Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี” ตอนที่ 21 เรียนไปด้วยเที่ยวไปด้วย

    “จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี”  ตอนที่ 21 เรียนไปด้วยเที่ยวไปด้วย




    หันกลับมาทางยิบอินซอยของเราบ้าง  




    พอรู้ข่าวว่าเราชนะที่ธนาคารกสิกรไทยก็ไชโยโห่หิ้วกัน

    ใหญ่  หารู้ไม่ว่า “ภาระอันใหญ่หลวง” นี้ได้เกิดขึ้นในบัดนั้น

    แล้ว  




    ในการขายระบบคอมพิวเตอร์นี่ ใครๆ อยากจะเข้ามาทำ

    เข้ามาเล่นด้วย แต่พวกที่เล่น ที่ทำอยู่แล้วก็อยากออก  

    เหมือนที่เขาพูดกันว่า “คนในออกออก คนนอกอยาก

    เข้า”
     




    เพราะดูแล้วมัน  มีกำไรดี  ขายทีหนึ่งได้นับเป็นร้อยๆ

    ล้าน  นับว่าได้เล่นกับเทคโนโลยีสูงสุด  แต่หารู้ไม่ว่า ไอ้

    เทคโนโลยีที่ว่านั้นมันเปลี่ยนทุกวัน ถ้าคุณไม่ตามมันให้ดี

    จาก “นารีสามวันเป็นอื่น” เขาบอกว่าจากคอมพิวเตอร์วัน

    เดียว ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ Up Date ความรู้ หนึ่งวันก็เป็นอื่น

    ไปแล้ว




    และเรื่อง “คน” ก็หายากชะมัด  เพราะเป็นสินค้าใหม่ ใน

    สมัยที่ลุงเริ่มขายระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ๆ ยังไม่มี

    มหาวิทยาลัยใดๆ เปิดสอนระบบคอมพิวเตอร์                                                                                                                                                                                                                          

    ถึงเดี๋ยวนี้ก็เถอะ  ถึงจะมีกันเกลื่อน แต่จบออกมาแล้ว ก็มิ

    ใช่จะทำงานได้ทันที ต้องมาฝึกฝนให้ Up date กับความ

    ต้องการของตลาดกันอยู่เสมอ เพราะการศึกษาของเรา

    สอนอะไรก็ไม่ทันการตลาด เขาไปถึงไหนๆ กันแล้ว อย่าง

    ภาษา “จาว่า” ตอนนี้เขาสอนกันข้างนอก เขาใช้กันเกลื่อน

    เมือง ในหลักสูตรมหาวิทยาลัยของเราเอาเข้าไปสอนแล้ว

    ยังก็ไม่ทราบ




    ดังนั้นการหาคนก็ยาก  ค่าตัวแพงระเบิด  และมาดเยอะ




    เป็นเซลส์ของคอมพิวเตอร์นี่ต้องใส่สูทไปหาลูกค้าตลอด

    เวลา ขับรถ BM (คงเป็นโรคติดต่อจาก IBM)  ซึ่งรวมทั้งลุง

    ด้วย




    และส่วนมากจะเป็นนักเรียนนอก พูดภาษาอังกฤษกันไฟ

    แลบ  ภาษาเขียน  ภาษาพูดทุกอย่างเป็นภาษาอังกฤษ

    หมดเพราะตำรามันเป็นภาษาอังกฤษ  พูดก็มีศัพท์เทคนิค

    เต็มไปหมด




    คนที่ไม่เคยเรียนรู้เรื่องคอมพิวเตอร์มา มาฟังพวก

    คอมพิวเตอร์เขาคุยกัน  ก็ฟังกันไม่ค่อยรู้เรื่อง  ตอนนั้น ลุง

    รำคาญที่คนมันไม่รู้เรื่องคอมพิวเตอร์กัน ก็เลยเขียน

    หนังสือลงคอลัมน์ในนิตยสาร “ข่าวจัตุรัส”  ของ

    อาจารย์พันศักดิ์  วิญยรัตน์ ประธานที่ปรึกษาใหญ่ของ

    ท่านอดีตนายกทักษิณ  ชื่อว่า “พูดจาประสา

    คอมพิวเตอร์”
     จนรวบรวมออกมาเป็นพ็อคเก๊ตบุ๊คเล่มแรก

    ของเมืองไทยได้ ที่พูดเรื่องคอมพิวเตอร์อย่างชาวบ้านเข้า

    ใจกันได้ง่ายๆ  




    ตอนนี้หมดสต๊อคไปนานแล้ว  แม้แต่ของตัวเองก็แจกเขา

    ไปหมด  หากหาได้สักเล่ม ก็จะเอามาลงพิมพ์รวมเล่มเข้า

    กับข้อเขียนในตอนนี้ให้พวกเราได้อ่านกัน  นับเป็นประวัติ

    ศาสตร์ของคอมพิวเตอร์สำหรับเมืองไทยเล่มหนึ่ง (เห็น

    ไหมว่า  ลุงเริ่มมีแววในการเขียน  และเริ่มเขียนรวมเล่ม

    พ๊อคเก็ดบุ๊คมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526  หรือเมื่อ 25 ปีที่แล้ว)




    เนื่องจากยิบอินซอยไม่เคยมีแผนกคอมพิวเตอร์มาก่อน  

    ไม่เคยมี SE  ไม่เคยมี SA ไม่เคยมี Sales Rept. ก็ต้องลง

    หนังสือพิมพ์ประกาศหากันยกใหญ่




    แล้วก็ได้พรรคพวกชุดแรกเข้ามา   ซึ่งมาจากที่ต่างๆ กัน

    จบมาจากอเมริกาบ้าง  ทำงานอยู่แล้วที่อู่ตะเภา ที่

    Support ของทหารอเมริกันบ้าง  รวมๆ แล้วประมาณ 20

    คน แบ่งเป็นเซลส์ 5 คน ช่าง 5 คน  System Analysts 5

    คน และทำงานทางด้าน B1700 ซึ่งเป็นเครื่องขนาดเล็ก

    ของ Burroughs ซึ่งตอนนั้นเราเกิดไปขายได้ที่ NIDA อีก

    เครื่องหนึ่ง ในปีถัดมา




    จากนั้นก็ส่งพนักงานทั้งหมดไปอบรมยังต่างประเทศ  

    อย่างพวก Sales Rept. ซึ่งรวมทั้งลุงด้วยก็ได้ไปเข้าอบรม

    ที่อังกฤษเป็นเวลา 3 เดือน  




    เอาตั้งแต่เรื่องคอมพิวเตอร์คืออะไร  วิวัฒนาการของ

    เครื่องคอมพิวเตอร์  การทำงานของระบบคอมพิวเตอร์

    คอมพายเลอร์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Cobol, Fortran,

    RPG




    เป็นการเข้าโรงเรียนสอนวิชาคอมพิวเตอร์ที่แท้จริง ของ

    Burroughs เรียนกันตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ตั้งแต่ 8.30 ถึง

    17.00 เป็นประจำ




    นับเป็นครั้งแรกของลุงอีกแล้ว ที่ได้เข้าโรงเรียน แต่ที่น่า

    ขำก็คือ เป็นการไปเข้า โรงเรียนขายคอมพิวเตอร์หลังจากที่

    ขายไปได้เครื่องหนึ่งแล้ว
     ส่วนคนอื่นๆในชั้นเรียน ยังไม่มี

    ใครเคยขายได้เลยแม้แต่เครื่องเดียว




    คนที่ไปพร้อมกับลุงก็เป็น Sales Rept. ทางด้าน

    คอมพิวเตอร์คนหนึ่งซึ่งจบจากจุฬาทางไฟฟ้า ชื่อ “คุณกุม

    โชค”
    ก็ไปพักอยู่ด้วยกันที่อังกฤษ สองคน




    เมืองที่ไปเรียนอยู่ห่างจากสนามบินไม่เท่าไหร่  ค่อนข้าง

    จะอยู่นอกเมือง ชื่อ “เมืองไรส์สลิบ”  เราพักอยู่โมเต

    ลใกล้ๆ กับโรงเรียนนั่น นั่งรถไฟจากต้นทางสองป้ายก็ถึง




    ใครไม่เคยไปอยู่อังกฤษนานๆ แล้วก็ต้องขอบอกว่า มันน่า

    เบื่อหน่ายเสียจริง  ลุงไปอยู่อาทิตย์แรก ก็สนุกรื่นเริงดี

    หัวเราะกิ๊กกั๊ก พากันไปเดินเล่นแถวมาดาทรูโซ  ที่ทราว

    เวลสแคว์  และที่เที่ยวดังๆ หลายที่




    แต่พอเข้าอาทิตย์ที่สองก็เริ่มเบื่อหน่าย  เบื่อหน่ายกับ

    อากาศที่ขมุกขมัวทั้งวัน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวแดดออก  ไป

    ไหนต้องเอาร่มติดตัวไปด้วย  ดังนั้น นักเรียนอังกฤษ

    พอกลับมาเมืองไทยแล้ว ก็มักจะเคยตัว ไปไหนก็พกร่ม

    ติดตัวเป็นประจำ




    เรื่องอาหารอีกอย่างหนึ่ง  กินอาหารฝรั่งทุกวันที่โรงแรมมัน

    ก็เอียน ขนาดลุงพกพริกแห้ง  กะปิ น้ำปลา ซึ่งตอนนั้นยังมี

    ไม่ค่อยหลายชนิดเหมือนเดี่ยวนี้ กินแป็บเดียวก็หมด  ต้อง

    ไปกินร้านอาหารจีนทุกวัน  อาหารจีนบ้านนอก (ของ

    อังกฤษ) ก็ไม่อร่อย ต้องเข้าไปกินในเมือง




    โชคดีที่ไปเจอ “สาวไทยสองนาง” ซึ่งไปเรียนเลขานุการที่

    นั่น วันแรกเห็นเขาพูดภาษาไทยก็รู้ว่าเป็นคนไทยแต่ไม่

    กล้าทัก  ต่อมาอีกสักครู่ ก็เดินมาเจอกันอีก เห็นเขาเดินดูด

    ไอติมกันมา เราก็ทักเขาก่อนว่า




    “น่าอร่อยนะครับ  ซื้อที่ไหนหรือครับ”  




    เขาก็พาเราไปซื้อไอติม เดินดูดกันทีเดียวสี่คน….เดินดูด

    ไอติมกันไปตามท้องถนนในกรุงลอนดอน  เมืองหลวงของ

    ประเทศอังกฤษ……..นึกถึงสมัยนั้นแล้วมันคลายเหงาไป

    ได้อย่างมากๆ นะ




    คราวนี้พวกเราก็ติดเขาแจ  วันเสาร์อาทิตย์ พอโรงเรียน

    เลิก ต้องจับรถไฟเข้าเมืองไปเจอเขาทุกวัน  ให้เขาทำกับ

    ข้าวให้กินนะ   “ ติ๋มกะเอี่ย”    คือชื่อของเธอ       ทั้งสอง

    ซึ่งเจอคนไทยมามาก และอยู่ในอังกฤษมาตั้งสองปี ก็รู้สึก

    ถึงความเหงาอารมณ์ เหงาปากของเราเป็นอย่างดี ก็ทำกับ

    ข้าวให้กินอย่างอร่อยเกือบแทบทุกวัน  




    พอวันเสาร์-อาทิตย์ก็พาเราไปช้อบปิ้งตามที่ท่องเที่ยว

    ต่างๆ ซึ่งทำให้แก้เหงาไปได้เป็นอันมาก




    ตอนนั้นลุงเพิ่งมีลูกคนแรกซะด้วย กำลังน่ารัก  คุณกุมโชค

    ก็รู้สึกเมียจะคลอดลูกอยู่หยกๆ




    เพราะ “ติ๋มกับเอี่ย” สองคนนี้ทำให้การเล่าเรียนวิชา

    คอมพิวเตอร์ไม่น่าเบื่อหน่ายและออกรสชาดยิ่งขึ้น  เพราะ

    เราได้พูดจาภาษาไทย หัวเราะ กันทั้งวัน  ต่อไปเรากลับ

    เมืองไทยแล้ว ก็รุ่นที่สองคือคุณไก่ กับเพื่อนอีกคนหนึ่งไป

    เรียนที่เดิม  คือเราต้องผลัดกันไปเรียนที่ละสองคน ไม่ใช่

    บริษัทไม่มีสตางค์ แต่เพราะทาง Burroughs เขาให้

    Quota ประเทศละสองคนเท่านั้น  




    เราก็ฝากฝังคุณไก่ให้สองสาวนี้ดูแลอีกเช่นเดิม  เธอก็

    ปฏิบัติกับพวกเราอย่างดี ไม่น้อยหน้ากัน นับว่า พวกเซลส์

    Burroughs รุ่นแรกทุกคนจะต้องผ่านมือสองสาวนี้หมด  ก็

    ขอเอ่ยถึงไว้ด้วยความขอบคุณยิ่ง  




    หลังจากที่เรากลับจาก Training ที่อังกฤษแล้ว พวกเธอก็

    เรียนจบเลขานุการ “ติ๋ม”  กลับมาที่กรุงเทพ และก็แต่งงาน

    แต่งการเรียบร้อยไป พวกเราไปงานแต่งงานเธอกันเพียบ

    ส่วน “เอี่ย” ได้ข่าวว่าไปอยู่ที่อเมริกา และไม่ได้เจอกันอีก

    เลย




    ลุงก็ได้ใช้วันหยุดนักขัตฤกษ์ซึ่งหยุดทีละสามวันบ้าง บางที

    ก็สี่วัน เดินทางไปเที่ยวประเทศใกล้ๆเช่น สวิสเซอร์แลนด์

    เยอรมัน อิตาลี เบลเยี่ยม ฯลฯ  




    ที่ประทับใจมากที่สุดคือลุงแบกเป้ใส่หลังไปเที่ยวสวิส

    เซอร์แลนด์คนเดียว  ก็บินไปลงที่เมืองซูริก แล้วนั่งรถไฟ

    ไปลงที่เมืองเซมัส ผ่านเมืองหลวงของสวิสเซอร์แลนด์  

    รู้สึกว่าจะชื่อกรุงเบอร์น หรือกรุงบอนด์ อะไรนี่(ถ้าจำไม่

    ผิด) รถไฟก็หยุดแวะให้ผู้โดยสารซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวเป็น

