ความคิดเห็นที่ 1
เนื่องจาก Uncle พูดภาษาอังกฤษได้คล่องฉันจึงไม่มีปัญหาที่ต้องสื่อสารเป็นภาษาญี่ปุ่นกับ Uncle แต่เพื่อเป็นการประจบสอพลอกับ Uncle ฉันได้พยายามเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นที่จำเป็นบางคำ มาใช้พูดสื่อสารเป็นที่ถูกอกถูกใจของ Uncle เป็นอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นที่โปรดปรานของ Uncle ฉันก็รู้ว่าบ่อยครั้งที่ Uncle ไม่ค่อยปลื้มฉันสักเท่าไร เพราะ Uncle คนนี้เองที่เป็นผู้ที่ตั้งฉายาของฉันต่อเตี่ยและเพื่อนร่วมงานว่าเป็น Stone Head! แปลเป็นไทยว่า หัวหิน? Oops! ไม่ใช่ จริง ๆ แล้ว Uncle ต้องการจะสื่อว่าฉันเป็นคน หัวดื้อ ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่า Uncle พิจารณาจากอะไร ฉันลองมาคิดทบทวนดูแล้วก็เป็นไปได้ว่า ฉันไม่ค่อยเชื่อฟัง หรือรับฟังความคิดเห็น หรือทำตามในสิ่งที่ Uncle หรือกระทั่งเตี่ย หรือใคร ๆ ก็ตามต้องการ แต่สำหรับตัวเอง
ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเอง หัวดื้อ สักหน่อย แต่ฉันคิดว่าเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถทำให้ฉันเห็นด้วยหรือคล้อยตาม ในสิ่งที่เขาเหล่านั้นต้องการต่างหากฉันจึงไม่ได้ทำตาม แล้วอย่างนี้จะมาหาว่าฉัน หัวหิน เอ๊ย
. หัวดื้อ ได้ไง? แต่รู้ไหมว่า Uncle ผู้นี้เป็นอีกท่านหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ซึ่งฉันจะเล่ารายละเอียดในตอนต่อไป
ปกติเตี่ยมักจะต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครั้ง ๆ ละเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งเป็นเหตุให้ฉันว่างจนสมองเกือบโดนสนิมเกาะกิน ทำให้สาวไฟแรงสูง
เอ๊ย
สาวทำงานที่ต้องการงานที่ท้าทายตลอดเวลาอย่างฉันเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย และต้องยื่นใบลาออกหลายครั้งแต่ก็ถูกเตี่ยปฏิเสธทุกครั้ง ครั้งหนึ่งฉันบอกเหตุผลเตี่ยว่าฉันอยากไปหางานทำที่ต่างประเทศ เตี่ยบอกถ้าฉันอยากไปต่างประเทศจริง ๆ เตี่ยก็จะให้ฉันไปดูงานกับบริษัทที่เตี่ยมีหุ้นส่วนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น หุ้นส่วนเตี่ยเป็นอเมริกันเกิดในญี่ปุ่นและทำธุรกิจ Computer software โดยการรับเขียน program ต่าง ๆ เตี่ยให้ฉันไปดูงานโดยไม่มีกำหนดจนกว่าฉันจะเบื่อและให้ฉันไปพักกับญาติของ Uncle ซึ่งสามีเพิ่งเสียชีวิตไปไม่นาน ฉันตั้งเป้าว่าจะไปอยู่สัก 3 เดือนเป็นอย่างน้อยเพราะฉันมีที่พักฟรี ส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เตี่ยอนุญาตให้สามารถเบิกได้ตามจริงทั้งหมด (สงสัยต้องการจะทดสอบและวัดใจฉัน) บ้านพักของญาติ uncle อยู่ไม่ห่างจากที่ทำงานของหุ้นส่วนเตี่ยและฉันสามารถขี่จักรยานไปได้ ทุกเช้าฉันจึงขี่จักรยานไปที่ทำงานนั่งดูพวกเขาทำงานในบรรยากาศแบบญี่ปุ่นผสมฝรั่งเพราะหุ้นส่วนของเตี่ยหน้าฝรั่งแต่พูดญี่ปุ่น ที่นี่เป็นบริษัทเล็ก ๆ ที่มีพนักงานไม่ถึง 10 คน ส่วนใหญ่ฉันจะไปนั่งดูและเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ที่เหล่าพนักงานสร้างกันขึ้นมา ตอนนั้นฉันได้รู้จักกับพนักงานสาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีจาก USA และได้ทราบข้อมูลมาว่าเธอได้รับเงินเดือน ๆ ละ 120,000 Yen คิดเป็นเงินไทยน่าจะประมาณ 40,000 บาท ? โห
สูงมากสำหรับคนเพิ่งจบใหม่เมื่อเทียบกับบ้านเรา แต่อย่าไปอิจฉาเขาเลยเพราะค่าครองชีพของเขาสูงมากกกกก
ไปอยู่ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ก็มีเพื่อนอีกคนจากบริษัทที่เตี่ยส่งมาเยี่ยมลูกค้าซึ่งรวมทั้ง Uncle ด้วย Uncle พาเราไปเที่ยวตามที่ต่าง ๆ พอถึงเวลาอาหาร Uncle ภูมิใจเสนอต้นตำหรับอาหารญี่ปุ่นจากร้านหรูราคาแพง ชิมปลาดิบได้ชิ้นเดียวฉันก็ อ๊วก ต่อหน้า Uncle ให้เห็นเป็นที่เสียอารมณ์แก่ Uncle เป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้! จากนั้นได้พยายามฝึกกินเจ้าปลาดิบและข้าวปั้นหน้า Sushi ต่าง ๆ จนเดี๋ยวนี้ break อาการอยากด้วยอะไรก็ไม่อยู่
ช่วงที่เพื่อนจากเมืองไทยมาอยู่เป็นเพื่อนและพักกับญาติของ Uncle เช่นกันนั้น มีอยู่คืนหนึ่งฉันเกือบช๊อกตายและนอนไม่หลับเกือบทั้งคืน เพราะห้องนอนของชาวญี่ปุ่นจะไม่มีกลอนประตู แถมประตูยังบอบบางเป็นกระดาษในกรอบไม้สี่เหลี่ยมที่แค่เอาใบมีดมากรีดก็ทะลุแล้ว คืนนั้นฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีเสียงดังกร๊อกแกร๊กบนพื้นในห้องที่ฉันนอนอยู่และเตียงก็โยกเยกให้รู้สึก เปล่า
ฉันไม่คิดว่าจะมีใครมาทำมิดีมิร้ายกับฉันหรอก เพราะญาติ uncle เป็นหญิงม่ายและพักกับลูกสาววัย 4-5 ขวบอีกคนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ฉันต้องกลัวจนหัวโกร๋นเพราะว่าสามีของเธอที่เพิ่งเสียชีวิตไม่กี่เดือนก็เป็นลูกค้าของบริษัทที่ฉันก็รู้จักซะด้วย ฉันคิดว่างานนี้ฉันคงโดนผีญี่ปุ่นเล่นงานซะแล้ว!!! สงสัยมาเผลองีบหลับไปอีกทีตอนใกล้สว่าง พอตื่นขึ้นมาเจ้าของบ้านเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เธอกล่าวทักทายสวัสดีตอนเช้าเป็นภาษาญี่ปุ่นพร้อมกับถามว่า เมื่อคืนรู้ไหมว่าเกิดแผ่นดินไหว? !!!!!!!
เพื่อนที่บริษัทฯ มาอยู่ได้หนึ่งสัปดาห์ก็ได้เวลากลับ ปล่อยให้ฉันอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวเอกา ที่ฝันหวานว่าจะอยู่ให้หนำใจตามที่เตี่ยไฟเขียวสงสัยจะเป็นหมันซะแล้ว อยู่ได้เดือนเดียวฉันก็เผ่น
เอ๊ย
เดินทางกลับเพราะเริ่มคิดถึงบ้านและเบื่อ ขากลับแวะเที่ยวเกาหลีอีก 3-4 วันและเกิดอาการ อ๊วก อีกระลอก!! อ๊ะ
อ๊ะ
คิดอะไรกันอีกแล้ว
ไม่ได้แพ้ท้อง
ยังไม่ได้แต่งงานจะแพ้ท้องได้งัยล่ะ? สาเหตุเพราะฉันเข้าไปสั่งอาหารเกาหลีในร้านแห่งหนึ่งข้าง ๆ โรงแรม Seoul (something จำไม่ได้แล้ว) ดูรายการอาหารแล้วมึน
แต่ยังไม่ได้เวลาอ๊วก
พอเหลือบไปเห็นรายการหนึ่งที่อ่านว่า Noodle
. เอาล่ะ (วะ) ลองกินก๊วยเตี๋ยวเกาเหลา
เอ๊ย
เกาหลีดูดีกว่า คงจะคล้าย ๆ กับ Ramen ของญี่ปุ่นที่ฉันโปรดปราน พอพนักงานนำชามก๊วยเตี๋ยวมาเสริฟฉันเกิดอาการเหมือนไก่ตาแตก เพราะก๊วยเตี๋ยวที่ว่าเสริฟในชามสแตนเลสใบโต เมื่อพนักงานเสริฟเดินจากไปฉันค่อย ๆ เอานิ้วไปแตะข้างชาม แล้วต้องรีบชักมือกลับทันที! นิ้วของฉันไม่ได้พองเพราะความร้อนของชามหรอก แต่มันเย็นนนนนนนนนนน
..วุ๊ยยยยยยยยยยยยยยย!! ก๊วยเตี๋ยวเย็นใส่น้ำแข็งหรือเนี่ย! ฉันคิดว่าไหน ๆ ก็สั่งมาและต้องเสียเงินแล้วและราคาก็ถูกที่ไหนกัน ฉันก็ลองป้อนตัวเองดู
แล้วก็อ๊วกแตกตรงนั้นเลย!!
พอกลับมาถึงบ้านเกิดก็กลับเข้าไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อด้วยความสำนึกในบุญคุณของเตี่ย ฉันทำงานต่อด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่ได้สักพักหนึ่งก็เกิดอาการเบื่ออีกแล้ว พอดีช่วงนั้นบริษัทฯ กำลังขยายตัวและต้องรับคนงานเข้ามาเจียระนัยพลอยจำนวนหนึ่ง เตี่ยไม่อยากเสีย (คนดี ๆ?) อย่างฉันไปจึงยอมเสกเลขาฯ ให้ไปเป็นผู้จัดการบุคคล และให้ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของลูกชายเตี่ย ในฐานะผู้จัดการบุคคลหน้าที่หนึ่งของฉันคือการสัมภาษณ์และคัดเลือกบุคลากรเข้ามาทำงาน ช่วงหนึ่งฉันต้องสัมภาษณ์พนักงานระดับคนงานสำหรับโรงงานเจียระไนยพลอยของเตี่ย การสัมภาษณ์และการได้เห็นและคลุกคลีกับชีวิตของคนอีกระดับหนึ่งที่ฉันไม่เคยรับรู้มาก่อน ทำให้ฉันได้เห็นสัมผัสถึงชีวิตที่ลำบากแร้นแค้นและแสนรำเค็ญ ในสังคมของเรายังมีชีวิตแบบนี้อยู่ด้วยหรือ? ฉันรู้สึกสงสารจนกลายเป็นความเครียด เครียดที่ฉันไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ เพราะฉันไม่สามารถรับทุกคนเข้ามาทำงานได้ทั้งหมด นอกจากนี้การเป็นผู้จัดการบุคคลเปรียบเสมือนไส้แซนวิชที่ถูกประกบด้วยขนมปัง 2 แผ่น แผ่นบนคือนายจ้างแผ่นล่างคือพนักงาน ผู้จัดการบุคคลต้องรับนโยบายจากขนมปังแผ่นบนเพื่อนำไปปฏิบัติ หากนโยบายดังกล่าวไม่เป็นที่ถูกใจของพนักงานก็จะถูกขนมปังแผ่นล่างอัดกลับ ผู้จัดการบุคคลจึงอยู่ในสภาพของไส้แซนวิชที่ถูกอัดทั้งขึ้นทั้งล่อง ทีนี้คนทำงานรู้กันหรือยังล่ะว่าชีวิตของผู้จัดการบุคคลน่าเห็นใจแค่ไหน? ถ้ายังไม่รู้อีกก็ลองมาเป็นเองดูสักตั้งไหมล่ะ?
อีกปัญหาหนึ่งที่ฉันพบในฐานะผู้จัดการบุคคลก็คือการทำเรื่องให้คนที่มีปัญหาออกจากงาน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ลูกชายเตี่ยเพิ่งเข้ามาบริหารงานและกำลังอยู่ในช่วงร้อนวิชา และได้มีการพยายาม Reorganize องค์กรพร้อมกับการคัดคนที่มีปัญหาและไม่มีคุณภาพออก การทำเรื่องนี้จึงเป็นหน้าที่โดยตรงของฉันและฉันรู้สึกว่าตัวเองใจไม่แข็งพอที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ ตอนนั้นฉันก็มาไกลเกินกว่าที่จะกลับไปทำงานเป็นเลขาฯ ของเตี่ยได้อีกเพราะเตี่ยมีเลขาฯ คนใหม่แล้ว และเหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกเครียดและไม่สบายใจมากก็คือ ฉันไม่ชินกับวิธีการบริหารของลูกเตี่ยที่ฉันรู้สึกว่าไม่ได้ใช้ใจ (พระคุณ) ในการบริหารแบบเตี่ย แต่ใช้อำนาจและความเด็ดขาด (พระเดช) แบบฝรั่งในการบริหาร
ทำได้เพียงปีเศษฉันก็ตัดสินใจลาออกด้วยความรู้สึกที่เศร้าและเสียใจเป็นที่สุด โดยที่ไม่ว่าเตี่ยจะเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ฉุดรั้งฉันไว้ไม่อยู่แล้ว เมื่อลูกเตี่ยถามฉันว่า ฉันลาออกเพราะเขาหรือ ฉันบอกเขาว่าไม่ใช่ แต่กับเตี่ยหรือคุณพ่อของเขา ฉันกลับบอกว่าฉันทำงานร่วมกับเขาไม่ได้ เขาโกรธเคืองฉันมากถึงขนาดชี้หน้าพูดกับฉันก่อนออกว่า คุณ DestinyHurtsMe คุณทำกับผมแบบนี้ ผมจะจำไว้ตลอดชีวิต ฉันยังจำคำพูดของเขาได้ดีจนถึงวันนี้ เพราะเขาโกรธมากที่เตี่ยไปตำหนิเขาว่าเป็นเหตุให้ฉันลาออก
..!!!
จากคุณ :
"เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme)
- [
26 ธ.ค. 50 20:12:23
]
|
|
|