Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….ความรู้แค่หางอึ่ง!!! (ภาค 1)

    ….หลายปีมานี้ฉันมักจะรู้สึกเศร้าใจทุกครั้ง
    ที่ได้ฟังข่าวเกี่ยวกับปัญหาของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
    ข่าวการเสียชีวิตของชาวบ้านตาดำ ๆ
    ของข้าราชการ…
    ทหาร…ตำรวจ…ครู…และผู้บริสุทธ์ทุกชีวิต
    ที่น่าเศร้าที่สุดก็คือการเผาโรงเรียน!!
    โรงเรียนที่เป็นสถานที่สำหรับสอนให้เยาวชนไทย
    เติบโตเป็นคนดีและเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต
    แต่ต้องถูกคนใจร้ายทำลายโดยไร้ความปราณี
    ไม่เว้นกระทั่งโรงเรียนระแงะมรรคาจังหวัดนราธิวาส
    โรงเรียนแห่งแรกของฉัน…

    ที่ได้ถูกเผาโดยฝีมือคนร้ายไปแล้วเช่นกัน
    หากฉันและครอบครัวไม่ได้ย้ายถิ่นฐาน
    เข้ามาอยู่กรุงเทพตั้งแต่ตอนที่ฉันเรียนจบป. 4
    ป่านนี้ฉันอาจจะถูกเผาตายไปพร้อมกับโรงเรียนแล้วก็ได้

    คิดถึงเพื่อนเก่า ๆ สมัยเด็ก ๆ
    คิดถึงคุณครูผู้มีพระคุณที่เคยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้
    คิดถึงโรงเรียนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่สำหรับศึกษาเล่าเรียน
    คิดถึงวันเวลาเก่า ๆ แล้วอยากย้อนเวลาไปหาอดีตอีกครั้งหนึ่ง

    จำได้ว่าการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนพร้อมกับน้อง ๆ
    จะต้องเดินข้ามทางรถไฟทุกเช้า
    และเดินต่อไปถึงโรงเรียนด้วยระยะทางเกือบ 2 กิโลเมตร
    มือข้างหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนและอีกข้างหนึ่งถือปิ่นโตข้าว
    ที่แม่เตรียมให้เป็นอาหารกลางวัน
    ฟังดูเหมือนไกลและน่าเหน็ดเหนื่อย
    แต่พวกเรารู้สึกชินและสนุกสนานมาก
    เพราะตลอดทางจะมีเพื่อน ๆ ร่วมเดินเรียงรายกันเป็นแถวยาว
    บ้างก็ขี่จักรยาน…บ้างก็มีพ่อแม่เดินไปส่ง

    ภาพวันที่แม่ของฉันหอบหิ้วลูกสาวทั้ง 4 ขึ้นรถไฟ
    จากสถานีรถไฟตันหยงมัสจังหวัดนราธิวาส
    ยังอยู่ในความทรงจำของฉันได้ดีตราบเท่าทุกวันนี้
    วันนั้นแม่ทำหมูทอดกระเทียมพริกไทยพร้อมข้าวสวย
    เป็นเสบียงสำหรับให้ลูก ๆ กินบนรถไฟด้วย
    นึกแล้วอดคิดถึงไม่ได้…
    แต่คิดถึงแม่มากกว่าหมูทอดกระเทียมพริกไทยกับข้าวนะ!

    เมื่อการเดินทางสิ้นสุดลงตรงปลายทางที่หัวลำโพง
    ฉันเห็นพ่อและพี่ชายคนโตของฉันพร้อมญาติ
    มายืนรอรับพวกเราที่สถานีตามเวลานัดหมาย

    จากนั้นฉันได้เข้าเรียนหนังสือต่อในชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
    ที่กรุงเทพแดนซิวิไลส์ที่ซึ่งเด็กบ้านนอกทุกคนใฝ่ฝัน
    วันแรกที่เข้าเรียนร่วมกับเด็กเมืองกรุง
    ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่สุดและที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าก็คือ
    ฉันพบว่าโรงเรียนที่กรุงเทพเขาสอนภาษาอังกฤษกันด้วย!

    เพื่อน ๆ ทุกคนในชั้นได้เรียนภาษาอังกฤษตั้งแต่อนุบาล
    แต่สำหรับฉันเพิ่งมาเริ่มเรียน ABC ตอนป. 5 ที่นี่
    ทำให้ฉันสอบตกวิชาภาษาอังกฤษช่วงที่เริ่มเรียนใหม่ ๆ
    ฉันรู้สึกไม่ชินกับคำว่า “สอบตก” เลย
    เพราะตั้งแต่เรียนอยู่ที่บ้านนอกฉันมักจะสอบได้ที่ 1
    หรือที่ 2 แข่งกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเสมอ
    เมื่อมาสอบตกวิชาภาษาอังกฤษทำให้ฉันรู้สึกอายเพื่อน ๆ
    และเนื่องจากความตื่นเต้นที่ได้เรียนภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรก
    ทำให้ฉันเพิ่มความตั้งใจในการเรียนภาษาอังกฤษเป็นพิเศษทุกครั้ง
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณครูผู้สอนมีวิธีการสอนที่เข้าใจง่ายและน่าเรียน
    ฉันยังจำชื่อคุณครูสอนภาษาอังกฤษคนแรกของฉันได้ดี
    เธอชื่อคุณครูลักคณา….

    และด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะต้องไม่ตกและไม่ขายหน้าเพื่อนนี่เอง
    ทำให้ฉันสอบได้คะแนนนำเพื่อน ๆ ในห้องในเทอมต่อมา

    หลังจากเรียนจบชั้นประถมต้นแล้วฉันสอบเข้าชั้นมัธยมต้น
    ได้ที่โรงเรียนสายน้ำผึ้งซึ่งเป็นโรงเรียนสตรีล้วน
    โรงเรียนนี้ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท
    ที่นี่เป็นแหล่งรวมนักเรียนหัวกะทิ
    ฉันเคยเรียนได้ 90% กว่าเสมอตอนอยู่ชั้นประถม
    แต่พอมาเจอหัวกะทิในชั้นเรียนเข้า
    ขนาดสอบได้เกือบ 80%
    ฉันกลายไปเป็นหางกะทิอยู่ปลายแถวสุดไปแล้ว
    ทำให้ความฮึกเหิมในการเรียนแข่งกับเพื่อนในห้อง
    เหมือนที่เคยมีตอนเด็ก ๆ หายไป….หมดกำลังใจที่จะเรียน…

    หลังจากขึ้นปีที่สองและเรียนได้เพียงเทอมเดียวฉันเริ่มท้อหนักขึ้น
    ประจวบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของฉัน
    แข่งกันวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
    ด้วยขาดแรงจูงใจในการเรียนและขี้เกียจเรียนหนังสือ
    และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือขาดทุนทรัพย์
    ฉันก็หาเหตุให้ตัวเองออกจากโรงเรียนโดยอ้างว่า
    ขอเป็นผู้เสียสละออกมาช่วยดูแลเฝ้าไข้คุณพ่อคุณแม่
    เพื่อให้พี่น้องคนอื่นได้มีเวลาเรียนเต็มที่โดยไม่ต้องสลับเวรกัน

    เมื่อได้ออกจากโรงเรียนสมใจแล้ว
    ฉันก็แอบซุ่มดู (ไม่ค่อยได้อ่าน) หนังสือด้วยตนเอง
    และได้สอบเทียบได้ประกาศนียบัตรมัธยมต้นในปีนั้น
    โดยไม่ต้องเสียเวลาเข้าเรียนในชั้นเรียน

    ตอนนี้ฉันเริ่มมีใจฮึกเหิมแล้ว
    เพราะฉันจบพร้อมประกาศนียบัตรนำหน้าเพื่อน ๆ ไปหนึ่งปี
    แถมยังไปสอบเข้าชั้นมัธยมปลายสายวิทย์ได้
    ที่โรงเรียนพระโขนงพิทยาลัย
    แน่นอน…ความเจ็บไข้ของพ่อแม่
    เป็นแรงบันดาลใจทำให้ฉันตั้งเป้าว่าจะต้องเรียนแพทย์ให้ได้

    ฉันเข้าไปเรียนมัธยมปลายได้เพียงเทอมเดียว
    ก็ใช้ข้ออ้างเดิมในการลาออก
    เพื่อมาช่วยดูแลปรนนิบัติพ่อแม่
    แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะฉันเรียนไม่รอด
    เนื่องจากมีพื้นฐานวิชาหลัก ๆ เช่นฟิสิกซ์ไม่แน่น
    เพราะฉันเรียนมัธยมต้นแค่ปีเศษเท่านั้นเอง
    และที่สำคัญฉันเป็นคนไม่ขยันอ่านและท่องตำรา

    วันนั้นจำได้ว่ายืนอยู่บนรถเมล์
    และเหลือบไปเห็นประกาศรับสมัครลงทะเบียน
    เรียนหลักสูตรพาณิชย์ภาคค่ำระยะสั้น 6 เดือนจบ
    เห็นแล้วเกิดความรู้สึก “WoW”
    มีหลักสูตรแบบนี้ให้คนขี้เกียจเรียนอะไรมาก ๆ นาน  ๆอย่างฉันด้วยหรือ?
    หลักสูตรดังกล่าวเน้นสอนบัญชีและพิมพ์ดีดเท่านั้น

    ตอนนั้นฉันเรียนไปด้วยและทำงานกับญาติไปด้วย
    ทำงานในโรงงานของญาติได้เพียงเดือนกว่าฉันก็ออก
    และเรียนพาณิชย์เอกบัญชีอย่างเดียวจนจบ
    เนื่องจากเป็นหนึ่งในศิษย์โปรด
    อาจารย์ใช้เส้นส่งฉันไปทำงานเป็นพนักงานบัญชี
    ลงบัญชีค่าใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในบริษัทกระจกแห่งหนึ่ง
    ปัจจุบันบริษัทกระจกแห่งนี้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แล้ว

    จากการที่ได้ไปเรียนหลักสูตรพาณิชย์ที่ฉันระบุใน Resume
    ในหมวดการศึกษาของฉันว่าเรียนจบ
    BUSINESS ACCOUNTING COLLEGE
    Commercial Certificate majoring in Business English
    และเป็นเพราะประกาศนียบัตรฉบับนี้นี่เอง
    ที่เป็นใบเบิกทางที่ไม่น่าเชื่อว่าฉันสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐาน
    ในการสมัครงานของฉันในแต่ละบริษัทและประสบความสำเร็จตลอดมา…

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 5 ม.ค. 51 14:17:13 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom