ความคิดเห็นที่ 1 เร็ว ๆ นี้ได้เสนอนายว่าจะทำ Project ให้พนักงานเขียนแผนว่า สมมุติว่าตัวเองเป็น CEO ของบริษัท และให้ list รายการปัญหาต่าง ๆ ที่ตนเองพบภายในบริษัท พร้อมแนวทางแก้ปัญหา แผนของใครทำออกมาพร้อมแนวความคิดที่ดีที่สุด และมีแววในการเป็น CEO ที่ประสบความสำเร็จในอนาคตได้ ก็จะได้รับรางวัลเป็นเงินนับหมื่นบาท เช่นเดียวกับที่เคยทำโครงการอื่นมาแล้ว นายยังไม่เห็นด้วยกับ idea ที่นำเสนอ โครงการดังกล่าวจึงถูกพับเก็บไป วันนี้คุณ numnumnum1 ตั้งกระทู้ได้โดนใจมาก หวังว่าจะมีเพื่อน ๆ เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น และจะกลับเข้ามาเก็บเกี่ยวความรู้ใหม่อีก เพื่อนำความคิดไปเสนอนายใหม่อีกครั้งหนึ่ง!! จากคุณ : "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme) - [ 2 ม.ค. 51 23:04:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เนื่องจากออฟฟิตยังไม่รู้ว่าจะมีการประชุมแผนงานประจำปีหรือป่าวไม่รุ้ แต่ผมต้องเตรียมไว้ก่อน เพื่อมีเราจะได้เสนอได้เลย 1. แผนงานการทำงาน จะซื้ออะไร จะทำอะไร เดือนไหน วางออกมาตลอดทั้งปี 2. กิจกรรม ของแผนก ของบริษัท ประจำปี (ตรงนี้ก็เอาของ hr มาใช้ประกอบงานได้ส่วนหนึ่ง) ของผม งานที่ทำเกี่ยวกับงาน support มากกว่า ไม่ค่อยได้วางแผนสร้างรายได้เท่าไร จากคุณ : ตะวันรุ่งทุ่งรังสิต - [ 2 ม.ค. 51 23:25:30 ]

ความคิดเห็นที่ 3 น่าสนใจมากครับ ถ้ารายงานผลความคืบหน้าด้วย ผมจะดีใจมากครับ ปล. ขอเป็นลูกศิษย์เรียนวิชากลยุทธการฆ่าสักคนนะครับ จากคุณ : ผู้เฒ่าไม่ยอมแก่ - [ 3 ม.ค. 51 01:23:19 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าเป็นผมนะ คงต้องทำอะไรที่โบราณๆ กว่านี้อีกสักหน่อย... ผมก็แค่แจกกระดาษเปล่า ใบเล็กๆ ให้พวกเขาคนละประมาณ 5 ใบ แต่ขอเพิ่มได้ แล้วตั้งโจทย์ ให้เขาเขียนความคิดของเขาออกมาว่า "ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันนี้ ถ้าเกิดเจ้านายสั่งให้เพิ่มยอดขาย 100% และต้องทำให้ได้ คุณคิดว่า คุณจะทำโดยวิธีใด...?" และ ให้เวลาพวกเขาเขียนความคิดของเขา ออกมาเป็นข้อๆ หัวข้อละ 1 แผ่น ซึ่ง ผมจะไม่คุยเรื่องแผนกลยุทธ์หรืออะไรทั้งสิ้น ผมจะไม่ให้เขาอธิปรายอะไรทั้งสิ้น เพราะ การคุย การอธิบายทฤษฎี หรือ การที่แต่ละคนมาคุยเรื่องความฝันหรือความหวังของตนเอง บางคนอาจจะไม่กล้าที่จะพูด บางคนคิดไม่ทัน และ ที่ร้ายไปกว่านั้น เป็นการชักจูง ความคิดสร้างสรรของพวกเขา ให้กลับเข้ามาอยู่ในกรอบที่วางเอาไว้ ทำให้ไม่ได้ความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ ผมจะให้เวลาพวกเขาสัก 10 นาทีในการเขียนหัวข้อ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว ก็จะเดินไปรอบๆ สังเกตุพฤติกรรมของแต่ละคน เสนอกระดาษให้เขียนเพิ่ม หากเขาต้องการ ถ้าพวกเขาความคิดแล่น ก็จะให้เวลาเขาเพิ่มอีก 5-10 นาที เมื่อทำเสร็จ ก็จะรวบรวมแนวความคิดของพวกเขาออกมา จับกลุ่มที่เหมือนกัน และต่างกัน ซึ่งคุณอาจจะได้แนวคิดใหม่ๆ หรือ แนวคิดที่บางคนคิดไม่ถึง หรือ บางเรื่องที่คุณอาจจะมองข้ามไปก็ได้จากความคิดอิสระของพวกเขา ประเด็นทั้งหมดอยู่ที่ ความคิดของพวกเขา เป็นวิธีการที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในแต่ละมุมมอง ในแต่ละด้านของพวกเขา ซึ่งไม่มีการปฏิเสธแนวความคิดใดๆเลย ทำให้พวกเขาเชื่อมั่นในตนเองสูงขึ้นด้วยว่า ความคิดของเขาก็ได้รับการยอมรับ และอีกประการคือ สิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นมาเองที่จะทำ แล้วเอาสิ่งที่เขาคิดขึ้นนั้น มาวางกรอบการดำเนินการของพวกเขาเอง พวกเขาก็จะอยากที่จะทำให้สำเร็จ เพราะ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นเอง ผลงานก็เป็นผลงานของเขาเองโดยตรง และ สิ่งที่เขาคิดนั้น นั่นย่อมแสดงว่า เขามีแนวทางที่จะทำให้ได้ด้วย เท่ากับว่า เขาจะได้ใช้ประสิทธิภาพของเขาได้อย่างเต็มที่อีกด้วย... มันก็แค่วิธีโบราณๆ ที่ใช้แล้วค่อนข้างได้ผล และ เป็นการกระตุ้นการทำงานของทีมงาน รวมทั้ง ให้พวกเขาทำพันธสัญญากับสิ่งที่เขาคิดไปในตัวก็แค่นั้นครับ วิธีการของผมอาจจะไม่เหมาะสมกับองค์กรอื่นๆ ก็ได้ ทั้งนี้ หัวใจของวิธีการนี้ คือ การรวบรวมแนวความคิดของพวกเขา และ การจัดกลุ่มแนวความคิด ที่เหลือสำหรับงานของหัวหน้าแล้ว ต้องวิเคราะห์ให้ได้ว่า สิ่งที่พวกเขาคิดนั้น ยังขาดหรือต้องการเสริมในจุดใด มุมใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก และ ท้าทายกว่าการดำเนินการรวบรวมความคิดนี้มาก หวังว่าอาจจะเป็นประโยชน์บ้างเล็กน้อยสำหรับการประชุม แต่ถ้าไม่เหมาะสมก็คิดเสียว่า ผมมาแชร์แนวความคิดละกันครับ คนแก่แล้วก็คิดได้แบบแก่ๆอย่างนี้แหละครับ อิอิ จากคุณ : Wiboon Joong (wbj) - [ 3 ม.ค. 51 01:50:36 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณคุณWiboon Joong ครับ เป็นวิธีที่ดีมากๆ คงเอาวิธีนี้ไปใช้กับเรื่องกลยุทธ์ ..ในเรื่องการหาวิธีการทำให้สำเร็จตามเป้า ส่วนเรื่องยุทธศาสตร์คือการคิดโจทย์น่ะครับ ..ผมแหวกแนวคือจะให้ตั้งโจทย์กันเอง มีวิธีดีดีแนะนำมั้ยครับ ในการให้คนหมู่มากคิดตั้งโจทย์กันเอง จนได้โจทย์ที่น่าสนใจและอยากร่วมกันแก้ให้สำเร็จ ที่ผมหัดระดับบริหารให้ตั้งโจทย์คือนั่งคุยเดี่ยวๆ ค่อยๆมองไป คุยกันเรื่องอะไรก็ได้ จนผมจับจุดที่คาใจท่านๆได้ ถามโป้งตรงที่คาใจ ให้ท่านกล้ายอมรับว่าอยากจะทำอะไรกับเรื่องนี้ แล้วผมค่อยๆให้ท่านเล่าสิ่งที่ท่านรู้สึกว่าขัดแย้ง (ไม่รู้ตัวหรอกนะว่าตัวเองรู้สึกอย่างนั้น) ผมชี้ให้เห็นความขัดแย้ง แค่นี้อ่ะครับ ไม่ว่าเด็กแก่ก็ต้องถาม ว่าแล้วจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร แบบฝึกหัดให้คนหมู่มากตั้งโจทย์ก็เคยทำมาครับ แต่ใช้ไม่ได้ผลจริงหากต้องการผลที่เป็นชิ้นงานรูปธรรม แหะๆ วิธีโบราณน่ะเจ๋งจริงๆครับ มีคำแนะนำดีๆก็ขออีกนะครับ :D จากคุณ : numnumnum1 - [ 3 ม.ค. 51 02:34:51 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เข้ามาดู ... จากคุณ : D_YONG - [ 3 ม.ค. 51 08:54:51 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อธิบายวิธีคิดนิดนึง คือผมเหนื่อยๆกับการเป็นคนวางแผน แล้วปีนี้อะไรๆก็ลำบาก การแข่งขันจะมาจากทุกมุม มุมที่นึกไม่ถึงด้วย ดีแทคออกมาให้ข่าวให้กำลังใจแต่ต้นปีว่าปีนี้จะมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง ชื่นใจมากมาย หนีงาน หาแฟนซักคนดีกว่า ไม่ใช่ๆ เรื่องอะไรจะต้องแบกโลกคนเดียว ไม่แบกละ แต่ให้ทุกคนมารับรู้ว่าโลกมันเป็นงี้ เราจะเดินไปด้วยกันยังไง เลยคิดวิธีแหวกๆขึ้นมาแก้เซ็ง จริงๆมันก็ไม่ได้แหวกอะไรมากมายนะ วิเคราะห์แล้วใช้หลักการดังนี้ 1. bottom-up strategy วางแผนจากระดับล่างขึ้นบน อ่านบล็อกนี้จะได้อารมณ์เดียวกัน http://blogs.ittoolbox.com/eai/practices/archives/enterprise-architecture-topdown-or-bottomup-6832 เค้าบอกว่า botom-up มันไม่ได้ดีกว่า top-down มากมายนะ มันก็มีข้อดีข้อเสียของแต่ละแบบ ยกข้อดีของbottom-upมาให้ The advantage of this bottom up approach seems to be that it empowers domain architects to think more creatively. Solutions are driven more by practical requirements than abstract notions. จากคุณ : numnumnum1 - [ 4 ม.ค. 51 00:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 8 2. SOA (service-oriented architecture) เรามองทุกอย่างเป็นservice แม้แต่ข้อมูลก็เป็นservice มีผู้ให้บริการและใช้บริการ ตรงนี้ยกมาใช้นิดเดียว แค่เนี้ย The bottom-up strategy, for example, is tactically focused in that it makes the fulfillment of immediate business requirements a priority and the prime objective of the project. เอามาจากเว็บนี้ http://www.soamethodology.com/p9.asp แถมรูปประกอบ พร้อมคำอธิบายเล็กน้อย As shown in the figure, each approach has its own benefits and consequences. While the bottom-up strategy avoids the extra cost, effort, and time required to deliver services via a top-down approach, it ends up imposing increased governance burden as bottom-up delivered services tend to have shorter lifespans and require more frequent maintenance, refactoring, and versioning. จากคุณ : numnumnum1 - [ 4 ม.ค. 51 00:11:52 ]

ความคิดเห็นที่ 9 3. OODA loop (Observe, Orient, Decide and Act) หรือ Boyd cycle มาจากนักบินของอเมริกาคนนึง ที่สงสัยว่า ใครๆก็รับรองว่าสมรรถภาพเครื่องบินของอเมริกาดีกว่ารัสเซีย แต่ทำไมเครื่องถูกเครื่องบินเก่าๆของศัตรูยิงตกเอาๆ เค้าสรุปได้ว่า ใครๆก็ต้อง สังเกต-ปรับตัว-ตัดสินใจ-กระทำ ขั้นตอนเหล่านี้ ใครทำได้เร็วกว่าก็มีโอกาสก่อน จากคุณ : numnumnum1 - [ 4 ม.ค. 51 00:17:52 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เอา 3อย่างนี้มาเขย่าเข้ารวมกันได้ความว่า ก. ปีนี้ ในสถานการณ์หงอยๆ สู้เพื่อรอด ผมไม่ดูคนเดียวแล้วนะ ทุกคนช่วยกันดู แล้วก็ช่วยกันคิด ว่าจะทำไง อันนี้เห็นชัดๆว่าใช้OODA ข. ถ้างั้นแปลว่าวางแผนยาวๆก็ไม่ได้ใช้ จะวางแผนกันทำไม เย้ เราเชื่อKotlerว่าแผนยาวๆไร้ประโยชน์ในโลกปัจจุบันที่อะไรๆเปลี่ยนแปลงเร็ว บัญชีเค้าให้วางแผนเพื่อทำงบประมาณนี่ :( ไม่ทำก็ไม่มีงบ งั้นก็วางแค่โครง แต่รายละเอียดทำเป็นSOA bottom-up bottom-up delivered services tend to have shorter lifespans and require more frequent maintenance, refactoring, and versioning. เข้ากันดีกับOODA ค. ถ้าจะทำงั้นได้ ก็ต้องให้มุมมองแต่ละส่วนของธุรกิจชัดเจน แล้วค่อยคุย แต่ละdominantให้ข้อมูลที่นำไปปฏิบัติได้ดีกว่าจากเบื้องบน Solutions are driven more by practical requirements than abstract notions. สอดคล้องกับ bottom-up architecture :D เอาหลักการมามั่วๆอธิบายได้ตามนี้แหละ 55 ตอนคิดน่ะไม่มีหลักการอะไรจริงๆ อย่างไรก็ดี มันก็ขึ้นกับการนำไปใช้ คิดดีทำห่วยก็เจ๊ง หาbest practiceไม่ได้ ตัวอย่างที่คนเคยลองทำก็หาไม่ได้ ต้องลองมั่วดูแล้วแหละคราวนี้ 55 จากคุณ : numnumnum1 - [ 4 ม.ค. 51 00:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาอ่าน จากคุณ : 35-25-36 - [ 4 ม.ค. 51 14:34:22 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คล้ายๆ กับน้า WBJ ครับ - ทำเอกสารประเมิณผลงานของปีที่ผ่านมา โดยให้เจ้าตัวประเมิณตนเอง แล้วยื่นให้หัวหน้าแผนก แล้วหัวหน้าแผนกนั้นๆ ประเมิณลูกทีมแต่ละคนอีกครั้ง - ในใบประเมิณมีอยู่ 2 ส่วน คือ แบบประเมิณผลงานของตนในปีที่ผ่านมาว่าทำได้แค่ไหน มีอะไรที่ดีขึ้นพัฒนาขึ้น และอันไหนที่เขายังทำไม่ได้ ส่วนที่ 2 คือปีหน้าเขาอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร อยากเรียนรู้อะไร อื่อๆๆ แล้วนำข้อมูลทั้งหมดของทุกๆ คนมาวิเคราะห์เพื่อหาจุดร่วมต่อไป พร้อมทั้งเป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อดูว่าแต่ละคนเหมาะที่จะปรับอัตราเงินเดือนขึ้นเท่าไหร ...... จากคุณ : แกะแดง - [ 4 ม.ค. 51 14:59:20 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอนอกเรื่องนิดหนี่งนะ.... รู้สึกยินดีที่คุณ Wiboon Jung กลับมาตอบกระทู้ หลังจากที่เห็นเข้าไปอ่านกระทู้ และลงชื่อในหลายกระทู้ที่ผ่านมา คุณ Wiboon Jung ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อน ๆ ในห้องสีลมนี้มาโดยตลอด แต่หลัง ๆ สงกะสัย งานจะท่วม (ตัว) .... ขออนุญาต..แซว คงไม่กล้า ให้คำแนะนำอะไรกับ จขกท เพราะ มีข้อมูล แปะมาเพียบ เกินกว่าความสามารถของข้า ฯน้อย และอีกอย่างก็ มาเห็นกระทู้นี้วันศุกร์ตอนค่ำพอดี ซึ่งคุณ numnumnum1 บอกว่าต้องใช้วันศุกร์ ซึ่งก็คงดำเนินการไปแล้ว ขอเป็นฝ่ายเข้ามา ซึมซับความรู้ก็แล้วกันนะ..... จากคุณ : ข้าฯ น้อย ผ่านมา - [ 4 ม.ค. 51 19:50:47 A:58.9.237.181 X: TicketID:125394 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอแก้ไขชื่อ ^^ จาก Wiboon Jung เป็น Wiboon Joong นะ...ขออภัยจริง ๆ จากคุณ : ข้าฯ น้อย ผ่านมา - [ 4 ม.ค. 51 20:00:30 A:58.9.237.181 X: TicketID:125394 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ใช้แล้วเวิร์คครับ ขอบอก :D พักหายเหนื่อยจะมาเพิ่มเติมรายละเอียด จากคุณ : numnumnum1 - [ 4 ม.ค. 51 20:57:21 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ทำไปตามนี้ครับ 1. เกริ่นสั้นๆว่า เมื่อก่อนก็มีแผนงาน โดยผมเป็นคนวางแผน ปีนี้เปลี่ยน ทุกคนช่วยกันวางแผน ให้ทุกคนช่วยกันไล่ว่าปีนี้ควรจะทำอะไรบ้าง 1.1 ทำอะไรแล้วจะช่วยให้ทำงานง่ายขึ้น ไล่1.1ทุกคนเสร็จก็1.2ต่อ 1.2 อะไรควรทำ ทำแล้วดีกับบริษัท 2. ให้แง่คิด ว่าโปรเจ็กต์ใหญ่ๆในแต่ละปีน่ะ มีไม่กี่ตัวหรอก ไอ้รายการที่ไล่มาน่ะ อะไรสำคัญมาก ก็ได้ข้อสรุปมา3ตัว ^^ จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 09:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พัก 3. คุยถึงไอ้3ตัวสำคัญ โดยคุยตัวหลักก่อน ตรงนี้เหนื่อยหน่อย ทุกคนพยายามจะลงไปที่แผนการปฏิบัติเลย ปล่อยคุยแปปนึง ต้องดึงกลับ ว่านี่แผนประจำปี ก็มีท้วงว่าวางแผนยาวๆไปก็ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ดี ต้องค่อยๆตะล่อมว่า ต่อจากนี้ไม่ใช่ผมตัดสินใจ ทุกคนต่างหากตัดสินใจร่วมกัน ให้มองภาพรวมทั้งปีก่อน จะได้คิดออกว่าต้องเพิ่มคนมั้ย ลงทุนอะไรบ้าง แล้วจึงมาลงรายละเอียดแผนตรงนี้ แล้วขึ้น4เลย 4. โชว์ปฏิทินปี51 สอนวิธีคิดให้ความสำคัญกับจังหวะ ถ้าเราใช้กระแสให้เป็นก็ไม่เหนื่อย ทำอะไรขัดกระแสน่ะเหนื่อย ซ้ำอาจไม่ได้ผล ไม่ว่าจะบริษัทใหญ่เล็กก็ใช้ปฏิทินนี้ทั้งนั้น ยกตัวอย่างให้ฟังเช่น วันวาเลนไทน์ ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับมัน ก็เป็นเพียงวันหนึ่ง ไม่ต้องมีกิจกรรมอะไร แต่ถ้าเราให้ความสำคัญกับมัน อาจจัดเป็นกิจกรรมใหญ่ประจำเดือน ขึ้นกับว่าพวกเราจะให้ความสำคัญตรงไหนกันละ ก็คุยๆกันว่าแต่ละช่วงของปีมีอะไรน่าสนใจบ้าง จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 09:54:12 ]

ความคิดเห็นที่ 18 5. ผมมึนเล็กน้อย ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ขึ้นผังอีก2ตัว - dominant functionงาน ใช้คำว่าฝ่ายงานแทนละกัน - กับรายการโปรเจ็กต์ ให้คุยกันต่อโดยให้ช่วยกันคุยถึงไอ้ตัวสำคัญ มันน่าจะมีขั้นตอนระยะเวลายังไงบ้าง ลงไปในรายการโปรเจ็กต์ กับ ปฏิทิน เสร็จ? ป่าว เอาไอ้รายการโปรเจ็กต์นั้นไปลงผังฝ่ายงานว่าใครทำตรงนี้บ้าง ตรงนี้ต้องทวนกันอีกรอบ ว่าใครทำฝ่ายไหน เพื่อความชัดเจน แล้วถามต่อว่า แล้วคนอื่นล่ะจะทำอะไร ก็ค่อยๆมีโปรเจ็กต์ทยอยออกมาจากปากลูกน้องครับ ก็ขึ้นรายการโปรเจ็กต์ ปฏิทิน สลับกับเอามาลงผังฝ่ายงาน ตอนนี้ได้แผนประจำปีคร่าวๆแล้ว ลักษณะคือ เดือนแรกๆชัด เดือนกลางๆหลังๆยังเป็นแค่โครง ไม่มีแผนปฏิบัติการ มันอาจจะต่างโดยสิ้นเชิงจากแผนประจำปีทั่วไปอ่ะนะ แต่ก็เพียงพอในการประเมินbudget หากต้องประเมินตัวเลขละเอียดก็ต้องคุยเพิ่ม อ่ะต่อข้อ6 6. ตอนนี้ให้คุยกันอิสระ มีอะไรต้องทำเพิ่มอีกมั้ย แล้วคุยถึงความชัดเจนของแต่ละฝ่ายงาน และหาหลีดของแต่ละฝ่ายงาน ไม่ใช่เชียร์หลีดเดอร์นะ (ไม่มีตำแหน่งหรือปรับเงินเดือนเพิ่มให้ ให้ทำโดยสมัครใจ) ก็กล้ำกลืนยกมือกันไป แล้วให้แต่ละฝ่ายไปคุยกันเอง มาสรุปกับผมอีกทีว่าจะทำอะไรยังไงบ้าง ^^ จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 10:09:57 ]

ความคิดเห็นที่ 19 รูปปฏิทิน พร้อมเส้นกะระยะเวลาแต่ละโปรเจ็กต์ จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 10:19:10 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ^^ ไอ้ไฮไลต์สีเขียว คือช่วงกระแสขึ้น ไฮไลต์สีส้ม คือกระแสที่เราจะเล่นก้าวใหญ่ จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 10:20:23 ]

ความคิดเห็นที่ 21 รายการโปรเจ็กต์ งาน | เป้าหมาย | ความสำคัญ | ระยะเวลา จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 10:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ผังฝ่ายงาน จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 10:31:13 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เวลาประชุม ให้ติดผังฝ่ายงานทางซ้าย ปฏิทินตรงกลาง รายการโปรเจ็กต์ทางขวา ให้แจกปฏิทินฉบับย่อกับทุกคนที่เข้าประชุมด้วย จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 10:32:54 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ผลที่ได้ เป็นไปตามทฤษฎีน่ะครับ ใช้เวลาในการทำแผนน้อยกว่า ผู้ปฏิบัติยอมรับมากกว่า แต่อาจสิ้นเปลืองงบ กับเวลาบานปลาย ในอนาคต ด้วยไม่ได้คิดให้รอบคอบ แต่ด้วยเหตุผลที่เคยอธิบายไว้ ปีนี้จะมีหมัดต่อยมาจากมุมที่คาดไม่ถึง ต้องพร้อมที่จะปรับตัว ปรับแผนอยู่เสมอ นี่ก็ได้ข่าวว่าทุนใหญ่อีกเจ้าก็จะลงมาเล่นแข่งด้วย เดือนหน้า -_- ใครมีความเห็นอย่างไร ควรปรับปรุงอย่างไร หรือนำไปใช้แล้วได้ผลอย่างไร โพสต์บอกเป็นวิทยาทานด้วยนะครับ หลังไมค์บอกกันก็ได้นะครับหากกระทู้ตกไปแล้ว จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 10:40:15 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ้อ คนนำประชุมควรเตรียมใจกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้นะครับ อาจมีซัดกันแหลก เหนื่อยกว่าปกติ top-down = control & need creative when action bottom-up = conductor & make potential -> product ต้องการคนนำประชุมคนละแบบ จากคุณ : numnumnum1 - [ 5 ม.ค. 51 10:48:41 ]

ความคิดเห็นที่ 26 เข้ามาดู ... จากคุณ : D_YONG - [ 5 ม.ค. 51 14:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 27 โอ้โห! ข้อมูลเป็นหลักวิชาการและมีขั้นตอนการคิดอย่างเป็นระบบเป็นเหตุเป็นผล ต้องใช้สมาธิและสติปัญญาอย่างสูงจึงจะตามได้ทัน นี่เป็นจุดอ่อนหรือข้อด้อยของ เลขาฯ ตัวแสบ คนนี้ที่เรียนมาน้อย เจออะไรที่เป็นวิชาการหงายหลังทุกที ก็เลยเป็นได้แค่เลขาฯ! ยังไงก็ต้องขอขอบคุณคุณ numnumnum1 ที่เสียสละเวลานำความรู้ มาแลกเปลี่ยนให้เพื่อน ๆ ในห้องนี้ด้วยนะ จากคุณ : 'เลขาฯ ตัวแสบ!' (Destinyhurtsme) - [ 5 ม.ค. 51 19:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมเสนอนิดหนึ่งละกัน เมื่อได้แผนต่างๆมาแล้ว ทำ cross tab กับ เป้าหมายขององค์กรว่า แต่ละเรื่องที่ทำนั้น เป็นไปตามจุดประสงค์ขององค์กรในเรื่องใด คุณอาจจะเห็นว่า มีบางเรื่องของจุดประสงค์ขององค์กรที่คุณไม่ได้วางไว้ในแผนประจำปีก็ได้ จะทำให้คุณมองภาพออกว่า คุณควรจะจัดงานอะไร เพิ่มเติมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์องค์กร หรือบางที คุณอาจจะเห็นว่า แผนที่วางไว้ เน้นหนักเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่คุณรับผิดชอบ แต่ถึงกระนั้น ก็ควรจะมีแผนในทางด้านอื่นบ้าง ไม่เช่นนั้น เวลาคนทำงานทำไปมากๆ จะ Burn แล้วเขาจะเบื่อกับการทำงานในลักษณะด้านเดียวครับ... แค่เขียนไว้พิจารณาละกันครับ จากคุณ : Wiboon Joong (wbj) - [ 7 ม.ค. 51 09:41:23 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ขอบคุณครับ จากคุณ : numnumnum1 - [ 7 ม.ค. 51 10:46:42 ]