Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี” ตอนที่ 23 ดีทรอยต์ เมืองแห่งอันตราย

    “จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี”  ตอนที่ 23  ดีทรอยต์ เมืองแห่งอันตราย



    ก็อยู่เมืองนิวยอร์คเสียสองสามวัน  เพื่อนสามีภรรยา  เขา

    ก็พาทัวร์ไปที่โน่นที่นี่  ไอ้เราไปใหม่ๆ ก็จำไม่ได้หรอก  

    เพราะมัวตื่นเต้นกับความยิ่งใหญ่ของอเมริกา




    เท่าที่จำได้  ก็ได้ไปขึ้นตึกเอมไพสเตจน์   เห็นตึกเวิอล์-

    เทรดเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ แต่ไม่ได้ขึ้นไป  เพราะคนแห่ขึ้น

    ไปชมกันมาก ขี้เกียจรอคิว……ตอนนี้ก็ไม่ต้องรอแล้ว  

    เพราะบิน ลาเด็น   พ่อจัดการเสียเรียบร้อยแล้ว  เพียงแต่

    รอดูว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงตึกใหม่ที่เขาจะสร้างขึ้นแทนที่หรือ

    เปล่าเท่านั้น




    ไปเที่ยวอยู่สองสามวัน ก็ไม่รู้จะไปไหน เพราะมันหนาว

    เหลือเกิน  อยู่อังกฤษนับว่าอากาศเย็นแล้ว  มาถึง

    นิวยอร์ค อากาศกลับเย็นยิ่งกว่า  มิน่าเล่าพวกไอ้กันไม่ว่า

    เด็กเล็กหญิงชาย  เวลาเดินก็จ้ำอ้าวๆ ยังกะหนีควายที่

    ไหน  ถ้าเดินเอื่อยเฉื่อยอย่างบ้านเรา ก็มีสิทธ์แข็งตาย  




    แต่ไปคราวนั้น ก็เห็นความประหลาดของเมืองอเมริกันอยู่

    อย่างหนึ่งซึ่งแตกต่างกับเมืองลอนดอนของอังกฤษโดยสิ้น

    เชิง คือความสกปรกของรถไฟฟ้าใต้ดินของอเมริกา  ของ

    อังกฤษงี้ใหม่เอี่ยม  เพราะเขาล้างถูทุกวัน  ส่วนรถไฟฟ้าที่

    เมืองนิวยอร์ค  เห็นแล้วไม่น่าขึ้น แค่เห็นภายนอกก็สกปรก

    รุงรังด้วยข้อเขียน และสี่ที่พ่นไปด้วยความคึกคะนองของ

    วัยรุ่นและไอ้มืดชาวอเมริกัน  




    ยังนึกว่า  เมืองนิวยอร์คนี่น่าจะเป็นอดีตเมืองขึ้นของนัก

    เรียนมือซนของเมืองไทยมาก่อน จึงเหลือฝากวัฒนธรรม

    ขีดเขียน  พ่นสีข้างตู้รถไฟเสียกระจุยกระจายพร้อมคำ

    หยาบโลนที่สรรหามาสุดฝีมือ




    จากนิวยอร์คก็ลาเพื่อนๆ ไปเยี่ยม สำนักงานใหญ่ที่เมืองดี

    ทรอยต์
    อยู่สามสี่วัน   ที่เมืองดีทรอยต์นี้นัยว่าเป็นเมือง

    อุตสาหกรรมใหญ่ทางด้านรถยนต์ของอเมริกา  ลุงก็นึก

    วาดภาพว่า  คงมีรถวิ่งกันขวักไขว่




    รถคงติดกันมโหฬาร  ที่ไหนได้  พอไปเห็นเมืองจริงๆ ก็

    เป็นเมืองเล็กนิดเดียว (ลุงอาจจะไม่ได้ไปเห็นเมือง

    อุตสาหกรรมรถยนต์จริงๆ เขาก็ได้)




    สำนักงานใหญ่เบอร์โร่ส์ก็เล็กนิดเดียว  เป็นตึกชั้นเดียว  

    แต่กินบริเวณกว้าง  มีสนามเฮลิคอปเตอร์ของท่าน

    ประธาน  มร.บลูเมนเทิล
    อยู่ริมสนามหญ้าหน้าตึก




    ลุงได้ไปพักที่โรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งแขกของโรงแรม

    ส่วนมากก็เป็นแขกของเบอร์โร่ส์  เจอชาวญี่ปุ่น  ชาว

    อินเดีย ชาวยุโรป ที่ไปดูงานที่นั่นกันมากมาย




    ตอนเช้า มร.เรทตร้าก็มารับ  ทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็

    ออกไปเยี่ยมออฟฟิตที่เบอร์โร่ส์กัน  เขาก็ต้อนรับกันเป็น

    อย่างดี  ได้เข้าไปจับมือกับ มร.บลูเมนเทิล ประธานของ

    เบอร์โร่ส์
     ถ่ายรูปออกมาแล้ว ดูน่าขำพิลึก  เราตัวเล็กนิด

    เดียวยังกะคนแคระ  ไปยืนเคียงข้างกับฝรั่ง  ตัวโต  สูงยัง

    กับยักษ์วัดแจ้ง  มันไม่สมส่วนกันเลยพับผ่าซิ




    เจอชาวญี่ปุ่นในโรงแรม  ก็อยากเห็นสำนักงานของทาคาชิ

    โฮ่ เบอร์โร่ส์ที่เขาบอกว่าสร้างขึ้นเพื่อสำหรับลูกค้าชาว

    อาทิตย์อุทัยโดยเฉพาะ  




    มร.เรทตร้าก็พาไปดู  ปรากฏว่าเป็นตึกเล็กๆ สองชั้น  ภาย

    ในตึกมีห้องรับแขก  ห้องทานน้ำชา  ทานอาหารเที่ยง  

    อาหารเย็นแบบญี่ปุ่นหมด  มีภาพโปสเตอร์ประวัติของเบอร์

    โร่ส์ในประเทศญี่ปุ่น และความสำพันธ์ระหว่างสำนักงาน

    ใหญ่ของเบอร์โร่ส์ กับทาคาซิโฮ่ ในเมืองญี่ปุ่น  มีห้องพรี

    เซนเทชั่น พร้อมอุปกรณ์ทันสมัยครบครัน




    มีสาวชาวญี่ปุ่นในชุดกิโมโนคอยยืนต้อนรับ และอธิบายสิ่ง

    ต่างๆ….เป็นภาษาญี่ปุ่น   น่าประทับใจมาก……ตั้งใจไว้ว่า  

    ถ้ายังไม่ตายเสียก่อน  จะทำเครื่องคอมพิวเตอร์เบอร์โร่ส์

    ให้ดังระเบิดในเมืองไทย  




    บางทีอาจจะได้ไปสร้างตึกต้อนรับลูกค้าคนไทยที่เมืองดี

    ทรอยต์เหมือนญี่ปุ่นเขาบ้าง……..ก็ฝันไปตามประสาเด็ก

    หนุ่มที่ยังมีไฟแรงสุดๆ ในขณะนั้น




    กลางคืน ไม่ได้ไปไหนเลย  จะให้เจ้าเรทตร้าพาเที่ยวทุก

    คืนก็เกรงใจเขา  เขาพาไปกินข้าวในผับเล็กๆ แห่งหนึ่งครั้ง

    เดียว  นอกจากนั้นยังสั่งไว้ด้วยว่า  หลังจากห้าโมงเย็น

    แล้ว  ให้กลับถึงโรงแรม แล้วกินข้าวในโรงแรม  อย่าออก

    ไปไหน  เพราะในเมืองนี้อันตรายมาก มีทั้งอันธพาลฉกชิง

    วิ่งราว  ไอ้มืดเมาเหล้า  ออกทำร้ายผู้คนอยู่เป็นนิจ

    ชาวบ้านของอเมริกาเขาก็อยู่กันแต่ในบ้านในเวลากลาง

    คืน  ไม่มีใครออกไปไหน




    ลุงเลยนอนอ่านหนังสืออยู่ที่โรงแรมหลังจากทานอาหาร

    เย็นแล้ว  ไม่ได้ออกไปไหนเลย  พลางนึกว่า  

    เมืองอเมริกานี่ทำไมมันสลับซับซ้อนอย่างนี้วะ   เป็นเมือง

    อุตสาหกรรมทั้งที  น่าจะมีที่เที่ยว  ชมเมือง  ชม

    อุตสาหกรรมให้ชื่นใจ




    นี่เขาบอกให้เก็บตัวอยู่แต่ในโรงแรม….แล้วนี่อดีตนายก

    ทักษิณจะทำเมืองไทยให้เป็นดีทรอยต์แห่งเอเซีย  ก็ขอ

    อย่าให้เอาสิ่งเลวร้ายของเขาเข้ามาด้วยเลย  หรือไม่ก็ต้อง

    คิดกันให้ดี  เป็นเมืองดีทรอยต์แห่งเอเซียแต่มีโจรเต็ม

    เมือง อย่างนั้นมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน    คุณเห็นด้วยกับลุง

    ไหม




    ตอนอยู่ที่ดีทรอยต์ ก็ได้รับรายงานข่าวจากเมืองไทยว่า

    ธนาคารกสิกรไทย ได้ลงนามในสัญญาซื้อเครื่อง

    คอมพิวเตอร์อย่างเป็นทางการแล้ว……




    แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น คือเบอร์โร่ส์เกิดไปลง

    ข่าวผิดพลาดในกิจกรรมของธนาคารว่ามียอดเงินฝากหรือ

    เป็นธนาคารอันดับที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้  ทำให้คุณบัญชา

    ประธานกรรมการของธนาคารขุ่นเคืองใจมาก  




    เลยต้องขอโทษขอโพยกันยกใหญ่  เรื่องเล็กๆ อย่างนี้  

    ถ้าไม่รอบคอบก็เป็นอันตรายได้เหมือนกัน  แต่เรื่องก็สงบ

    ลงได้ด้วยดี




    จากดีทรอยต์  ลุงก็ลงไปลอสแองเจลลีส  ไปเที่ยวอีก 5

    วัน  เห็นไหม ลุงได้ไปเที่ยวสลับกับการทำงาน  ไปทำงาน

    เสียสองวัน  ไปเที่ยวเสีย 20 วัน  เหมือนๆ กับพาลูกค้าไป

    ดูงานนั่นแหละ…………




    ไปถึงแอลเอ….เมืองแห่งคนไทย  มีน้องชายกับน้องสะใภ้

    ที่มาขุดจ๊อบอยู่ก่อนแล้วพาเที่ยว  ตอนนี้เงินก็ไม่ต้องเสีย  

    ค่ารถ ค่าที่พักก็ไม่ต้องเสีย เพราะน้องชายออกให้หมด  

    เอาเป็นว่าไปกิน และเที่ยวกันอย่างเดียว  จะไปเที่ยวที่

    ไหน  พวกเราก็คงรู้กันอยู่แล้ว  




    ก็ไม่พ้นดีสนีแลนด์  แดนเนรมิต  โรงภาพยนต์ของยูนิ

    เวอร์แซลสเตอร์รีโอ   เมืองฮอลี่วูด  ถนนดารา  ไปเจอคน

    ไทยเป็นฝูง  พูดภาษาไทยกันอร่อยปาก หลังจากที่ไม่ได้

    พูดมานาน  




    ไปกินข้าวไทยที่ตลาดไทย  มีปาท่องโก๋  มีโจ๊กหมูใส่ไข่  

    ชามใหญ่และอร่อยกว่าโจ๊กหน้าจุฬา…..ข้าวหมูแดง…..

    ข้าวขาหมู……




    โอ้ย….อร่อย....แซบอีหลี.....หรอยจังหู!




    เขาบอกว่า  เรื่องการลิ้มชิมรสของอาหารนี่เป็นของตัว

    สำคัญ  เป็นของชาติใดชาติมัน  ต่อให้ไปอยู่เมืองไหน  

    อยู่มานานเท่าไหร่  กินอาหารฝรั่ง  กินซุบ กินขนมปัง ได้

    อย่างมืออาชีพ  แต่พอได้กินอาหารไทยเข้าเท่านั้น  ลิ้นที่

    มันชินกับรสอาหารไทยมันก็จะติดปากมาทีเดียว  จะเอา

    สเต็กกี่ชิ้นมาแลกไก่ต้มจิ้มน้ำปลาถ้วยเดียวก็ไม่ยอม




    ออกจากเมืองแอลเอ…..ก็บินข้ามไปเมืองซานฟราน

    ซีสโก……..




    ไอ เลฟ มาย ฮาร์ด อิน ซาน ฟราน ซีส โก…………




    ต้องร้องเพลงนี้ด้วยความครื้นเครง  เพราะจะได้ไปเจอ

    เพื่อนเก่า  ที่เคยรักกันปากจะกลืนกิน   สมัยที่เรียนพาณิช

    อยู่ด้วยกัน....ตอนนั้น  




    พอเราออกมาขับมอเตอร์ไซ หากินเป็นเซลส์อยู่ได้พัก

    เดียว  เธอก็ใจร้อน  รอไม่ไหว  มีไอ้หนุ่มขับรถเบนซ์มา

    โฉบๆ เฉี่ยวๆ สองสามครั้ง   ก็หันมาหักอกลุงดัง “เป๊าะ”  

    และเขาก็จากเราไป




    เขาว่าหลงอะไรไม่หลง  เท่าหลงรัก  หักอะไรไม่เจ็บ เท่า

    อกหัก…..





    ตอนนั้นก็ร้องเพลง โอ้ย….พี่อกหัก…..อยู่สองสามปีก็

    เลิก  เพราะร้องก็ไม่มีใครได้ยิน  เพราะเธอหนีมาอยู่

    อเมริกาตั้งแต่เราอกหักใหม่ๆ เสียแล้ว……




    แต่พออยู่ไป  อยู่ไป….อกที่เขาบอกว่ามันหักเสียยับเยิน

    มันก็คืนรูปขึ้นมาเอง  ดังนั้น  ใครที่อกหัก…..ก็ปล่อยให้

    เขาอกหักไปเถิด  เพราะมันไม่ตายหรอก…..อีกไม่นาน  ก็

    มาหัวร่อต่อกระซิกกันเหมือนเดิม  




    พอโทรเลขไปบอกเธอว่าจะมาอเมริกา  จะแวะมาเยี่ยม  

    เธอก็ดีใจเป็นหนักหนา  พอลงสนามบินที่ซานฟรานซิสโก

    ก็มองหาคนที่มีหน้าคล้ายที่เคยเป็นแฟนเรา  ก็ไม่เห็นมี  




    ยืนงงอยู่เป็นนาน  ก็มีแหม่มคนหนึ่ง  ตัวอ้วนยังกับยักษ์

    (เขาคงไม่เห็นนะนี่ ที่เอาเขามานินทาถึงในเวปนี่)   พอเจอ

    กัน  เขาก็เรียก……โอ้…..แอ็ดดดดดดดด…………ที่รักกก

    กกกกกกกกกกกกกกกกก.......





    พลางเข้ามากอดซ้ายที  ขวาที   พลางจูบซ้ายที  ขวาที  

    ไอ้เราก็ยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น (สั่นสู้นะ  ไม่ใช่สั่นถอย) ไม่

    คิดว่าเขาจะเข้ามากอด มาจูบ มา……(ไม่ได้ลูบ  ไม่ได้

    คลำ) เหมือนในเพลงของพุ่มพวง…..




    เสร็จแล้วก็แนะนำให้รู้จักแฟนของเขาซึ่งยืนมองอยู่ข้างๆ

    นั้นเอง……..โอ….มายก๊อด……คนไทยแต่ไหนใจเป็น

    อเมริกันไปแล้ว




    ก็ไปพักที่บ้านของเธอ ซึ่งอยู่นอกเมืองซานฟราน ออกไป

    อีก  ไปพักที่ห้องลูกชายของเขา   คืนแรกกว่าจะได้นอน

    ก็คุยกันเสียดึกดื่นตีสองตีสาม  เพราะมัวแต่คุยเรื่องความ

    หลังเมื่อยังเด็กๆ  ยังรู้จักกับความรักใหม่ๆ ทั้งสองคน  




    ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร  ก็ลองรักกันดู  ปรากฏว่า

    มันหวาน  มันชื่น  มันรื่นอุราเสียไม่มีดี….แต่




    อยู่ ๆ ความรักที่เราคิดว่ามันเป็นของจริง  มันก็แค่ละคร

    ฉากหนึ่ง ที่ใครๆ ก็ต้องผ่านละครฉากนี้กันมาทั้งนั้น




    เปล่า  มันไม่ใช่เป็นการหลอกลวงหรอกนะ……เพราะต่าง

    คนต่างไม่รู้……จะถือว่าหลอกกันได้อย่างไร…..แต่เธอเป็น

    ผู้หญิง….เธอก็พบความจริงก่อนเรา……ว่า  “มันไม่ใช่”  




    ความรัก มันไม่ใช่แบบนี้     เธอก็บอกลาเรา…..ไปหาใหม่




    เราก็เหมือนกัน  อกหักรักคุดอยู่ได้ไม่นาน…..ก็เสือกไปหา

    นางพยาบาลมาช่วยรักษาโรคอกหัก……รักษาไปรักษา

    มา…..ก็ทำให้เธอต้องติดโรคอกหักจากลุงไปอีกรายสอง

    ราย




    จนกระทั่งได้เจอป้าอี๊ดเข้านั่นแหละ…..จึงรู้ว่า รักจริง….รัก

    แท้มันเป็นอย่างไร…….เออ….นี่ก็จะเจอป้าอี๊ดแล้วซินะ




    ยิบอินซอยเขาสปอตอย่างนี้ละพี่น้องเอ๋ย……ให้ตัวเราไป

    เที่ยวรอบโลกคนเดียวยังไม่พอ……คุณธวัชเกิดใจปั้ม  เห็น

    ว่าเราอกเหี่ยวเดียวดายมาถึง 4 เดือนกว่า  ก็เลยซื้อตัว

    เครื่องบินให้ป้าอี๊ดออกเดินทางไปเจอกับลุงที่ฮาวาย




    คราวหน้าเจอป้าอี๊ดแล้วจะเล่าให้ฟัง………




    amorntvm@hotmail.com

    จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ 2 ม.ค. 51 15:05:40 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom