Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน…การปกครองพนักงานแบบพ่อปกครองลูกในสไตล์ของ “เตี่ย”!!! (ภาค 2)

    ……หลังจากได้เนรคุณหนีเตี่ยไปเพราะทำงานเข้ากับลูกชายเตี่ยไม่ได้
    ซึ่งตอนที่ลาออกเงินเดือนของฉันอยู่ที่ประมาณ 11,000.- บาท
    และไปได้ที่ใหม่ในบริษัทตัวแทนขายยาของต่างประเทศ
    เป็นเลขาฯ นายคนไทยด้วยเงินเดือน 15,000.- บาท
    ทำได้สักพักฉันลาออกไปอยู่บริษัทที่เป็นเจ้าแห่งน้ำดำเป็นเลขาฯ นายชาวอังกฤษ
    ซึ่งเป็นคนที่น่ารักและน่าประทับใจที่สุดในบรรดานายฝรั่งที่ฉันเคยทำงานด้วย
    แต่ต้องลาออกเพราะฉันมีความจำเป็นซึ่งตอนลาออกเงินเดือนล่าสุดของฉันอยู่ที่ 33,000.- บาท
    ฉันจะไม่กล่าวถึงรายละเอียดของ 2 บริษัทนี้เนื่องจากทำอยู่ในระยะเวลาสั้น ๆ ที่ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่นสำหรับการนำมาเล่า
    แต่จะนำไปรวบรวมในประวัติการทำงานต่อไปในตอนหลัง
    วัตถุประสงค์ในการกล่าวถึงเรื่องเงินเดือนเนื่องจากฉันได้อ่านพบในกระทู้
    ที่เพื่อน ๆ มักจะถามกันเสมอว่าเงินเดือนเท่านั้นเท่านี้มากหรือน้อยไป
    จึงคิดว่าอาจจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์แต่ฉันขออนุญาต
    ไม่กล่าวถึงตัวเลขเงินเดือนในปัจจุบันเพราะเกรงจะมีผลกระทบ
    หากท่านบังเอิญเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมงานในบริษัทที่ฉันกำลังทำงานอยู่เข้ามาจ๊ะเอ๋พอดี!

    ที่ฉันต้องลาออกจากนายฝรั่งแห่งบริษัทน้ำดำเพราะฉันมีเหตุต้องไปอยู่ต่างประเทศ
    ประเทศที่คนไทยชอบไปขุดทองกัน…..“ซาอุดิอาระเบีย”!
    โดยได้เกิดทั้งเหตุการณ์ตื่นเต้นและระทึกขวัญในระหว่างที่ฉันอยู่ในดินแดนลี้ลับแห่งนี้
    ซึ่งฉันจะได้นำกลับมากล่าวถึงอีกครั้งหนึ่งในตอนท้ายว่าฉันไปทำอะไรและเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง

    และเมื่อครบกำหนดต้องกลับมาเมืองไทยฉันได้วางแผนว่าจะต้องทำงานอีกครั้งหนึ่ง

    ฉันคิดถึงเตี่ยเป็นคนแรก!
    ฉันจึงเขียนจดหมายติดต่อเตี่ยก่อนเดินทางกลับ
    และแจ้งความจำนงค์เกี่ยวกับเรื่องที่ฉันต้องการกลับมาทำงานในเมืองไทย
    พร้อมกับบอกเตี่ยว่าฉันจะไปหางานที่อื่นทำก็ต่อเมื่อ
    เตี่ยไม่มีตำแหน่งงานว่างสำหรับการกลับมาใหม่ของฉัน  
    แต่ถ้าเตี่ยจะกรุณา…ฉันก็พร้อมที่จะเริ่มงานได้ทันทีที่กลับถึงประเทศไทย
    ในท้ายจดหมายฉันได้ระบุเงินเดือนที่ต้องการไว้ที่ 60,000.- บาทต่อเดือน
    ที่จริงฉันไม่ควรเรียกร้องเรื่องเงินเดือนก่อนแต่ฉันก็อยากจะให้เตี่ยได้รับรู้
    ไว้เป็นข้อมูลในการพิจารณาพร้อมกันไปเลยทีเดียว
    เพราะถ้าเตี่ยเห็นว่าเงินเดือนที่ฉันขอไว้สูงเกินไปและถึงแม้จะมีตำแหน่งว่างเตี่ยก็คงจะปฏิเสธฉันไปเลย
    ฉันตั้งเงินเดือนให้กับตัวเองตามคำแนะนำของน้องที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการการจัดหางาน
    โดยไม่ได้คิดเจียมตัวในเรื่องพื้นฐานการศึกษา  ประสบการณ์การทำงานที่ไม่ต่อเนื่องของฉัน
    ประกอบกับตอนนั้นฉันเพิ่งกลับจากต่างประเทศ  
    และมองเห็นแต่ภาพรวมของตลาดแรงงานที่เป็นต่อ  
    โดยไม่ได้มองตัวเองว่ามีคุณสมบัติหรือความสามารถเหมาะสมหรือไม่  
     
    แต่ฉันมักจะโชคดีในเรื่องการทำงานเสมอ….  
    ยกเว้นกรณีบริษัทตัวแทนธนาคารต่างชาติที่ฉันกล่าวถึงในตอนต้น    
    ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สร้างความปวดร้าวใจให้ฉันทุกครั้งที่คิดถึง  
    เพราะหากทุกวันนี้ฉันไม่มีงานปัจจุบันที่บริษัทส่งออกอาหารแช่แข็งให้แก้ตัว  
    คงจะเป็นตราบาปที่สร้างความอับอายให้กับฉันในหมู่เพื่อนฝูงญาติพี่น้อง  
    ว่าฉันเป็นคนที่สิ้นสภาพไร้ความสามารถจนถึงขนาดต้องถูกเลิกจ้างเป็นแน่!
    อ้อ…ไม่ใช่ซิ…ฉันไม่ควรมีความคิดที่บั่นทอนจิตใจของตนเองเช่นนั้น
    ฉันควรคิดว่าในชีวิตการทำงานหรือการทำกิจกรรมใด ๆ ก็ตาม
    ทุกคนมีโอกาสผิดพลาดและล้มได้เสมอแต่ถ้าล้มแล้วก็ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่ให้จงได้

    ณ จุดนี้นี่เองที่ทำให้เงินเดือนของฉันก้าวกระโดดจนกลายเป็นประวัติติดตัวที่ทำให้นายจ้างรายอื่น ๆ ต่อจากนั้น
    ต้องถือเป็นบันทัดฐานในการจ่ายค่าตัวของฉันไปตั้งแต่นั้น
    จนเป็นที่มาของเหตุผลหนึ่งในการตกม้าตายตอนถูกเลิกจ้างโดยนายฝรั่งจากธนาคารตัวแทนต่างชาติในเวลาต่อมา
       
    เมื่อเตี่ยเจอมุขนี้ของฉันที่อยากจะให้โอกาสตัวเองกลับมารับใช้เตี่ยก่อนที่จะไปทำงานให้กับคนอื่นเช่นนี้
    เตี่ยคงมองเห็นถึงความจงรักภักดีตรงนี้จึงตกลงเรียกฉันกลับเข้าไปทำงานอีกครั้งหนึ่ง
    ถึงแม้ในเวลานั้นเตี่ยจะมีเลขาฯ อยู่แล้วก็ตาม
    แต่โชคดีที่ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เตี่ยกำลังใกล้จะเปิดตัวอาคารศูนย์รวมอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยพอดี
    และเตี่ยจำเป็นต้องมีเลขาฯ ที่มีประสบการณ์ประมาณฉันเข้ามาช่วยอีกแรงหนึ่ง
    ตอนที่เตี่ยเรียกฉันเข้าไปคุยเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบ
    เตี่ยบอกให้ฉันเก็บเรื่องเงินเดือนของฉันเป็นความลับ
    เนื่องจากเลขาฯ ปัจจุบันที่ทำงานกับเตี่ยมาหลายปีได้รับเงินเดือนเพียง 30,000-40,000 บาท
    ซึ่งหากเรื่องเงินเดือนของฉันถูกเปิดเผยอาจจะส่งผลกระทบได้
    การที่เตี่ยต้องกำชับฉันมากขนาดนี้เพราะเตี่ยเกรงว่าฉันจะคุยเรื่องนี้กับญาติที่กำลังทำงานกับเตี่ยอยู่ในตอนนั้น
    ซึ่งญาติของฉันคนนั้นก็คือ “พี่ดา” คนที่แนะนำให้ฉันไปเรียน Maxi MBA นั่นเอง
    เธอคนนี้จะมีบทบาทในชีวิตของฉันอย่างมากอีกคนหนึ่งที่ฉันจะกล่าวถึงอีกครั้งในตอนท้าย

    หลังจากได้กลับเข้าไปทำงานแล้วฉันมั่นใจว่าลูกชายของเตี่ยคนที่เคยคาดโทษฉันเอาไว้
    คงหายโกรธฉันและลืมคำพูดของเขาไปแล้ว
    คำพูดที่เคยพูดด้วยความโกรธเคืองในวันที่ฉันลาออกว่า…..
    “คุณ DestinyHurtsMe! คุณทำกับผมแบบนี้   ผมจะจำไว้ตลอดชีวิต!”        
    เพราะหลังจากกลับเข้าไปใหม่ในครั้งนี้เขาได้พูดกับฉันว่า  
    “รู้ไหม… คุณ DestinyHurtsMe?  ผมเป็นคนสนับสนุนคุณพ่อให้รับคุณเข้ามาทำงานเอง”!!!

    เพราะถ้าเรื่องที่หาว่าฉันฟ้องคุณพ่อของเขาว่าเขาเป็นสาเหตุทำให้ฉันต้องลาออกยังคาใจเขาอยู่  
    เขาคงหาทางขัดขวางฉันไม่ให้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทอีกเป็นแน่
    เพราะตอนนั้นเขาเป็น CEO ของอาคารศูนย์รวมอัญมณีที่กำลังจะเปิดแล้ว!  
    ดังนั้นการกลับมาทำงานใหม่ของฉันในครั้งนี้จึงไม่มีปัญหาอะไร    

    ปกติแล้วการลาออกจากที่ทำงานหนึ่งและกลับเข้าไปทำใหม่อีก
    มักจะมีให้พบเห็นกันอยู่บ่อย ๆ โดยไม่ถือเป็นเรื่องแปลกหรือน่าอับอายหรือเสียฟอร์มแต่อย่างไร    
    ทั้งนี้การลาออกในครั้งแรกต้องไม่มีปัญหาที่สร้างความเสียหายหรือร้ายแรง  
    และที่สำคัญต้องยังคงไว้ซึ่งความรู้สึกที่ดี ๆ ต่อกันในองค์กร   เพื่อนร่วมงานและนายจ้าง    
    ในกรณีของฉันถึงแม้จะมีปัญหาเรื่องการทำงานกับลูกของเตี่ยในสมัยแรก    
    แต่ครั้งนั้นเป็นปัญหาในเชิงความคิดที่ฉันไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเขาในหลาย ๆ เรื่อง  
    ประกอบกับฉันไม่ชินกับวิธีการบริหารงานของเขาที่ใช้แต่พระเดช
    แข็งกร้าวและไม่ได้นุ่มนวลหรือใจดีเหมือนกับเตี่ย    
    แต่โดยรวมแล้วเขาก็เป็นคนดีและฉันก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนเก่งและมีความสามารถสูงมากทีเดียว
    จะไม่เก่งได้อย่างไรเพราะตอนนี้เขายังได้เป็นถึงกงศุลกิติมศักดิ์
    ของประเทศเพื่อนบ้านประเทศหนึ่งประจำประเทศไทยเลยทีเดียว

    ที่จริงแล้วเตี่ยโชคดีมากที่ลูก ๆ เป็นคนดีมีความสามารถและน่าเคารพรักทุกคน    
    เตี่ยมีลูกชาย 4 คน   และมีลูกนสาว 2 คน    
    มีบริษัทฯ ในเครือมากมายและลูก ๆ ทุกคนก็ช่วยกันบริหารกิจการต่าง ๆ
    ด้วยความสามัคคีปรองดองกันและอยู่ในโอวาทเตี่ยด้วยกันทุกคน

    ช่วงที่ฉันทำงานกับเตี่ยในสมัยแรกนั้นเป็นช่วงที่บริษัทฯ ของเตี่ยยังเป็นบริษัทฯ เล็ก ๆ มีพนักงานไม่ถึงร้อย    
    ทั้งนี้ไม่รวมคนงานของบริษัทในเครือที่มีเป็นหลักพันและบริหารงานโดยลูกเตี่ย    
    ตอนนั้นเตี่ยไม่ได้ออกสังคมหรือเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
    เพราะเตี่ยเป็นคนที่ทำตัวแบบที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า  Keep Low Profile!

    แต่สมัยที่ 2 ที่ฉันกลับมาทำงานกับเตี่ยอีกครั้งเป็นช่วงที่เตี่ย
    เปลี๊ยนไป๋!
    เพราะเตี่ยได้ร่วมลงทุนกับหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการต่าง ๆ ในเมืองไทย
    (ซึ่งถ้าเอ่ยชื่อทุกท่านต้องร้องอ๋อกันเป็นแถว)  
    โดยการสร้างอาคารศูนย์รวมแห่งอัญมณีที่ใหญ่และสูงที่สุดในเมืองไทย    
    และด้วยความที่มีทีมงานระดับมืออาชีพเข้ามาร่วมงานด้วยจำนวนมาก  
    สังคมของเตี่ยและวิถีการดำเนินชีวิตทุกอย่างของเตี่ยได้เปลี่ยนไป  
    เราได้เปลี่ยนสรรพนามที่เคยเรียก “เตี่ย” มาเป็น “ท่านประธานฯ”
    เพราะเตี่ยต้องเข้าสังคมกับเหล่าไฮโซมากขึ้นและต้องทำตัว High Profile เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ    
    โดยการพบปะและเจรจาธุรกิจและโครงการต่าง ๆ กับนักธุรกิจรวมทั้งนักการเมืองในวงการต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก
    โดยเฉพาะชาวต่างชาติและบรรดาทูตานุทูตจากนานาประเทศ    
    ทั้งนี้เนื่องจากเตี่ยต้องการประชาสัมพันธ์อาคารแห่งนี้ให้เป็นศูนย์กลางของธุรกิจอัญมณีในภาคพื้นเอเชียและระดับโลก    
    ประสบการณ์ที่เคยไปอยู่ต่างประเทศของฉันมาก่อนจึงเหมาะเจาะและเตี่ยก็ให้ฉันเป็นเลขาฯ หรือผู้ช่วยส่วนตัวในส่วนของธุรกิจที่นี่    
    แยกคนละบริษัทฯ กับเลขาฯ คนปัจจุบันของเตี่ย (เหมือนกับฉันและ Cathy ที่กล่าวถึงมาแล้ว)    

    ตอนที่ฉันกลับเข้ามาใหม่อาคารดังกล่าวได้ก่อสร้างเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้วขาดแต่การตกแต่งภายในเล็กน้อย  
    วันหนึ่งขณะที่เดินตามเตี่ยเป็นปกติเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของพื้นที่ทั้งหมดในอาคาร
    เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพิธีเปิดใหญ่โดย ฯพณฯ พลเอกเปรม  ตินสูลานนท์    
    ฉันเดินตามเตี่ยพร้อมสมุดและปากกาคอยจดคำสั่งต่าง ๆ    
    มีตอนหนึ่งที่ฉันคงเผลอทำตัวอวดรู้แสดงความคิดเห็นกับเตี่ย
    (แฮ่ะ แฮ่ะ ต้องขออภัยที่จำความคิดเห็นโง่ ๆ ของตัวเองในตอนนั้นไม่ได้แล้วจริง ๆ)    
    ได้ฟังจบเตี่ยหันมาพูดกึ่งยิ้มกึ่งตำหนิพลางส่ายหน้าว่า “STUPID!”  
    แล้วเตี่ยก็หันกลับไปเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  
    ในขณะที่ฉันรู้สึกหน้าชา  อับอาย และเสียใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่    
    แต่เตี่ยก็ยังคงเดินหน้าสำรวจต่อไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าไม่มีฉันเดินตามไปด้วย…
    เพราะฉันเดินหลบเตี่ยกลับเข้า office เก็บกระเป๋าบึ่งรถกลับบ้านไปนอนร้องไห้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว!



    ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว   ชนแก้ว

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 28 ธ.ค. 50 16:53:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom