ขออภัย...ชื่อตอนผิด...
Link สำหรับเนื้อหาตามชื่อกระทู้ที่ถูกต้องที่ได้ตั้งขึ้นใหม่แล้วคือ
http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6247789/B6247789.html
ส่วนเนื้อหาในกระทู้นี้ชื่อตอนที่ถูกต้องเป็น
เลขาฯ ตัวแสบ! ตอน
.บังอาจทำธุรกิจส่วนตัว!!! (ภาค 2)
และได้ชี้แจงแก่ท่านผู้อ่านเพิ่มเติมตาม link นี้
http://www.pantip.com/cafe/silom/topic/B6245103/B6245103.html
ขออภัยในความสับสนและไม่สะดวก...
=========================================================================
..ถึงแม้น้องเล็กต้องน้ำตาตกในกับสิ่งที่ฉันร้องขอ
เพราะเมื่อโอนเงินจำนวน 3 แสนบาทมาให้ฉันแล้ว
หมายถึงบริษัทจะเหลือเงินอีกเพียง 1 แสนบาท
สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ถ้าเงินที่มีอยู่ไม่พอกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน
นั่นก็หมายถึงปัญหาที่เธอจะต้องหาทางแก้ไขเอง
หลังจากที่ฉันไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว
ฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันทำเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวเป็นอย่างมาก
ที่ทำเพื่อสนองความต้องการของตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียว
โดยไม่คิดถึงภาระที่อาจจะเกิดแก่น้องเล็กหลังจากที่ฉันจากไปแล้ว
แต่น้องเล็กก็เข้าใจฉันดีและสนับสนุนในสิ่งที่ฉันจะกระทำ
ก่อนเดินทางกลับไปซาอุฯ อีกครั้งหนึ่งหลังจากงานศพของคุณแม่
ซึ่งเป็นงานศพงานที่ 2 ที่เตี่ยได้ร่วมเป็นเจ้าภาพหลังจากงานศพของคุณพ่อ
ฉันไปพบเตี่ยเพื่อขอบคุณและเพื่อลากลับไปซาอุฯ อีกครั้งหนึ่ง
ก่อนกลับฉันได้มอบเช็คเงินสดจำนวนเงิน 3 แสนบาทให้เตี่ย
ฉันบอกเตี่ยว่านี่เป็นผลกำไรที่ได้จากเงินที่เตี่ยช่วยเหลือฉันในวันเปิดบริษัท
เป็นการตอบแทนพระคุณของเตี่ยสำหรับความกรุณาที่มอบให้ฉันตลอดมา
ฉันดีใจที่ในที่สุดเตี่ยยอมรับเช็คใบนั้นจากฉันหลังจากที่ฉันได้ยืนยันเจตนารมณ์
ขอให้เตี่ยรับไว้เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ฉันสามารถตอบแทนเตี่ย
ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ฉันจะกระทำได้ในขณะนั้น
เพราะฉันไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร?
หลังจากฉันเดินทางกลับไปซาอุฯ แล้ว
น้องเล็กก็ดำเนินธุรกิจต่อเหมือนเดิม
และยังคงเช่าสำนักงานห้องเล็ก ๆ จากเตี่ย
แต่ครั้งนี้น้องเล็กมี น้องรอง ของฉันมาช่วยงานเพิ่มอีกคน
น้องรองคนนี้คือคนที่เคยไปทำงานกับญาติแทนฉันนั่นเอง
เธอลาออกจากงานที่บ้านญาติหลังจากไปช่วยสร้างระบบงาน
จนทำให้โรงงานผลิตรถไถนาของญาติเข้าที่เข้าทาง
และกลับมาอยู่บ้านเพื่อดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 4-5 ปี
เมื่อคุณแม่เสียชีวิตเธอจึงมีโอกาสได้เข้ามาช่วยงานน้องเล็กอีกแรงหนึ่ง
หลังจากเช่าห้องเล็ก ๆ ต่อจากเตี่ยเป็นได้ประมาณ 4-5 ปี
เจ้าของตึกแถวซึ่งได้เพิ่มค่าเช่าของเตี่ยตลอดทุกปี
จากเริ่มแรก 12,000 บาท และล่าสุดขึ้นเป็น 24,000 บาทต่อเดือน
และเนื่องจากธุรกิจของโรงงานไม่คุ้มกับค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เตี่ยจึงย้ายออกและน้องเล็กของฉันได้รับช่วงเช่าตึกนั้นตรงจากเจ้าของ
จากค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวพร้อมกับค่าใช้จ่ายอื่น ๆ
ที่เพิ่มมากขึ้นเป็นเงาตามตัวตามมาอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ทั้งน้องเล็กและน้องรองของฉันต้องทำงานหนักมากขึ้น
ถึงแม้พนักงานจะทำงานกันตั้งแต่ 08.30-17.00 น. สัปดาห์ละ 5 วันครึ่ง
แต่น้องทั้งสองของฉันต้องทำงานทุกวันแทบไม่มีวันหยุด
และต้องอยู่ดึก ๆ ถึง 3-4 ทุ่มหรือดึกกว่านั้นเกือบทุกวัน
ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์เงินเดือนอาจจะไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้
แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจส่วนตัวถือเป็นเรื่องปกติที่ไม่ทำไม่ได้
เพราะนั่นหมายถึงค่าใช้จ่ายที่รออยู่ข้างหน้า
จะไม่มีรายได้เพียงพอเพื่อมาจุนเจือ
หลังจากกลับไปซาอุฯ รอบสอง
น้องเล็กส่ง fax ติดต่อกับฉันเรื่องธุรกิจน้อยลง
เพราะเธอมีที่ปรึกษาและคู่หูที่ดีคนใหม่
ซึ่งก็คือน้องรองของฉันนั่นเอง
Fax ที่เราเขียนถึงกันจึงหนักไปทางเรื่องสาระทุกข์สุขดิบ
และเรื่องส่วนตัวทั่ว ๆ ไปเป็นส่วนใหญ่
ฉันอยู่ซาอุฯ ต่ออีก 3 ปีก็ได้เวลาต้องกลับเมืองไทย
ก่อนกลับฉันวางแผนไว้ว่าจะทำงานในเมืองไทยสักระยะหนึ่ง
จนกว่าจะมีโอกาสไปต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง
ตามหลักฉันควรจะต้องกลับมาดำเนินธุรกิจที่ได้สร้างไว้แต่แรก
แต่ฉันเลือกที่จะไม่ทำเช่นนั้น
.
เพราะฉันทิ้งธุรกิจให้ทั้งน้องเล็กและน้องรองนานเกินไป
นานมากจนธุรกิจนี้กลายเป็นความผูกพันธ์
เป็นส่วนหนึ่ง
ของชีวิตของน้องทั้งสองของฉันไปแล้ว
ฉันเสียอีกที่ทิ้งมันไปอย่างไม่ไยดี
แล้วมาถึงวันนี้
.
วันที่ธุรกิจเติบโตด้วยหยาดเหงื่อแรงกายและด้วยฝีมือของน้อง ๆ
ฉันจึงไม่สมควรชุบมือเปิบเข้าไปแตะต้องธุรกิจแม้แต่น้อย
และคงไม่ใจร้ายพอที่จะทำให้น้องทั้งสองต้องลำบากใจ
และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ฉันต้องกลับไปทำงานรับใช้เตี่ยในสมัยที่ 2
ตอนที่ฉันกลับจากซาอุฯ มาถึงเมืองไทย
น้อง ๆ กำลังจะย้ายออฟฟิศหนีจากตึกแถว 4 ชั้นนั้นแล้ว
ไม่ใช่เพราะค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นอีกจนแบกภาระไม่ไหว
แต่เป็นเพราะทั้งน้องเล็กและน้องรองได้แอบ
ไปซื้อ Residential Office Building สูง 6 ชั้น
ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้างและใกล้เสร็จ
พร้อมย้ายอีกไม่กี่เดือนในตอนนั้น
ฉันรู้สึกช๊อกกับข่าวนี้เพราะน้องทั้งสองไม่เคยแพร่งพราย
ให้ฉันได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ในระหว่างที่อยู่ซาอุฯ เลย
อาการช๊อกและความรู้สึกสับสนยังฝังลึก
อยู่ในใจและจิตใต้สำนึกของฉันตลอดเวลาจนถึงวันนี้
วันที่กลับกลายเป็นว่าอาคารสำนักงานที่ได้มาจากการตรากตรำงานหนัก
ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานและหยดน้ำตาของน้องทั้งสองของฉัน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
.
มีชื่อฉันเป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว!!!
ทั้งน้องเล็กและน้องรองมีความภาคภูมิใจกับอาคารสำนักงาน
พร้อมที่พักที่สร้างมาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอทั้งสองแห่งนี้
เมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์จึงได้ย้ายที่ทำงานจากตึกแถวเก่า ๆ
เข้าไปอยู่สำนักงานใหม่ที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายและสะอาดตา
ในขณะที่ตัวฉันได้เดินหน้ากลับไปทำงานกับเตี่ยเป็นสมัยที่ 2
แต่ทำงานอยู่กับเตี่ยอีกเพียง 2 ปีเท่านั้น
ฉันก็มีความจำเป็นต้องไปต่างประเทศอีก
ครั้งนี้ไปอยู่กรุงเอเธนส์ประเทศกรีซ
แต่ในที่สุดฉันก็หนีบ่วงกรรมแห่งชีวิตไม่พ้น
เพราะไปอยู่ได้เพียง 2 ปีครึ่งฉันก็ถูกมรสุมยักษ์พัดคลื่นลูกใหญ่
ซัดฉันกลับเมืองไทยพร้อมกับสภาพจิตใจที่บอบช้ำที่สุดในชีวิต!
นับเป็นมรสุมชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ที่โหดร้าย
และเป็นช่วงที่ชีวิตของฉันตกต่ำมากที่สุด
ที่ทำให้ฉันรู้สึกท้อแท้
สิ้นหวัง
และหมดกำลังใจ
จนเกือบเป็นโรคซึมเศร้าและเหมือนคนสิ้นสภาพ!
กลับมาครั้งนี้ไม่มีอกแม่ให้ซบเหมือนทุกครั้ง
แต่ฉันต้องซบอกน้อง ๆ แทน
ฉันใช้เวลาเยียวยารักษาสภาพจิตใจตัวเองอยู่หลายปี
จนเมื่อคิดว่าสามารถทำใจยอมรับสภาพ
กับมรสุมที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้แล้ว
ฉันจึงได้กลับไปทำงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่ก็ไม่วายเจอปัญหาการถูกเลิกจ้างตามที่ได้เล่าในตอนต้น
จนมาถึงวันนี้
วันที่ความโชคร้ายทั้งหลายหมดไปแล้ว
วันที่สภาพจิตใจของฉันเข้มแข็งดีแล้ว
วันที่ฉันมีความพอใจกับชีวิตมากที่สุดแล้ว
วันที่ฉันอยากจะทำอะไรเพื่อผู้อื่นบ้าง
และในวันนี้
.
วันที่ฉันลุกขึ้นมานั่งเขียนและเล่าประสบการณ์ชีวิต
ที่ทุกท่านกำลังอ่านอยู่นี้
ด้วยหวังว่าบางช่วงประสบการณ์ชีวิตที่เกิดขึ้นกับฉัน
อาจจะให้แง่คิดที่เป็นประโยชน์
เป็นกำลังใจและเป็นแรงบันดาลใจให้แก่ท่านผู้อ่าน
เพื่อลุกขึ้นมาต่อสู้ชีวิตเช่นเดียวกับฉันบ้าง
ปัจจุบันธุรกิจที่ฉันเป็นผู้ริเริ่มสร้างขึ้น
แต่เติบโตด้วยฝีมือของน้องเล็กและน้องรองของฉัน
ได้กลายพันธ์โดยเปลี่ยนรูปแบบการบริการ
ที่เคยมีตั้งแต่ต้นไปจนหมดสิ้นแล้ว
และได้สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่รู้จักดี
ในวงการธุรกิจจัดหางานโดยเฉพาะในแวดวงบริษัทต่างชาติ
นอกจากฝีมือของน้องเล็กและน้องรองของฉันแล้ว
เธอทั้งสองยังมีพร้อมด้วยทีมงานที่แข็งแกร่ง
ที่ช่วยกันสร้างองค์กรให้ค่อย ๆ เติบโตอย่างช้า ๆ แต่ต่อเนื่อง
แม้น้องเล็กของฉันจะทำงานหนักและเหนื่อยมาตลอด
แต่เธอยังได้ปลีกเวลาไปเรียนจนจบปริญญาโท
หลักสูตร Human Resources Management ที่
College of Management Mahidol University
ที่ยิ่งทำให้เธอสามารถนำความรู้ด้านบุคลากร
ทั้งจากประสบการณ์จริงที่โชกโชนและทฤษฏีที่ได้ร่ำเรียนมา
ผสมผสานจนทำให้เธอสามารถประคับประคององค์กร
และไต่เต้าขึ้นมาสู่ระดับแนวหน้าในวงการจัดหางาน
ถ้าฉันเอ่ยชื่อบริษัทนี้ฉันมั่นใจว่าหลายท่านจะต้องร้อง อ๋อ! เป็นแน่
ถ้าเดาออกหรือรู้แล้วก็ช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะ!
ก่อนจบบทนี้
ขอฝากข้อคิดเพื่อเตือนใจดังนี้
เตือนตน
.
คนเราต้องเตือนตน
ไม่ให้ลืมตน
อย่าทะนงว่าตนนั้น
เลอเลิศไปกว่าคนอื่น
ในโลกนี้มีคนที่ดีกว่าเราเสมอ
.
แก้ไขเมื่อ 20 ม.ค. 51 16:57:31
แก้ไขเมื่อ 17 ม.ค. 51 07:51:19