเสมอ
จึงเป็นสาเหตุให้พนักงานรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจ
เสียงตัดพ้อทำให้ฉันคิดถึงวันที่มากรอกใบสมัครและมีพนักงานคนหนึ่ง
มารับใบสมัครของฉันที่มีข้อมูลเงินเดือนไปก่อนนายหญิง
โอ้ว!
เธอนี่เองที่เป็นคนนำความลับเรื่องเงินเดือนของฉันมา เม้าท์ กันในแผนก
ปัญหาที่เกิดตามมาซึ่งฉันมาวิเคราะห์เองภายหลังว่าเกิดจากสาเหตุเรื่องนี้ก็คือ
พนักงานในแผนกนั้นที่คุยกันเรื่องเงินเดือนลาออกกันไป 2-3 คน
รวมทั้งคนที่เป็นคนมารับใบสมัครของฉันไปด้วย
ที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความผิดของฉันแต่เป็นความหละหลวมในการทำงาน
ในเรื่องเกี่ยวกับบุคลากรซึ่งในเวลาต่อมาฉันพยายามช่วยเพิ่มความระมัดระวัง
ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นเท่าที่จะทำได้
มิน่า
.ในวันนั้นคุณนีน่าจึงมาตามเก็บใบสมัครจากฉันด้วยตนเอง
โดยที่ไม่ทราบว่าพนักงานคนนั้นมาเก็บไปก่อนแล้ว
ทั้งที่ไม่ใช่และไม่ได้เป็นหน้าที่ของคุณนีน่าเลย
และฉันก็เพิ่งฉุกคิดได้ว่าเหตุผลอีกประการหนึ่ง
ที่คุณนีน่าไปขอรับใบสมัครจากฉันด้วยตนเองพร้อมนำสัญญาไปให้ฉันเซ็น
ทั้งที่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธออีกและเธอไม่เคยต้องทำเรื่องนี้เลย
ซึ่งฉันทราบหลังจากได้เข้ามาสัมผัสพฤติกรรมการทำงานขององค์กรแล้ว
จึงคาดเดาเอาเองว่าอาจจะเป็นเพราะเธอต้องการมาดูตัว เลขาฯ คนใหม่
ที่ CEO รับเข้ามาเพิ่มทั้งที่ได้รับอีกคนหนึ่งไปเรียบร้อยแล้ว
และเพื่อดูว่า เลขาฯ ตัวแสบ! คนนี้เป็นอย่างไรบ้างนั่นเอง!
เพราะจะมี CEO ที่ไหน บ้า ขนาดรับเลขาฯ คนหนึ่งแล้ว
ยังจะมารับเพิ่มอีกคนแบบนี้!!!
วันที่สองของการทำงาน
SEPTEMBER 11
..
เห็นวันที่แล้วคุณผู้อ่านรู้สึกคุ้น ๆ หรือคิดถึงอะไรได้ไหม?
ท่านจำได้ไหมว่ามีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ในวันนั้น?
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นที่มาของปัญหาและความกังวลที่เกิดขึ้นในใจฉันอีกครั้งหนึ่ง
เพราะในคืนวันนั้นก่อนเข้านอนเพียงไม่กี่นาที
ฉันและสมาชิกทุกคนในบ้านก็ต้อง
ช๊อก ไปกับข่าวในจอทีวี
เหตุการณ์การระเบิดตึกแฝด WORLD TRADE CENTER
โดยเครื่องบินที่ประเทศสหรัฐอเมริกา!!! นั่นเอง
ฉันเกิดอาการช๊อกและตกใจกับข่าวและความโชคร้ายของผู้อยู่ในเหตุการณ์
พร้อมกับความรู้สึกกังวลเกี่ยวกับงานใหม่ของฉัน
เพราะฉันไม่แน่ใจว่าผลพวงจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะกระทบกับธุรกิจของบริษัท
ที่ฉันเพิ่งเข้าไปทำงานได้เพียง 2 วันมากน้อยแค่ไหน
เนื่องจากยอดส่งออกของบริษัทที่ไปยังอเมริกา
มีมากถึงกว่า 1 ใน 3 ของยอดขายรวมทั้งหมด
ฉันจะตกงานอีกรอบไหมนี่?
หรือว่าดวงของฉันจะต้องนอนกลิ้งอยู่กับบ้านตลอดไป?
วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันที่ 3 ของการทำงานของฉัน
เมื่อไปถึงบริษัทฯ ฉันพบว่ามีการประชุมเร่งด่วนระดับผู้บริหาร
เพื่อประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และผลกระทบที่บริษัทฯ จะได้รับ
ฉันได้รับทราบภายหลังว่าบริษัทฯ จะต้องได้รับผลกระทบจากเหตุการ์ครั้งนี้อย่างแน่นอน
แต่ไม่รุนแรงขนาดต้องเจ๊ง ปิดกิจการ หรือเลิกจ้างพนักงานรวมทั้งตัวฉันด้วย
เฮ้อ
.ค่อยโล่งอกหน่อย!!!
เพิ่งถอนหายใจเรื่องการระเบิดตึกในอเมริกาได้ไม่กี่วัน
..
CEO ก็เชิญฉันเข้าไปพบในห้องทำงานด้วยสีหน้าเครียดพร้อมกับพูดว่า
ภรรยาผมถามว่าทำไมคุณจึงเขียนจดหมายถึงครูของลูกผมเป็นภาษาไทย
ทั้งที่จดหมายจะต้องส่งถึงครูที่เป็นฝรั่งในโรงเรียน Inter??
ฉันถึงกับอึ้งกับข้อซักถามของนาย!
พอทบทวนเสร็จฉันก็ชี้แจงให้นายฟังถึงที่มาที่ไปว่า
ฉันได้รับการไหว้วานจากผู้จัดการส่วนบริหาร
ที่กำลังจะลาออกและได้โอนงานในส่วนบริหารของเธอ
มาให้ฉันดูแลหลังจากเธอออกไปแล้วในเวลาต่อมา
เธอให้ฉันช่วยทำจดหมายถึงโรงเรียนของลูกนายซึ่งนายหญิงมอบหมายให้เธอ
โดยเธอบอกกับฉันว่าเธอ ไม่ถนัดพิมพ์ภาษาไทย
พร้อมกับบอกเนื้อหาสำหรับพิมพ์ในจดหมายคร่าว ๆ เพื่อให้ฉันร่างและพิมพ์ให้
เหตุผลที่เธอเน้นว่าเธอพิมพ์ภาษาไทยไม่คล่องหรือไม่เป็น
เพราะเธอเรียนจบจากต่างประเทศและไปใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่เด็ก
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะให้ฉันเข้าใจว่าอย่างไร
เมื่อนายได้ฟังดังนั้นก็เริ่มเข้าใจฉัน
และขอให้ฉันไปชี้แจงให้ภรรยานายด้วยเพื่อให้หายเข้าใจผิดในตัวฉัน
วันต่อมานายถามฉันว่าได้ไปอธิบายให้นายหญิงเข้าใจแล้วหรือยัง
ฉันบอก ยังค่ะ
ท่าทางนายไม่ค่อยชอบใจและแนะนำว่าฉันควรจะรีบไปชี้แจงให้กับนายหญิงเป็นการด่วน
ฉันบอกนายว่าฉันขออนุญาตไม่ไปชี้แจงได้ไหม
เพราะการไปชี้แจงให้ภรรยานายเข้าใจ
ก็เหมือนเป็นการแก้ตัวให้ฉันพ้นผิด
แล้วความผิดจะไปตกที่ใครถ้าไม่ใช่ผู้จัดการส่วนบริหารคนนั้น
ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาแบบ Win-Lose ที่ฉันไม่เคยเห็นด้วย
และฉันไม่ต้องการก่อศัตรูตั้งแต่เพิ่งเริ่มทำงาน
ฉันคิดว่าการที่ฉันได้แก้จดหมายใหม่เป็นภาษาอังกฤษตามที่นายหญิงต้องการ
ก็เป็นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้จบไปเรียบร้อยแล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับฉันมาก
เพราะฉันรู้ว่าการที่นายหญิงเกิดความเข้าใจผิดเช่นนั้น
คงเป็นเพราะคิดว่าฉันมีปัญหาในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษ
แต่ฉันถือสุภาษิต ระยะทางพิสูจน์ม้า
.กาลเวลาพิสูจน์คน
ที่สำคัญขอให้นายเข้าใจฉันก็เพียงพอแล้ว
CEO ฟังคำชี้แจงของฉันเสร็จก็ไม่ได้กดดันฉันต่อ
คงเพราะเห็นว่าไม่สามารถทำให้ฉันเปลี่ยนความคิดได้
และฉันคงได้ออกอาการ Stone Head ตามที่มีคนเคยตั้งฉายาให้ฉันมาก่อน
(Stone Head หมายถึง หัวแข็ง นะ
ไม่ใช่ หัวหิน ที่ประจวบฯ !)
ถ้ามีโอกาสแล้วฉันจะเล่าในตอนอื่น ๆ ว่าฉายานี้ฉันได้แต่ใดมา?
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของนาย
ในวันที่สัมภาษณ์ฉันเป็นครั้งที่สองได้ว่า
การทำงานที่นี่
.นอกจากความรู้ความสามารถและการทุ่มเทให้กับงานแล้ว
หากคุณสามารถทำให้ภรรยาซึ่งมีอำนาจสูงสุดรองจากผมยอมรับได้
ถือว่าคุณสอบผ่านและสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างสบาย!!!
เอาเข้าแล้วซิเรา! เจอตออีกแล้วหรือนี่?
แล้วฉันจะรอดไหมเนี๊ยะ?
แก้ไขเมื่อ 18 ธ.ค. 50 20:32:34