ความคิดเห็นที่ 1
เมื่อสมัครเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฉันก็ได้รับมอบหมายให้เตรียมพูด Project แรกจากทั้งหมด 10 Projects Project แรกเรียกว่า Ice Breaking ซึ่งเป็นการเตรียมเรื่องพูด โดยให้เน้นเนื้อหาในการแนะนำประวัติและเรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง ให้ผู้ฟังได้รับข้อมูลและรู้จักผู้พูดให้มากที่สุดภายในเวลา 3 นาที จะมีการจับเวลาการพูดให้ขาดเกินได้ไม่เกิน 30 วินาทีโดยประมาณ ฉันได้เตรียมบทจากบ้านและมีการฝึกพูดต่อหน้ากระจก พร้อมกับต้องท่องให้จำขึ้นใจเพราะขณะพูดห้ามดูโพย
ถึงแม้จะมีการเตรียมคำพูดและฝึกพูดจากบ้านเป็นสิบ ๆ รอบ และมีการจับเวลาเพื่อไม่ให้พูดขาดหรือเกิน หากขาดก็ต้องเพิ่มเนื้อหาแต่ถ้าเกินก็ต้องตัดออก แต่พอถึงเวลาที่จะต้องขึ้นไปบนเวทีหรือยืนพูดหลัง Podium จริง ๆ คำพูดสวยหรูที่ฉันเตรียมไว้ต้องสะดุดและหดหายไป เนื่องจากอาการประหม่าที่ต้องไปยืนพูดต่อหน้าคนเยอะ ๆ ความกลัวที่จะถูกจับผิดขณะพูด เพราะในขณะที่ขึ้นไปพูดจะมีสมาชิกทำหน้าที่ เป็นกรรมการตัดสินให้คะแนนการพูด โดยพิจารณาตั้งแต่เรื่องของคำพูด
การออกเสียงที่ถูกต้อง ไม่ให้เปล่งเสียง เอ้อ
อ้า
หรือใช้พูดคำซ้ำ ๆ แบบติดอ่าง หลังจากพูดจบจะมีกรรมการขึ้นมา Comment ชี้จุดอ่อนจุดแข็งในการพูด มีการตรวจแก้ Grammar จากการพูดให้ด้วย พร้อมทั้งวิพากย์วิจารณ์ลักษณะท่าทางในระหว่างการพูด ว่ามีการประสานตา (eye contact) ให้กับผู้ฟังดีและไม่อย่างไรด้วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้พูดสามารถนำไปพิจารณาปรับปรุงและพัฒนาตนเองต่อไป
การ Comment เช่นนี้เปรียบเทียบได้กับ commentator ในรายการ Academy Fantasia ที่เรารู้จักกันดีนั่นแหละ หากกรรมการตัดสินว่าการพูดไม่ผ่านก็จะต้องซ่อม และพูด Project เดิมในครั้งต่อไปใหม่จนกว่าจะผ่าน แต่ถ้าผ่านก็จะต้องเตรียมเรื่องพูดตามหัวข้อที่กำหนดในบทที่ 2, 3, 4
. โดยการพูดในแต่ละบทจะต้องครอบคลุมเนื้อหาตามที่กำหนดเท่านั้น เช่นบทที่ 2 อาจจะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องตลกขบขันที่ทำให้ผู้ฟังหัวเราะตามไปด้วย หรือบทที่ 3 จะต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องเศร้าโดยการสร้างให้ผู้ฟัง มีอารมณ์เศร้าสลดอินไปกับเนื้อหาที่พูดด้วย หรือบทที่ 4 จะต้องพูดในเรื่องที่แสดงอำนาจโดยใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นเข้มแข็ง สะกดให้ผู้ฟังเห็นชอบคล้อยตามในเรื่องที่พูดเป็นต้น และจะต้องพูดบทอื่น ๆ ตามเนื้อหาที่ถูกกำหนดไปเรื่อย ๆ จนครบทั้ง 10 บทจึงจะได้รับประกาศนียบัตรให้เป็นนักพูด และสามารถใช้คำนำหน้าชื่อเป็น Toast Master (TM) สำหรับผู้ชาย และ Lady Toast Master (LTM) สำหรับผู้หญิง เช่น LTM DestinyHurtsMe เหมือนกับคำนำหน้าสำหรับคนที่จบปริญญาเอก และสามารถใช้คำนำหน้าว่า Dr. อย่างนั้นเลยทีเดียว
ประสบการณ์การพูดต่อหน้าสาธารณชนนับสิบในครั้งแรกของฉัน ให้ความรู้สึกที่ยากที่จะบรรยาย เพราะอย่าว่าแต่การพูดเป็นภาษาอังกฤษเลย แม้แต่การพูดภาษาไทยก็ทำให้รู้สึกเครียดที่สุดแล้ว เพราะในระหว่างที่พูดอยู่นั้นจะเกิดความรู้สึกและพฤติกรรมที่ประกอบด้วย อาการประหม่า
กลัว
และตื่นเต้น
หายใจไม่ค่อยทัน เสียงสั่น
ปากสั่น
ตัวสั่น
เหงื่อแตก
มือไม้ไม่มีที่วาง โอ๊ย! ใจเต้นตุ๊บตั๊บไม่เป็นจังหวะเหมือนกำลังโดนชายหนุ่ม ที่เรากำลังหมายตาจ้องทำให้เขินอายยังงั้นเลย! แต่ก็โชคดีที่ฉันสามารถสอบผ่าน Project แรกไปได้อย่างหวุดหวิด
นอกจากกิจกรรมที่สมาชิกจะต้องขึ้นมาพูดตามลำดับขั้นของทั้ง 10 Projects แล้ว ในระหว่างการประชุมยังมีกิจกรรมที่สมาชิกจะขึ้นมาตั้งคำถาม และเชิญสมาชิกท่านใดก็ได้ขึ้นมาตอบแสดงความคิดเห็นแบบไม่มีการเตรียมการ แบบหลังนี้จะยากกว่าแบบแรกที่มีการซ้อมเป็นสัปดาห์จากบ้าน แต่การตอบคำถามจะไม่มีผลกับการให้คะแนนใด ๆ เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อฝึกฝนการพูดในเรื่องทั่ว ๆ ไปแบบ free style
กิจกรรมสุดท้ายที่เป็น Highlight ของการประชุมสังสรรค์ในแต่ละสัปดาห์ก็คือ การเชิญแขก VIP มาพูดหรือเล่าประสบการณ์ในเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้แก่สมาชิกเป็นภาษาอังกฤษ แขก VIP ส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริหารขององค์กรหรือผู้มีชื่อเสียงในแวดวงต่าง ๆ
การที่ฉันได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมข้างต้นกับสมาชิก รวมทั้งแขกรับเชิญที่มากด้วยความรู้ความสามารถ เป็นแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ฉันอยากจะเก่งเหมือนกับพวกเขาเหล่านั้นด้วย ทำให้เกิดความฮึกเฮิมในการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อถีบตัวเองให้เก่งขึ้น ขณะเดียวกันการได้เห็นบางคนที่อาจจะยังไม่เก่งหรือยังมีประสบการณ์ไม่มาก ก็จะทำให้ฉันเกิดความมั่นใจในตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะทำให้คิดว่าขนาดเขายังไม่เก่งเขายังมีความกล้าและทำได้ดีขนาดนี้ แล้วทำไมฉันจะสร้างความกล้าให้กับตัวเองและเก่งอย่างเขาบ้างไม่ได้
จากจุดนี้นี่เองที่ทำให้ฉันเข้าใจแล้วว่า เหตุผลที่สำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เราพูดภาษาอังกฤษได้ดี ก็คือความกล้า
กล้าพูดโดยไม่กลัวผิด เราสามารถนำคำศัพท์ที่เรารู้จักมาใช้ให้ถูกต้องกับโอกาสต่าง ๆ ได้ เช่นถ้าเรารู้จักคำศัพท์คำว่า I = ฉัน will = จะ always = เสมอ love = รัก you = เธอ เราก็สามารถนำคำศัพท์ที่เรารู้แต่ละคำมาพูดทีละคำ เมื่อพูดครบทุกคำก็จะได้ประโยคเต็มว่า I will always love you = ฉันจะรักเธอเสมอ
แต่ถ้าบังเอิญเรายังไม่แข็งหรือเก่งในเรื่องของไวยากรณ์ เราก็อาจจะนำคำศัพท์ทั้งหมดมาผสมตามโครงสร้างภาษาไทย ก็จะได้ประโยคภาษาอังกฤษในสไตล์ไทย ๆ ว่า I will love you always. ที่จริงโครงสร้างประโยคตัวอย่างนี้ก็ไม่ถึงกับผิดไวยากรณ์ แต่หากเรามีโอกาสได้ฟัง
ได้อ่าน
และได้พูดบ่อย ๆ เราก็จะรู้เองโดยอัตโนมัติว่าที่ถูกเราจะต้องพูดว่า I will always love you.
ในทำนองเดียวกันกับคำศัพท์อื่น ๆ ที่หลังจากเราได้เรียนรู้และจดจำความหมายของแต่ละคำแล้ว เมื่อถึงเวลาที่จะต้องนำมาใช้เราสามารถนำมาพูดเปล่งเสียงออกไปเลย โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเรียงประโยคผิดหรือไม่ถูกไวยากรณ์ เพราะที่จริงแล้วฝรั่งหรือต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยสักระยะหนึ่ง ก็จะเข้าใจวัฒนธรรมและคุ้นเคยกับสำนวนและสำเนียงไทย เขาจะสามารถทำความเข้าใจกับคำพูดของเราได้ เหมือนกับที่เราเข้าใจฝรั่งที่พยายามฝึกพูดภาษาไทย ทั้ง ๆ ที่เขาออกเสียงไม่ถูก
พูดทีละคำ
และเรียงประโยคไม่ถูกต้องเหมือนกัน แล้วเราเคยรู้สึก
ดูถูก
หัวเราะเยาะ
หรือรังเกียจเขาหรือไม่ คำตอบคือ ไม่ แถมยังรู้สึกเอ็นดูและดีใจที่เขาสนใจเรียนรู้ภาษาไทย จนสามารถที่จะนำมาใช้สื่อสารให้เราเข้าใจได้ ฉันท์ใดฉันท์นั้น
ฝรั่งก็คิดแบบเดียวกับเราเช่นกัน
น่าเสียดายที่ฉันเป็นสมาชิกได้เพียงไม่นานและพูดได้เพียง 1 บท ทั้งนี้เนื่องจากตอนนั้นได้เข้าไปทำงานกับเตี่ยแล้ว และต้องอยู่ทำงานเย็น ๆ ค่ำ ๆ ตลอด ทำให้ไปถึงที่หมายไม่ทันเสมอและยิ่งถ้าวันไหนมีงานเร่งด่วน ก็ต้องเบี้ยวไม่ได้เข้าร่วมการเข้าร่วมประชุม
.
ในที่สุดฉันก็หายตัวจากวงการไปเลย Public Speaking Club สำหรับฉันจึงไม่ได้ตักตวงประโยชน์ได้มากเท่าที่ต้องการ มิเช่นนั้นแล้วหากฉันได้เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกพูดภาษาอังกฤษ ในที่สาธารณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ป่านนี้ฉันอาจจะเป็นนักพูด
นักการตลาด
นักอะไรต่อมิอะไร โดยไม่ได้มาเป็น เลขาฯ ตัวแสบ! แบบที่เป็นอยู่ในวันนี้ก็ได้!!
วันนี้ได้นำกิจกรรมต่าง ๆ ของ Club มาเล่าทำให้ระลึกถึงและคิดว่าในอนาคต หากโอกาสและสถานการณ์อำนวยฉันก็อาจจะกลับไปเข้าร่วมกิจกรรมอีกครั้งหนึ่ง ถึงตอนนั้นอาจจะได้พบท่านผู้อ่านและเพื่อน ๆ ในห้องนี้ แอบซุ่มไปฝึกพูดภาษาอังกฤษอยู่ที่เดียวกันด้วยก็ได้ใครจะรู้???
วิธีการศึกษาภาษาอังกฤษให้เก่งมีมากมายหลายวิธี แล้วแต่ความถนัดและความสนใจของแต่ละท่าน แต่ต้องเริ่มจากการเรียนรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจก่อน โดยต้องให้เวลามาก ๆ และทุ่มเทอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ สิ่งแรกและสำคัญมากที่สุดก็คือจะต้องรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษและไวยากรณ์พื้นฐานก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ จดจำคำศัพท์เพิ่มเติมจากสิ่งที่กำลังเรียนรู้ จำคำศัพท์เพิ่มวันละคำสองคำเมื่อครบปีก็จะได้หลายร้อย และถ้าทำต่อเนื่องหลาย ๆ ปีก็ได้คำศัพท์ใหม่เป็นพันเป็นหมื่นคำ ถ้าทำได้เช่นนี้แล้วยังไม่เก่งก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
..
ก่อนจะลาจากกันด้วยเรื่องของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษให้เก่งและใช้งานได้ ขอรวบรวมวิธีอื่น ๆ มาให้พิจารณานำไปใช้ตามความสนใจและความถนัดดังนี้
1. การเขียนจดหมายติดต่อกับ Pen Friends แต่เดี๋ยวนี้อาจจะเป็น e-mail on line ลอง search หารายละเอียดดูใน google 2. สมัครเป็นสมาชิก English Speaking Club ข้างต้นเพื่อฝึกพูดในที่สาธารณะ 3. สมัครเรียนที่ AUA หรือสถาบันอื่น ๆ ที่ใกล้ที่ทำงานหรือบ้านมากที่สุดเพื่อความสะดวก เพราะระยะทางไกลจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องการเดินทาง และจะทำไม่ได้ต่อเนื่อง 4. หลักสูตรภาษาอังกฤษตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ราคาไม่แพงเท่าโรงเรียนสอนภาษา ลอง search หา website ของแต่ละมหาวิทยาลัยที่สะดวกในการเดินทาง 5. อ่านหนังสือต่าง ๆ หรือหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษโดยเลือกบทความที่สนใจ 6. ซื้อหนังสือการสอนการเขียนการพูดอังกฤษและวิธีใช้ให้ถูกไวยากรณ์มาศึกษาเอง 7. ดูข่าว CNN เพราะพวกนักข่าวส่วนใหญ่จะต้องพูดช้าและชัด ทำให้สามารถจับใจความได้ง่ายกว่า ฟังบ่อย ๆ ก็จะคุ้น 8. ซื้อ DVD หนังฝรั่งประเภทหนังชีวิตเบา ๆ หรือหนังการ์ตูน โดยครั้งแรกอาจจะดู sub-title เป็นภาษาไทยเสียงในฟิล์ม ครั้งต่อไปดู sub-title เป็นภาษาอังกฤษเสียงในฟิล์ม ดูหลาย ๆ ครั้งและพยายามจับสำเนียงจนเข้าใจ ดูหลาย ๆ เรื่อง บ่อย ๆ ติดต่อกันสัก 1-2 ปี
.เก่งแน่นอน 9. ทำงานกับนายจ้างต่างชาติหรือในบริษัทที่มีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษ 10. หาเพื่อนหรือแฟนต่างชาติ :D แต่ละวิธีสามารถใช้ได้ผลดีทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องเน้นเรื่องของสถาบันเป็นหลักหรือเลือกประเภทของหนังสือ เพราะแต่ละสถาบันก็จะมีครูผู้สอนที่มีความรู้ความสามารถที่แตกต่างกันไป ส่วนหนังสือก็จะมีเทคนิคและคำแนะนำต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับความใส่ใจและสนใจในการนำแต่ละวิธีการมาใช้ และขึ้นอยู่กับผู้เรียนผู้ศึกษาว่าจะสามารถเก็บเกี่ยวความรู้มาใส่ตัวได้มากแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีเหมือนกันไม่ว่าคุณจะใช้วิธีไหนก็ตาม นั่นก็คือ การใช้เวลาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จึงจะประสบความสำเร็จได้อย่างที่คุณต้องการ อย่าลืมว่า
.
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว Rome is not built in one day!!!
จากคุณ :
เลขาฯ ตัวแสบ! (Destinyhurtsme)
- [
10 ม.ค. 51 12:56:28
]
|
|
|