    ส่วนใหญ่ ลงไปเดินเล่น




    ระหว่างทางที่รถไฟผ่านไปมีแต่ขุนเขาที่เห็นอยู่ลิบๆ  มีขาว

    โพลนไปด้วยหิมะ  ดูสวยงามราวเทวดามาสร้างไว้ไม่มีผิด

    พอถึงค่ำรถไปก็จอดที่เมืองเซมัส ซึ่งเป็นตำบลเล็กๆ อยู่

    เชิงภูเขามาธาฮอน  




    ลุงก็ลงไปกินอาหารค่ำ  ก็ไปเจอคณะร้องเพลงคอรัส เป็น

    คนอายุวัยละอ่อนทั้งนั้น คือไม่มีใครต่ำกว่า 50 เหมือนวง

    โลกสีฟ้าที่ลุงไปร้องอยู่เดี๋ยวนี้  พวกเขาก็ร้องเพลงคอรัส

    ภาษาเยอรมันกัน เพราะมาก………………………




    ลุงนั่งจิบไวน์ฟังด้วยความซาบซึ้ง เนื่องจากมาจากเลือดนัก

    ดนตรีเก่า  ทั้งร้านมีอยู่ของนักร้องนี่กับของลุงสองโต๊ะเท่า

    นั้นเอง  




    พอได้จังหวะ  ลุงเดินเดินไปแนะนำตัวว่า ลุงเป็นคนไทย  

    บางคนไม่รู้จักว่าประเทศไทยอยู่ตรงไหนก็ต้องอธิบายให้

    เขาทราบ แล้วลุงก็ร้องเพลงไทยให้เขาฟัง จำได้ว่า ได้ร้อง

    เพลง “บัวขาว” เห็นเขาปรบมือกันยกใหญ่  ไม่รู้ว่ามัน

    เพราะจริงหรือจะเอาใจเรากันแน่




    พออาหารมาเสริฟ ต่างคนต่างก็กลับไปกินอาหารของตน

    เองเสร็จแล้ว ก็ต้องขึ้นนอน เพราะไม่มีที่จะไปช็อปปิ้งที่

    ไหน  เพราะเมืองมันเล็กนิดเดียว




    รุ่งขึ้น ก็ขึ้นรถไฟขบวนเล็กกว่ารถไฟธรรมดานิดหน่อย  

    แต่ก็เหมือนรถไฟธรรมดาทุกอย่างวิ่งลัดเลาะตามแนวเขา

    ขึ้นไปยังยอดเขา “มาธาฮอน” ที่มีชื่อที่สุดของสวิสเซอร์

    แลนด์




    จากนั้นก็ถึงเมืองที่เชิงเขาเมืองหนึ่ง มีรถม้า ที่มีม้าตัวโตๆ

    ขามีขนปุกปุยให้คนเช่าขับเล่น ก็มีรถกระเช้านำนักท่อง

    เที่ยวขึ้นไปสู่ภัตตาคารซึ่งอยู่ห่างจากยอดเขา ถ้าเปรียบ

    เหมือนจอหนัง ก็เหมือนมียอดเขาฉายอยู่หน้าจอพอดี




    ลุงก็ไปยืนเก้กังกังคนเดียวอยู่  ดูรูปร่างของภูเขาแล้วก็

    เหมือนที่เขาจำลองเอาไปตั้งไว้ที่ดิสนี่แลนด์ให้คนนั่งรถ

    หมุนขึ้นไปเล่นไต่ลงมาไม่มีผิด




    ก็ตัดสินใจเข้าไปนั่งในภัตตาคาร นัยว่าจะสั่งอาหารเที่ยง

    ของเขามาทานสักหน่อย  นั่งอยู่สักครู่ก็มีบ๋อยเอาเมนูมา

    ให้เลือก ก็เลือกไส้กรอกกับขนมปังเสร็จหันหน้าขึ้นไปมอง

    บ๋อยว่าจะสั่งอาหาร ก็แปลกใจที่รูปร่างผิวพรรณเหมือนคน

    เอเซียเป๊ะก็เอ่ยทักเขาว่า  




    “ยู อาร์ ลุก ไลท์ ไทย”




    เขาตอบมาน้ำเสียงฟังชัดเป็นเป็นภาษาไทยว่า




    “คนไทย ก็ต้อง ลุก ไลท์ ไทย ซิครับ”




    เท่านั้นเอง  เราก็คุยกันอย่างถึงอกถึงใจ เขาชื่ออะไรก็จำ

    ไม่ได้เสียแล้ว  แต่จำนามสกุลได้ว่า นามสกุล…”ชินะผา”  

    ซึ่งเป็นนามสกุลของเจ้าของโรงเรียนเซ้นท์จอนส์ใน

    กรุงเทพ




    เขาบอกให้ลุงฟังว่าตั้งแต่ขึ้นมาทำงานบนภัตตาคารนี่มา

    สองปีแล้ว เพิ่งเจอคนไทยวันนี้นี่เอง  ดีใจมาก อยากกิน

    อะไรให้สั่งเลย เขาจะเลี้ยงเอง  ลุงบอกมีข้าวกินไหม  ยิ่ง

    ได้ข้าวไข่เจียวละพ่อเอ๋ยเป็นบุญไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว

    ละ…………  




    เขาบอกมี เขาหุงข้าวไว้ ประเดี๋ยวทอดไข่เจียวแล้วไปกิน

    ข้าวกันหลังร้านกินตรงนี้ไม่ได้ แคชเชียร์มันจะว่าเอา




    สรุปว่าในการไปทัวร์คราวนั้น ทั้งอร่อย ทั้งอิ่มสดชื่นรื่นอุรา

    เสียจริงๆ แม่เจ้าคุณเอ๋ย




    amorntvm@hotmail.com

    จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ 26 ธ.ค. 50 19:21:14 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom