Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอน….บังอาจทำธุรกิจส่วนตัว!!! (ภาค 1)

    …..ช่วงที่ลาออกจากบริษัทของเตี่ยในสมัยแรก
    ฉันได้ไปทำงานกับบริษัทตัวแทนยาต่างชาติแห่งหนึ่ง
    เวลาทำงานที่บริษัทยาแห่งนี้สั้นมาก
    เพราะทำงานเฉพาะวันจันทร์ถึงศุกร์ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.    
    ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีเวลาเหลือเฟือเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เคยทำงานอยู่กับเตี่ย
    ที่มีเวลาทำงานมากถึงสัปดาห์ละห้าวันครึ่งแถมยังต้องอยู่เย็น ๆ ดึก ๆ ด้วย    

    เมื่อเปลี่ยนที่ทำงานใหม่และมีเวลามากขึ้นจึงรู้สึกฟุ้งซ่านไม่มีที่ไป
    ฉันจึงคิดหา Job พิเศษทำหลังเลิกงานเพิ่ม    
    และได้ไปทำงานให้กับอาเสี่ยในบริษัทนำเข้าเครื่องจักรแห่งหนึ่ง  
    โดยเป็นงานเกี่ยวกับ correspondence มีหน้าที่ช่วยร่างจดหมาย
    Telex และ Fax ติดต่อกับต่างประเทศ
    สัปดาห์ละหลายวันหลังเลิกงานแล้วแต่อาเสี่ยจะเรียกใช้  

    ถึงแม้จะลาออกจากการทำงานกับเตี่ยแล้วฉันก็ยังไปมาหาสู่    
    และได้พบกับ Uncle ซึ่งเป็นลูกค้าชาวญี่ปุ่นของเตี่ยเหมือนเดิม
    คนที่ตั้งฉายาฉันว่า “Stone Head” หรือหัวแข็งไง….ยังจำกันได้ไหม?  
    ฉันได้เล่าเรื่อง Job พิเศษกับอาเสี่ยให้ Uncle ฟัง

    Uncle แสดงความคิดเห็นว่างานรับจ้างเขียนจดหมายภาษาอังกฤษ
    และการรับส่ง Telex และ Fax น่าจะเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ
    ถ้าฉันสามารถทำเป็นธุรกิจให้บริการ Secretarial Services
    ครบวงจรเป็นแบบ Business Center ได้ก็ไม่เลวทีเดียว

    คำพูดลอย ๆ ของ Uncle ในครั้งนั้นได้จุดประกายความคิดให้กับฉัน
    ประกอบกับการที่เป็นคนทะเยอทะยานอยากประสบความสำเร็จ
    เหมือนหลาย ๆ ตัวอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่ฉันได้ยินได้ฟังมาตลอด
    ทำให้ฉันคิดถึงเรื่องการทำธุรกิจส่วนตัวขึ้นมาทันที

    ฉันกลับบ้านไปคิดฟุ้งซ่านและฝันหวานต่ออยู่เป็นสัปดาห์
    จากนั้นจึงลงมือศึกษาเรื่องการทำธุรกิจเองอย่างเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง  
    ด้วยการซุ่มศึกษาโดยการซื้อหนังสือพิมพ์มานับสิบฉบับ
    เนื่องจากตอนนั้น Internet ยังไม่ได้แพร่หลายแบบวันนี้

    ฉันเริ่มด้วยการหาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจที่จะทำว่ามีใครกำลังทำอยู่ที่ไหนบ้าง
    และทำกันอย่างไรจากโฆษณาต่าง ๆ ในหนังสือพิมพ์  
    พร้อมทั้งศึกษาว่าถ้าฉันจะเปิดบริษัทจะต้องมีขั้นตอนอะไรบ้าง  

    นับตั้งแต่เริ่มทำงานตอนที่เรียนจบพานิชย์ 6 เดือน
    จนอายุเพิ่งเลยวัยเบญจเพสรวมเป็นเวลาเกือบ 10 ปี
    ตอนนั้นฉันเก็บสะสมเงินได้ก้อนหนึ่งประมาณแสนกว่าบาท
    บวกกับเงิน “ก้อนพิเศษ” อีกหนึ่งแสนบาทที่เพิ่งได้มาก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน
    รวมแล้วฉันมีเงินทุนประมาณสองแสนกว่าบาท

    เรื่องเงินพิเศษหนึ่งแสนบาทที่ได้มามีที่มาที่น่าสนใจ
    ที่ฉันขอแชร์ประสบการณ์มาให้อ่านกันด้วย….

    วันนั้นเป็นวันสุดสัปดาห์และอยู่ในช่วงตรุษจีนที่ไม่ต้องไปทำงาน
    ปกติวันตรุษจีนทุกปีจะเป็นวันนัดรวมญาติและจะมีการทำกิจกรรมร่วมกัน
    วันนั้นเผอิญฉันร่วมทำกิจกรรมหนักไปหน่อยจนเกือบสว่างและแทบจะไม่ได้นอน
    แต่เช้าวันนั้นฉันมีนัดกับเพื่อน ๆ ที่จะต้องพาลูกค้าญี่ปุ่นคนหนึ่ง
    ไปอยุธยาเพื่อเที่ยวชมโบราณสถานและไหว้พระตามวัดต่าง ๆ

    วันนั้นฉันตื่นสายและเผอิญไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีหรือผู้รับผิดชอบหลัก
    ตอนแรกจึงตั้งใจจะเบี้ยวและให้เพื่อน ๆ ไปกันเอง
    (แหะ ๆ  ไม่อยากจะเล่าเรื่องการขาดความรับผิดชอบตรงนี้เลย!)
    แต่เพื่อน ๆไม่ยอมและยินดีคอยฉันจึงต้องรีบหอบสังขารไปที่จุดนัดพบ

    หลังจากแวะเที่ยวชมโบราณสถานต่าง ๆ ระหว่างทางแล้ว
    เราก็ไปถึงวัดมงคลบพิตในจังหวัดอยุธยา
    บริเวณทางเดินก่อนขึ้นอุโบสถมีแม่ค้าขายล๊อตเตอรี่เรียงรายเป็นแถว
    เพื่อน ๆ ของฉันแวะซื้อล๊อตเตอรี่กันคนละใบสองใบ
    แต่ฉันไม่ได้ซื้อทั้ง ๆ ที่มีแม่ค้าคนหนึ่งพยายามหยิบยื่น
    และชักชวนให้ซื้อแต่ฉันปฏิเสธเพราะไม่ค่อยนิยมการเสี่ยงโชคแบบนี้

    ขณะที่กำลังไหว้พระบนอุโบสถฉันและเพื่อน ๆ ก็มีการเสี่ยงเซียมซีกัน
    ใบเซียมซีที่ฉันเสี่ยงได้บอกว่าฉันจะมีโชค
    แต่เป็นโชคที่ได้เท่าที่ได้สร้างสมมาหรือทำมาเท่าไรก็ได้เท่านั้น
    หากต้องการเพิ่มก็ต้องสร้างกรรมดีต่ออีก
    จึงจะได้รับโชคลาภเพิ่มเติมเป็นการตอบแทน

    ขาลงจากอุโบสถฉันจึงตรงไปหาแม่ค้าคนนั้น
    พร้อมกับขอล๊อตเตอรี่หนึ่งใบและให้แม่ค้าเลือกเลขอะไรให้ก็ได้
    แม่ค้าเลือกมาให้สองใบที่เป็นเลขเดียวกัน
    แต่ฉันบอกว่าขอใบเดียวก็พอ

    แม่ค้าพยายามยัดเยียดให้ฉันรับไปทั้งสองใบตามประสาคนขายทั่ว ๆ ไป
    ฉันยืนยันคำเดิมว่าขอเพียงใบเดียวก็พอเพราะไม่มีตังค์
    แม่ค้าจึงยอมยุติการคะยั้นคะยอ
    เมื่อผลสลากออกมาในงวดนั้นปรากฏว่าฉันถูกรางวัลเป็นเงินหนึ่งแสนบาท!!

    ตอนหลังฉันเอาเซียมซีมาอ่านอีกรอบรู้สึกขนลุก
    อะไรจะแม่นยำปานนั้น…
    มีโชค…แต่สร้างสมมาเท่าไรก็จะได้รับแค่นั้น….
    หากต้องการโชคเพิ่มก็ต้องสร้างบุญกุศลและคุณความดีมากขึ้นอีก
    มิน่าล่ะ!  ฉันจึงปฏิเสธการยัดเยียดจากแม่ค้า
    และถูกล๊อตเตอรี่เพียงใบเดียว!!

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงเป็นที่มาของความเชื่อของฉันในเรื่องบาป บุญ คุณโทษ  
    รวมทั้งโชคลาภต่าง ๆ ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องของความบังเอิญ
    แต่เป็นเรื่องที่เกิดจากการกระทำของเราและถูกกำหนดมาแล้ว
    ว่าจะต้องเป็นไปตามนั้น  
    และเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นกับฉันอยู่เสมอ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกเรื่อง
    ทำให้หลายครั้งฉันต้องเปลี่ยนคำกล่าวที่ว่า
    30 ลิขิตฟ้า….70 ต้องฝ่าฝัน  มาเป็น
    70 ลิขิตฟ้า….30 ต้องฝ่าฝัน!

    แต่ถึงแม้จะเชื่อว่า 70% เป็นลิขิตฟ้าก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะงอมืองอเท้า
    ไม่ทำอะไรและหวังคอยฟ้ามาลิขิตชีวิตเพียงอย่างเดียวหรือก็เปล่า
    เพียงแต่ความเชื่อจะทำให้ฉันรู้สึกสบายใจว่า
    ถึงแม้ฉันจะฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยความมานะอุตสาหะเต็มร้อย
    แต่หากต้องล้มเหลวหรือไม่สมหวัง
    ฉันก็จะถือว่านั่นคือลิขิตฟ้าที่ไม่สามารถทำให้ฉันประสบความสำเร็จ
    และถ้าฉันยิ่งย่อท้อ….ลิขิตฟ้าก็จะยิ่งไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้….

    สรุปแล้วขณะนั้นฉันมีเงินที่จะใช้เป็นทุนเปิดบริษัทจำนวนสองแสนกว่าบาท    
    ซึ่งเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายประมาณการคร่าว ๆ ดูแล้ว
    เพียงพอสำหรับการจะเริ่มต้นทำธุรกิจใหม่ได้
    โดยสามารถที่จะซื้อ Computer 1 ตัว   เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้า 1 เครื่อง  
    เครื่องพิมพ์ดีดธรรมดาภาษาไทยและภาษาอังกฤษอย่างละ 1 เครื่อง  
    ขาดแต่เครื่อง fax ซึ่งตอนนั้นราคายังแพงอยู่และสูงถึงเครื่องละหลาย ๆ หมื่นบาท  
    ส่วนเครื่อง Telex ไม่ต้องซื้อแต่สามารถเช่าเป็นรายเดือน
    หรือรายปีกับการสื่อสารแห่งประเทศไทยได้    

    ฉันใช้เวลาเตรียมการประมาณ 2-3 เดือนในการศึกษา
    และรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับการเปิดบริษัทฯ
    ในขณะที่ฉันก็ยังคงทำงานอยู่กับบริษัทยา    

    เมื่อเขียนโครงการคร่าว ๆ เสร็จแล้วฉันได้ไปขอพบเตี่ย
    เพื่อปรึกษาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการทำธุรกิจดังกล่าว
    เพราะนอกจากเตี่ยฉันไม่ได้สนิทกับใครที่มีความรู้เรื่องธุรกิจ  
    และที่สำคัญฉันต้องการสถานที่สำหรับใช้เป็นสำนักงาน
    ซึ่งฉันรู้ว่าเตี่ยได้เช่าตึกแถว 4 ชั้นในซอยแห่งหนึ่งบนถนนสีลม
    สำหรับทำเป็นโรงงานซึ่งชั้นล่างว่างและไม่ได้ติดป้ายชื่อบริษัท
    ฉันจึงขออนุญาตเตี่ยขอเช่าต่อพื้นที่ที่ว่างนั้น

    เตี่ยตกลงอนุญาตให้ฉันเช่าต่อห้องชั้นล่างขนาดประมาณ 5x6 ตรม.
    ในราคาค่าเช่าเดือนละ 3,000 บาทจากค่าเช่าทั้งตึกที่เตี่ยเช่าอยู่ 12,000 บาท
    และเมื่อรู้ว่าฉันยังขาดเงินทุนสำหรับซื้อเครื่อง fax
    เตี่ยได้กรุณามอบเงินทุนเพิ่มเติมให้ฉันอีกเป็นจำนวน 90,000 บาท
    ซึ่งตอนหลังฉันไม่ได้นำเงินนี้ไปซื้อเครื่อง fax
    แต่นำไปสมทบทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
    และขอใช้เครื่อง fax ที่ office ของเตี่ยแทนในระยะแรก

    เมื่อรวบรวมเงินได้ทั้งหมดจำนวน 300,000 บาท
    ฉันจึงได้เปิดสำนักานจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดในเวลาต่อมา

    ก่อนเริ่มต้นธุรกิจและการเปิดบริษัทของฉันไม่ใช่เรื่องง่าย
    ฉันได้ฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการเตรียมการและเตรียมข้อมูลต่าง ๆนั้น
    เป็นช่วงที่คุณพ่อของฉันป่วยหนักอยู่ที่โรงพยาบาล
    ฉันจึงต้องวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลสลับกับการทำงานประจำ
    แล้วยังต้องยุ่งอยู่กับการดำเนินการในเรื่องการจดทะเบียนบริษัทด้วย
    แต่โชคดีที่ฉันมีน้องสาว “น้องเล็ก” คอยช่วยวิ่งเต้นธุระต่าง ๆ แทน
    น้องเล็กเรียนครูภาคค่ำและมีเวลาว่างในตอนกลางวัน
    จึงสามารถช่วยแบ่งเบาภาระของฉันไปได้มากทีเดียว

    หลังจากจดทะเบียนเปิดบริษัทได้เพียง 5 วันคุณพ่อของฉันก็เสียชีวิต
    ถึงแม้คุณพ่อมีโอกาสได้รับรู้และได้ร่วมภาคภูมิใจ
    กับการเปิดบริษัทใหม่ก่อนที่จะจากไปอย่างไม่มีวันกลับก็ตาม
    แต่ฉันก็รู้สึกโศกเศร้าและเสียใจที่คุณพ่อไม่มีโอกาส
    ได้อยู่เป็นกำลังใจให้ฉันได้นานกว่านี้

    หลังจากคุณพ่อเสียชีวิตฉันก็ได้ข่าวการจากไปของผู้มีพระคุณอีกท่านหนึ่ง
    ภายในเวลาห่างกันไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์
    เป็นเหมือน After Shock ที่ยิ่งเพิ่มความเศร้าโศกเสียใจให้ฉันยกกำลังสอง
    เพราะวันที่เตี่ยเป็นเจ้าภาพงานศพให้กับคุณพ่อของฉัน
    เตี่ยได้แจ้งข่าวร้ายให้แก่ฉันซึ่งเป็นการเสียชีวิตของ “Uncle” นั่นเอง!

    ก่อนหน้านี้ฉันฝันหวานว่าหาก Uncle มาเมืองไทยครั้งต่อไป
    ฉันจะต้องนำเรื่องการเปิดบริษัทที่เกิดจากแรงบันดาลใจของ Uncle
    ไป “อวด” และ “surprise” ให้กับ “Uncle”
    และจะเลี้ยงฉลองใหญ่ให้กับ Uncle และเตี่ยเป็นการตอบแทน

    แต่ฝันของฉันสลายไปเสียแล้ว….
    เพราะนอกจากการสูญเสียคุณพ่ออันเป็นที่เคารพรัก….
    แล้วยังต้องมาสูญเสีย Uncle ผู้มีพระคุณพร้อม ๆ กันอีก
    น้ำตาฉันไหลจนเหือดแห้งและตกในไปพร้อมกับงานศพของคุณพ่อ
    และข่าวการเสียชีวิตของ Uncle อย่างสุดที่จะพรรณนา

    เดือนต่อมาภรรยาและบุตรชายนำรูปถ่ายของ Uncle
    มาทำพิธีไว้อาลัยในเมืองไทยสำหรับเพื่อนฝูงและคนสนิท
    งานพิธีถูกจัดขึ้น ณ โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
    เห็นรูปแล้วยิ่งคิดถึงและเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้ขอบคุณและอวด Uncle
    เพื่อให้ Uncle ร่วมภาคภูมิใจกับสิ่งที่ฉันได้สร้างขึ้น
    จากแรงบันดาลใจที่ได้รับจาก Uncle

    ในระหว่างพิธีทางศาสนาฉันจึงไม่สามารถอดกลั้นเสียงร้องไห้โฮเอาไว้ได้  
    ทำให้ขนาดลูกชายวัยซ่าของ Uncle ต้องเข้ามาตบไหล่และปลอบโยนฉันอยู่เป็นนาน….

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 15 ม.ค. 51 22:49:51 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom