Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ “เตี่ย”!!! (ภาค 1)

    …..ก่อนที่จะผันชีวิตมาเป็น “เลขาฯ ตัวแสบ!”
    ฉันเริ่มทำงานกับญาติเป็นครั้งแรกตอนอายุประมาณ 15-16 ขวบ
    และทำที่อื่น ๆ อีกหลายแห่งจนอายุ 20 จึงได้เริ่มต้นอาชีพเลขาฯ ตั้งแต่บัดนั้น
    ฉันจะเล่ารายละเอียดการทำงานในช่วงต้น ๆ พร้อม ๆ กับประวัติการทำงานทั้งหมดในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่ง

    ตอนที่ฉันแอบไปสมัครงานใหม่เป็น Junior Secretary ในบริษัทฯ ส่งออกอัญมณี    
    ฉันยังทำงานอยู่กับบริษัท Re-Insurance Broker แห่งหนึ่ง
    ฉันยังจำวันที่ฉันมาสัมภาษณ์กับบริษัทส่งออกอัญมณีแห่งนี้ได้ดี  
    M.D. ที่นี่เป็นชาวจีนสัญชาติอเมริกัน   อายุประมาณ 60 ปี  
    รูปร่างสูงใหญ่ประมาณสัก 190 ซม. เห็นจะได้  ท่าทางภูมิฐานใจดี    
    และเป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษกับนายจ้างท่านนี้  
    ฉันรู้สึกตื่นเต้นมาก!!    
    ระหว่างการสัมภาษณ์ M.D. ก็บอกฉันว่าเขาเป็นเพื่อนกับนายจ้างที่บริษัทประกันที่ฉันทำอยู่  
    Oops!! จุดใต้ตำตอซะแล้วซิเรา!  
    และบอกว่าหากฉันสนใจงานที่นี่และพร้อมจะทำงานกับเขาและถ้าฉันไม่ขัดข้อง  
    เขาก็จะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนซึ่งเป็นนายจ้างปัจจุบันของฉันเพื่อแจ้งเรื่องที่ฉันมาสมัครงาน    
    และขออนุญาตรับฉันเข้าทำงานด้วย    
    ฉันตอบตกลงและเขาก็โทรศัพท์หานายจ้างของฉันต่อหน้าฉัน    
    แต่คุยกันเป็นภาษาจีนกลางซึ่งฉันฟังได้เล็กน้อย  
    จากนั้น M.D. ก็แจ้งกับฉันว่าได้คุยกับนายจ้างของฉัน
    ซึ่งไม่ขัดข้องที่จะให้ฉันลาออกมาทำงานที่นี่ได้
    จากนั้นจึงตกลงเรื่องเงินเดือนและขอให้ฉันมาเริ่มทำงานภายในสัปดาห์หน้าได้ไหม
    ฉันตอบว่าไม่ได้หรอกเพราะฉันคงต้องกลับไปยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ
    และให้เวลาบริษัทในการหาคนใหม่มาแทนฉันด้วยซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน
    เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วฉันก็ลากลับ

    ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเรียนวิชาการเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ หรือ Business Correspondence
    กับครูชาวมาเลเซียซึ่งสอนให้เขียนจดหมายขอบคุณทุกครั้งหลังการสัมภาษณ์    
    ฉันก็ได้นำความรู้ที่ครูสอนมาใช้อีกครั้งหนึ่งในวันนั้น  
    ถึงแม้ว่านายจ้างใหม่จะตอบรับฉันเข้าร่วมงานตั้งแต่วันแรกที่สัมภาษณ์    
    ซึ่งฉันก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเขียนอะไรเพื่อเรียกคะแนนเพิ่ม  
    แต่ฉันก็ยังอยากจะเขียน    
    โดยเนื้อหาในจดหมายฉันได้เขียนถึงความประทับใจที่ได้พูดคุยกับนายจ้างใหม่  
    ขอบคุณสำหรับโอกาสในการเข้าสัมภาษณ์  
    และโอกาสที่ให้ฉันเข้าทำงานในบริษัท  
    พร้อมกับให้คำมั่นว่าฉันจะรีบสะสางงานที่บริษัทเดิมให้เรียบร้อยเพื่อไปเริ่มงานตามนัดหมาย
    เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รับจดหมายตอบจากนายจ้างคนใหม่    
    โดยข้อความในจดหมายกล่าวว่ายินดีที่ได้ฉันเข้ามาร่วมงานกับบริษัท  
    ซึ่งจากการพูดคุยและการแสดงออกของฉัน  
    เขามั่นใจว่าฉันเป็นคนดีและฉันจะต้องประสบความสำเร็จและมีอนาคตที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย    

    WoW! นี่ขนาดยังไม่ได้เริ่มงานนายจ้างคนใหม่ของฉันยังใช้คำพูดที่ทำให้ฉันปลื้มมาจนถึงทุกวันนี้    
    แต่คุณรู้ไหมว่านายคนนี้เป็นผู้ที่ฉันมีความผูกพันธ์ทางด้านจิตใจ
    จากสิ่งที่ฉันได้ถูกอบรมบ่มสอนซึ่งส่งผลต่อวิถีการดำเนินชีวิตของฉันจากวันนั้นจนถึงวันนี้มากที่สุด
    นายท่านนี้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมสูงส่งมีจริยธรรมและความสุขุมรอบคอบในการทำธุรกิจอย่างน่ายกย่อง  
    ท่านใช้หลักการบริหารบุคลากรและปกครองพนักงานเหมือนพ่อปกครองลูก    
    พนักงานทุกคนในบริษัทจะเรียกท่านว่า “เตี่ย”

    ช่วงที่ฉันเข้าไปทำงานกับเตี่ยใหม่ ๆ เทคโนโลยี่ต่าง ๆ ยังไม่ทันสมัยเหมือนตอนนี้
    การจ่ายเงินเดือนไม่ได้ผ่านธนาคารแต่ใส่ซองเป็นเงินสดแทน  
    และทุก ๆ สิ้นเดือนในวันจ่ายเงินเดือนเตี่ยจะจัดให้มีการประชุมพนักงานซึ่งขณะนั้นมีประมาณ 50-60 คน  
    เตี่ยจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมงพูดคุยให้ความรู้และพูดถึงปัญหางานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา
    และเล่าเรื่องประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เตี่ยพบเจอให้พวกเราฟังพร้อมกับจบลงด้วยการแจกซองเงินเดือน    
    ฟังดูแปลก ๆ นะแต่พวกเราก็ชินและรู้สึกดีเพราะในวินาทีที่เตี่ยยื่นซองเงินเดือนให้พนักงานนั้น
    เตี่ยยื่นซองเงินเดือนให้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างมีความสุขด้วยการแสดงออกที่เหมือนกับจะบอกว่า
    นี่คือรางวัลสำหรับความทุ่มเทและความขยันหมั่นเพียรในการทำงานด้วยความเหนื่อยยากของพวกเราทุกคน
    เป็นภาพที่น่าประทับใจและยังอยู่ในความทรงจำของฉันมิรู้ลืม!

    นอกจากวันออกเงินเดือนแล้ว   ทุก ๆ วันเสาร์ซึ่งพนักงานต้องทำงานครึ่งวันเช้า  
    เตี่ยก็จะเรียกประชุมเพื่อพบปะพูดคุยกับพนักงานทุกเสาร์ด้วยเช่นกัน  
    การบริหารในลักษณะนี้ทำให้พนักงานเกิดความใกล้ชิดกับนายจ้าง  
    เกิดความรู้สึกจงรักภักดี   เกิดทีมงานที่แข็งแกร่ง   และรักองค์กร  
    ทำให้อัตราการลาออกน้อยมาก   และที่สำคัญที่เป็นประโยชน์กับเหล่าพนักงานเช่นฉันก็คือเตี่ยจะพูดเป็นภาษาอังกฤษ  
    เพราะถึงแม้เตี่ยจะอยู่เมืองไทยมานานนับ 20 ปีแต่เนื่องด้วยลูกค้าเป็นชาวต่างชาติ  
    และพนักงานที่คัดเลือกเข้ามาทำงานในบริษัทจำเป็นต้องมีความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษในระดับหนึ่ง    
    จึงน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่เตี่ยไม่มีโอกาสได้ฝึกพูดภาษาไทยเหมือนภรรยาและลูก ๆ ของเตี่ย
    ที่พูดภาษาไทยได้คล่องแคล่วกันทุกคน    
    ผลพลอยได้ที่ได้รับก็คือพวกเราต่างได้ซึมซับและทำให้หูกระดิกสามารถเข้าใจภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องไปเรียนพิเศษให้เสียตังค์    
    แถมพนักงานคนใดของเตี่ยถ้าไปสมัครงานกับคู่แข่งก็จะไม่ผิดหวัง  
    เพราะจะได้รับการพิจารณาก่อนเพื่อนด้วยเงินเดือนค่าตอบแทนที่สูงขึ้น  
    เพราะใครที่มาจากเตี่ยจะได้รับการการันตีเรื่องคุณภาพอย่างอัตโนมัติด้วยมั่นใจว่า
    บริษัทเตี่ยเปรียบเหมือนสถาบันฝึกอบรมพนักงานที่ดีเยี่ยมแห่งวงการเลยทีเดียว

    นอกจากคุณธรรมในการปกครองคนและจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจที่ฉันได้เรียนรู้และซึมซับจากเตี่ยแล้ว  
    ผลพลอยได้โดยตรงสำหรับฉันที่ได้เรียนรู้จากเตี่ยนอกเหนือจากการพูดและฟังภาษาอังกฤษ
    โดยไม่ต้องเข้าไปเรียนในสถาบันการศึกษาให้เสียเวลาและเสียเงินแล้วก็คือ  
    การเขียนภาษาอังกฤษ  เพราะเตี่ยไม่ได้ใช้ Computer เองเหมือนผู้บริหารทั่ว ๆ ไป    
    ดังนั้นจดหมายทุกฉบับ   รวมทั้งการทำบันทึกต่าง ๆ ทั้งถึงลูกค้า  
    ส่วนราชการทั้งภายในและภายนอกประเทศ   รวมถึงผู้บริหารภายในองค์กร  
    ทั้งเรื่องที่เป็นทางการและเรื่องลับเฉพาะส่วนตัว    
    เตี่ยจะบอกเล่า (Dictation) โดยฉันจะ take short hand หรือจดเป็นชวเลข
    แล้วพิมพ์ร่างให้เตี่ยพิจารณาก่อนส่งออกไปทุกครั้งเสมอ      
    บางครั้งฉันต้องมานั่งจดแผนธุรกิจที่เตี่ยต้องส่งให้หุ้นส่วนหรือส่วนราชการในต่างประเทศพิจารณา  
    ฉันได้เรียนรู้ทั้งภาษาและเนื้อหาในสิ่งที่เตี่ยต้องการสื่อสารในหลากหลายรูปแบบ    
    และผลพลอยได้ที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือวิธีคิด  และความเข้าใจคนและวิธีการสื่อสารกับคน  
    การอ่อนน้อมถ่อมตน  การให้เกียรติและเห็นคุณค่าของคนทุกระดับชั้น    
    ฉันเรียนรู้จากเตี่ยเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในหลาย ๆ แง่มุม    
    ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้จากเตี่ยได้หล่อหลอมให้ฉันเป็นฉันในวันนี้    
    เตี่ยให้อนาคตที่ดีแก่ฉัน…เตี่ยเปรียบเหมือนพ่อคนที่ 2 ของฉัน
    และเตี่ยยังได้ทำหน้าที่แทนคุณพ่อของฉันในหลายโอกาสซึ่งฉันจะได้กล่าวถึงต่อไป  
    นอกจากนั้นเตี่ยได้กรุณาเป็นเจ้าภาพงานศพบุคคลอันเป็นที่รักของฉันถึง 3 โอกาสด้วยกัน  

    อีกการกระทำหนึ่งที่เตี่ยสามารถซื้อใจฉันและพนักงานทุกคนให้รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากจนเกิดความจงรักภักดีกับบริษัทก็คือ  
    ทุก ๆ วันเกิดของเตี่ยพวกเรามักจะได้รับของขวัญจากเตี่ยติดไม้ติดมือกลับบ้านเสมอ  
    อย่างเช่นในปีที่เตี่ยอายุครบ 60 ปีเตี่ยก็จะให้พนักงานที่มีคุณพ่อคุณแม่อายุ 60 ปีขึ้นไป
    รับซองบรรจุเงินกลับบ้านเพื่อมอบให้กับคุณพ่อคุณแม่เพื่อความเป็นศิริมงคล
    และมีอยู่ปีหนึ่งในวันเกิดเตี่ยเช่นกันคุณแม่ของฉันได้รับรางวัลจากเตี่ยในฐานะ “คุณแม่ดีเด่น”    
    ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากวันหนึ่งฉันและเพื่อนร่วมงานหลายคนได้ติดตามเตี่ยพาลูกค้าไป entertain โดยการไป dinner ด้วยกัน
    ขากลับบ้านเตี่ยให้คนขับรถไปส่งฉันที่บ้านก่อนโดยมีเตี่ยนั่งไปด้วยทั้งที่จากร้านอาหารไปบ้านเตี่ยใกล้กว่า

    คืนนั้นฝนตกพรำ ๆ และฉันไม่สามารถติดต่อทางบ้านได้ว่าจะกลับถึงบ้านกี่ทุ่ม
    ในขณะที่รถของเตี่ยกำลังจะเลี้ยวเข้าหมู่บ้านที่ฉันอาศัยอยู่
    สิ่งที่เตี่ยและฉันพบหน้าทางเข้าหมู่บ้านก็คือภาพที่คุณแม่ของฉันกำลังถือร่มกันฝนพร้อมกับน้องสาวอีกคนหนึ่ง
    ยืนคอยการกลับบ้านของฉัน…นานนับชั่วโมง!
    เป็นภาพที่แสดงถึงความรักความห่วงใยของแม่ที่มีต่อลูกถึงแม้จะโตจนทำงานและดูแลตัวเองได้แล้ว
    (ขอ break ไปหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาก่อนนะ!)
    เป็นภาพที่เตี่ยคงมองว่าเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยลงในปัจจุบัน….
    มีอีกโอกาสหนึ่งเป็นช่วงที่คุณแม่ของฉันป่วยอยู่โรงพยาบาล   เตี่ยและคุณแม่ (ภรรยาของเตี่ย)  
    ได้กรุณาให้เกียรติไปเยี่ยมคุณแม่ของฉันถึงโรงพยาบาลทั้งที่ตอนนั้นฉันได้เนรคุณเตี่ยด้วยการทิ้งเตี่ยไปทำงานที่อื่นแล้ว!!!  



    เนื่องจากอัญมณีเป็นธุรกิจส่งออกที่ลูกค้าจะเป็นชาวต่างประเทศทั้งหมด    
    ฉันจึงมีโอกาสติดตามเตี่ยและพนักงานขายเจ้าของบัญชีลูกค้าพาลูกค้าไปรับประทานอาหารบ่อย ๆ  
    มีลูกค้ารายหนึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นซึ่งภายหลังกลายเป็นเพื่อนและเหมือนญาติสนิทของเตี่ย    
    ฉันก็พลอยเป็นที่โปรดปรานของลูกค้ารายนี้ซึ่งฉันเรียกว่า “Uncle”  
    Uncle มีอายุรุ่นราวเดียวกับเตี่ย    และจะต้องเดินทางมาซื้ออัญมณีที่บริษัทปีละหลาย ๆ ครั้ง    
    และทุกครั้ง Uncle จะซื้อเสื้อผ้าสไตล์สาวญี่ปุ่นเป็นโหลมาแจกสาว ๆ ในที่ทำงานรวมทั้งตัวฉันด้วยเสมอ
    หลังเลิกงานเตี่ยและ Uncle มักจะให้ฉันและพนักงานขายที่ดูแล Uncle ติดตามไปรับประทานอาหารเย็นด้วยเสมอ
    และจากนั้นเตี่ยก็จะปล่อยให้ Uncle แยกตัวไปเที่ยวสำมะเลเทเมาต่อตามประสาผู้ชายกับสาว ๆ ในผับแถวพัฒน์พงศ์เอง.....


    พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ   พลุ

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 26 ธ.ค. 50 20:09:48 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom