Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….ความรู้แค่หางอึ่ง!!! (ภาค 2)

    …. ROME IS NOT BUILT IN ONE DAY…
    หรือกรุงโรมไม่ได้สร้างขึ้นภายในวันเดียวฉันท์ใด
    ความสำเร็จใด ๆ ในโลกนี้ก็ไม่สามารถทำได้ภายในวันเดียวเช่นกัน
    การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศหรือการศึกษาในเรื่องใด ๆ
    ที่จะทำให้เกิดความรู้ความชำนาญและความเชี่ยวชาญได้
    ก็จำเป็นต้องใช้เวลาและความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

    แน่นอนว่าการติดต่อ Pen Friends หรือเพื่อนทางจดหมาย
    เป็นแรงบันดาลใจเบื้องต้นที่ทำให้ฉันเกิดความสนใจ
    ในเรื่องการเขียนภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ
    ทั้งนี้เพื่อที่จะทำให้ตนเองสามารถมีทักษะเพียงพอ
    ในการติดต่อสื่อสารกับคนที่เราอยากจะคบหาได้
    เพราะถ้าไม่มีแรงจูงใจในจุดนี้ก็อาจจะไม่เกิดการอยากเรียนรู้ก็ได้

    ดังนั้นการที่ฉันหมกมุ่นอยู่กับการขีดเขียนและอ่านทุกวัน
    จึงทำให้เกิดทักษะในการเขียนที่ดีอย่างไม่ต้องสงสัย
    เมื่อต้องเข้าไปในแวดวงของการทำงานจึงทำให้ฉันสามารถนำความรู้ที่ได้
    มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว

    หลายปีที่ทำงานกับเตี่ยก็เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ฉันได้มีโอกาส
    ฝึกฝนการฟัง…การเขียน…และการพูดภาษาอังกฤษเพิ่มมากยิ่งขึ้น
    เตี่ยจะ dictate หรือให้เขียนตามคำบอก
    ไม่ว่าจะเป็น Memo จดหมายหรือรายงานต่าง ๆ
    หรือบางครั้งก็อาจจะให้ฉันร่างจดหมายเองโดยให้ idea คร่าว ๆ
    เมื่อร่างเสร็จก็จะส่งต่อให้เตี่ยตรวจสอบแก้ไข
    เหมือนครูตรวจข้อสอบให้นักเรียนเลยทีเดียว
    แน่นอนว่าการได้อ่านมากและเขียนมากตลอดเวลาทุกวัน
    ยิ่งเป็นการเพิ่มความชำนาญในสิ่งที่ทำดังคำกล่าวที่ว่า
    PRACTICE MAKES PERFECT!

    กิจกรรมทั้งสองอย่างข้างต้นน่าจะเพียงพอแล้ว
    ที่จะทำให้เกิดความเชี่ยวชาญในด้านการเขียนได้
    แต่ที่จริงในระหว่างนั้นฉันได้อ่านพบประกาศเกี่ยวกับหลักสูตร
    English Business Writing ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
    ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่สอนเฉพาะระดับปริญญาโท
    และหลักสูตรนี้กำหนดคุณสมบัติของผู้เรียนว่าต้องจบปริญญาตรี
    ฉันโทรไปสอบถามเจ้าหน้าที่และขอร้องให้ผ่อนผันให้ฉันเรียนได้
    แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธและบอกว่าจำเป็นต้องปฏิบัติตามระเบียบ

    ฉันไม่ยอมลดละความพยายามเพราะคิดว่ากฏทุกกฏในโลกนี้มีไว้เพื่อให้แหก (กฏ)
    RULES ARE MADE TO BE BROKEN!
    ฉันจึงเขียนจดหมายถึงหัวหน้าโครงการของหลักสูตรที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้น
    พร้อมทั้งชี้แจงวัตถุประสงค์ในการเขียน
    และขอร้องให้สถาบันอนุญาตให้ฉันมีสิทธิ์เรียนด้วย
    โดยชี้ให้สถาบันเห็นว่าฉันมีพื้นฐานที่ดีที่จะไม่เป็นภาระแก่อาจารย์ผู้สอน
    และหากฉันมีโอกาสได้เข้ามาเรียนเพิ่มเติมอีก
    นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ตัวฉันเองแล้ว
    ยังจะเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติด้วย..
    อ้างไปถึงประเทศชาติโน่นเลยนะเนี่ย!

    คุณผู้อ่านคิดว่าฉันควรจะดีใจหรือเสียใจกับคำตอบของสถาบันแห่งนั้น?
    เพราะฉันได้รับจดหมายตอบกลับมาว่าสถาบันขออภัยที่ไม่สามารถ
    ตอบสนองความต้องการของฉันโดยการเปลี่ยนแปลงระเบียบการได้
    และตบท้ายว่าหากจดหมายภาษาอังกฤษที่เขียนมาเป็นฝีมือของฉันเอง
    มหาวิทยาลัยมีความเห็นว่าฉันไม่มีความจำเป็นต้องมาเรียนหลักสูตรนี้แล้ว
    เพราะการเขียนของฉันอยู่ในระดับที่สามารถนำไปใช้งานได้ดีอยู่แล้ว!!

    ต่อมามีหลักสูตร Business English
    ของคณะพานิชศาสตร์และการบัญชีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    ซึ่งเปิดกว้างสำหรับประชาชนทั่วไป
    และไม่ได้กำหนดคุณสมบัติว่าจะต้องจบปริญญาตรี
    ฉันจึงมีโอกาสเข้าไปเรียนและได้รับประกาศนียบัตร
    ตามที่ได้ระบุไว้ใน Resume ซึ่งจะได้นำมาให้อ่านกันในตอนหน้า

    มาต่อด้วยเรื่องของการพูดภาษาอังกฤษกันดีกว่า
    Pen friends ชาวต่างชาติหลายคนที่ฉันมีโอกาสได้พบ
    ต่างประหลาดใจว่าทำไมภาษาพูดของฉันถึงได้ต่างกับภาษาเขียน
    แบบหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้…

    เพราะพวกเขาต่างคาดหวังว่าเมื่อฉันสามารถเขียนได้….
    ฉันก็จะต้องสามารถพูดได้เช่นเดียวกับที่เขียน
    แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
    เพราะในตอนนั้นฉันยังพูดได้ไม่มาก
    พูดผิด ๆ ถูก ๆ เนื่องจากการพูดไม่มีเวลาคิดมากเหมือนการเขียน

    เหตุผลก็คือตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันมีโอกาสฝึกพูดภาษาอังกฤษน้อยมาก
    จนกระทั่งได้มาทำงานกับเตี่ย
    แต่ก่อนที่จะมาทำงานกับเตี่ยซึ่งเป็นช่วงที่ฉันทำงานกับบริษัทประกันต่อ
    ฉันได้ไปสมัครเรียนการพูดภาษาอังกฤษที่สถาบัน AUA
    (American University Alumni Associations) บนถนนราชดำริ
    เป็นหลักสูตรการพูดที่ประกอบด้วย 15 courses หรือ Book 1-15
    แต่ละ course ใช้เวลาเรียนประมาณเดือนครึ่ง
    เรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์วันละ 1 ชั่วโมง
    มีเวลาให้เลือกเรียนได้ทั้งวันตั้งแต่ 07.00 น. ถึง 20.00 น.
    เหมาะสำหรับคนทำงานและนักศึกษาเพราะมีเวลาให้เลือกเรียนทั้งวัน
    ฉันเคยเรียนช่วงเย็นหลังเลิกงานอยู่พักหนึ่ง
    แต่ตอนหลัง “หนี” มาเรียนตอน 7 โมงเช้าก่อนไปทำงาน
    (ตอนกุ๊กกิ๊กชีวิตทำงานจะมีเฉลยว่าทำไมต้องหนี?)

    ตอนแรกฉันไม่ทราบว่าสามารถสอบเทียบชั้นก่อนเริ่มเรียนได้
    จึงได้เริ่มเรียนตั้งแต่ Book 1 ซึ่งตอนหลังฉันพบว่าเป็นโชคดี
    เพราะ Book 1 หรือเล่มแรกเป็นเล่มที่สำคัญมากที่สุด
    เพราะเป็นการปูพื้นฐานวิธีการออกเสียงที่ถูกต้องในการพูดภาษาอังกฤษ

    พอเรียนจบ Book 1แล้ว Book อื่นหลังจากนั้นฉันได้ไปขอสอบเทียบชั้นทุกครั้ง
    เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเรียนบางเล่ม
    ปรากฏว่าได้ข้ามไม่ต้องเรียนหลายเล่มและรวมแล้วฉันได้เรียนเพียงประมาณ 10 เล่ม
    แทนที่จะเรียนครบ 15 เล่มเต็มหลักสูตร
    แต่ก็ยังสามารถจบออกมาพร้อมกับประกาศนียบัตรที่เรียกว่า
    Certificate of “Proficiency” in English
    ซึ่งถ้าฉันจำไม่ผิดคือผู้ที่จะได้ประกาศนียบัตรนี้จะต้องมีเวลาเรียนเต็ม
    หรือได้เอกสารประกอบเวลาเข้าเรียนทุกเล่มว่า Perfect Attendance
    และได้คะแนนในระดับที่กำหนดไว้
    แต่ถ้าไม่เป็นไปตามข้อกำหนดที่ว่าก็จะได้รับเพียงประกาศนียบัตรที่เรียกว่า
    Certificate of “Completion” คือการเรียนจบเท่านั้น

    เมื่อเรียนจบและได้ประกาศนียบัตรมาในตอนนั้น
    ฉันรู้สึกหลงใหลได้ปลื้มเป็นอย่างมาก
    ที่สามารถเรียนจบภายในระยะเวลาไม่นานมาก (ปีเศษ) หรือแค่ 10 เล่ม
    แทนที่จะต้องใช้เวลาสำหรับเรียนจนครบทั้ง 15 เล่ม
    แต่ต่อมาฉันพบว่าวิชาความรู้ที่ได้รับในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
    สู้วิชาความรู้ที่จะได้มาจากการใช้เวลามาก ๆ ไม่ได้
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนภาษาที่ไม่ควรเรียนทางลัด
    แต่ต้องให้เวลาเต็มที่…ยิ่งนานยิ่งซึมซับได้มาก….

    ดังนั้นจึงใช่ว่าเรียน AUA จบแล้วฉันจะพูดได้เลยซะที่ไหน
    แต่เป็นการเรียนรู้เพื่อสะสมความเข้าใจและเตรียมพร้อม
    สำหรับการนำมาใช้งานเมื่อโอกาสสุกงอมเต็มที่
    ถ้าจะเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับเด็กแรกเกิด
    ที่จะค่อย ๆ เรียนรู้  จดจำ  และสะสมคำพูดต่าง ๆ เอาไว้ในสมอง
    พออายุเลยขวบและพร้อมเมื่อไรเราจะประหลาดใจว่า
    อยู่ ๆ วันหนึ่งทำไมเด็ก ๆ เหล่านี้สามารถเปล่งเสียงพูดออกมาได้
    จากคำง่าย ๆ  เป็นหลาย ๆ คำ และเป็นประโยค
    ทั้งที่เราไม่เคยรู้สึกเลยว่าเด็ก ๆ ได้เรียนรู้คำต่าง ๆ เหล่านั้น
    มาจากที่ไหนและตั้งแต่เมื่อไร?
    แต่พอถึงเวลาและอยู่ในสถานการณ์ที่เขาจำเป็นต้องสื่อสาร
    เขาก็จะเปล่งเป็นคำพูดออกมาเพื่อสื่อสารให้เราเข้าใจ

    ดังนั้นในระหว่างที่เรียนที่ AUA และหลังจากเรียนจบแล้ว
    ฉันยังได้ตระเวนไปตามสถาบันต่าง ๆ ที่เป็น Public Speaking Club
    เพื่อเข้าร่วมกิจกรรมการฝึกพูดต่อหน้าสาธารณะเป็นภาษาอังกฤษ
    ซึ่งจัดหลังเวลาเลิกงานระหว่าง 18.00-20.30 น. เป็นประจำทุกสัปดาห์

    ในกรุงเทพฯ จะมี English Public Speaking Club หลายแห่ง
    ที่ฉันรู้จักและเคยเข้าไปสังเกตการณ์รวมทั้งเข้าไปเป็นสมาชิกได้แก่
    The Young Speakers Club ที่ AUA
    The Bangkok Toast Masters Club ที่โรงแรมอินทรา ประตูน้ำ
    The Laemthong Toast Masters Club ที่โรงแรมมณเฑียร ถนนสุรวงศ์
    และมีอีกหลายแห่งที่ฉันไม่เคยเข้าไปร่วมกิจกรรมเช่น
    The Siam Toast Masters Club
    The Thai Airways Toast Masters Club
    และอื่น ๆ อีกมากมายหลายแห่ง
    ที่หากใครต้องการเลือกที่ที่สะดวกใกล้บ้านหรือที่ทำงาน
    ก็สามารถ search จาก internet ได้

    กิจกรรมใน Speaking Club ดังกล่าวมีประโยชน์อย่างมาก
    สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกฝนการพูดและสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษในที่สาธารณะ
    ซึ่งสมาชิกทุกคนจะต้องได้รับการมอบหมายให้เตรียมเรื่องที่จะพูดต่อหน้าที่ประชุม
    รวม 10 Projects ซึ่งถ้าผ่านหมดก็จะได้รับประกาศนียบัตรการเป็นนักพูด
    ในขณะเดียวกันการเป็นสมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง
    สามารถช่วยในเรื่องของการฝึกความเป็นผู้นำได้ด้วย
    เนื่องจากกิจกรรมต่าง ๆ ได้สอดแทรกความรู้
    และประสบการณ์ของสมาชิกที่จะเป็นประโยชน์ในการทำงานเช่นกัน

    Club แต่ละที่จะจัดให้มีการประชุมเพื่อทำกิจกรรมสัปดาห์ละครั้ง
    ส่วนใหญ่จะใช้เวลาครั้งละประมาณ 2-2.30 ชั่วโมง
    แต่ละที่จะมี Connection กันหรือประสานงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
    จึงกำหนดวันประชุมไม่ตรงกัน
    ทำให้สมาชิกที่หนึ่งสามารถไปเข้าร่วมกิจกรรม
    หรือสังเกตการณ์ในอีกที่หนึ่งได้เสมอ

    ระยะแรก ๆ ฉันเข้าไปใน Club ในฐานะผู้สังเกตการณ์
    การประชุมแต่ละสัปดาห์จะเริ่มด้วยการลงทะเบียน
    เพื่อให้สมาชิกและแขกรับเชิญได้พบปะสังสรรค์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง
    จากนั้นจะมีการกล่าวเปิดการประชุมแจ้งวาระต่าง ๆ
    เป็นการประชุมในระดับที่ค่อนข้างจะเป็นทางการอย่างมาก

    หลังจากพิธีกรประจำสัปดาห์ได้กล่าวต้อนรับสมาชิก
    และแจ้งวาระการประชุมหรือโปรแกรมการประชุมแล้ว
    ก็จะเชิญแขกผู้สังเกตการณ์ทุกท่านลุกขึ้นยืนแนะนำตัวทุกครั้ง
    และแขกมีโอกาสถูกเชิญให้ตอบคำถามในระหว่างการประชุมได้ด้วย

    ฉันเฝ้าสังเกตการณ์อยู่หลายเดือนแต่ไปบ้างไม่ไปบ้าง
    แต่ในที่สุดฉันก็สมัครเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการ
    ที่ The Bangkok Toast Masters Club โรงแรมอินทรา
    จำไม่ได้ว่าค่าสมาชิกเท่าไรแต่คิดว่าปีละหลายพัน
    นอกจากค่าสมาชิกแล้วจะมีค่า Coffee Break ประจำสัปดาห์
    ครั้งละประมาณเกือบร้อยบาทแต่ไม่จำเป็นต้องจ่ายก็ได้….

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 10 ม.ค. 51 12:54:01 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom