Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน…..ชีวิตในต่างแดน….สุขหรือเศร้า? (ภาค 1)

    …..Do You Believe In Destiny?
    ท่านเชื่อเรื่องของพรหมลิขิตหรือไม่?
    คู่กันแล้ว…..ไม่แคล้วกัน!!
    จริงหรือ?
    ท่านคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันทั้งหมดเข้าข่าย  
    คู่กันแล้ว…..ไม่แคล้วกัน!!  
    ใช่หรือไม่???

    คืนนั้นหลังจากกลับถึงบ้านพี่ดาก็โทรมาหาฉันทันที
    เธอเล่าว่าทุกคนที่บ้านคุณด๋องตกใจมาก
    กับเรื่องที่ฉันขอ “ยกเลิก” การแต่งงานกับคุณด๋อง
    และขอให้เธอโทรมาสอบถามเหตุผลและข้อเท็จจริง

    ฉันให้เหตุผลเหมือนกับที่บอกกับคุณด๋อง
    และได้ยืนยันเจตนารมณ์เดิมอย่างหนักแน่น  
    พี่ดาพยายามเกลี้ยกล่อมฉัน
    ด้วยการชักแม่น้ำทั้ง 5 (ร้อย) สาย
    จนในที่สุดฉันก็ต้อง “ยอมแพ้” และตอบตกลง
    ให้มีการแต่งงานเหมือนเดิมจนได้!

    เราแต่งงานกันในเดือนมกราคมและไม่กี่เดือนต่อมา  
    คุณด๋องก็ได้รับคำสั่งให้ไปประจำการ ณ สถานทูตไทย
    ประจำประเทศซาอุดิอาระเบียในตำแหน่งเลขานุการตรี
    เป็นเวลา 4 ปีซึ่งเป็นเทอมปกติที่มีกำหนดเวลาแน่นอน
    สำหรับการออกไปประจำการในต่างประเทศ
    ของข้าราชการประจำกระทรวงต่างประเทศ
    เมื่อครบกำหนดจึงจะกลับเข้ามาประจำการในกระทรวงฯ อีก

    แต่ระยะเวลาอยู่ในประเทศไทยอาจจะมีกำหนด 2-6 ปี
    ไม่แน่นอนเหมือนกับระยะเวลาที่ไปประจำการในต่างประเทศ
    ทำสลับกันเช่นนี้จน “เกษียณ” อายุราชการ

    แต่สำหรับระดับเอกอัครราชทูตอาจจะอยู่ต่างประเทศตลอด
    โดยไม่ต้องกลับเข้ามาประจำการในกระทรวงฯ ก็มี
    นั่นก็คือเมื่ออยู่ครบ 4 ปีหรือน้อยกว่าในประเทศหนึ่ง
    ก็สามารถไปปฏิบัตหน้าที่ต่อยังอีกประเทศหนึ่ง
    โดยไม่ต้องกลับเข้ามาประจำการในกระทรวงฯ ก็ได้

    ฉันรู้สึก “ใจหาย” ที่จะต้องจากบ้านเกิดไปอยู่ต่างประเทศ
    ถึงแม้จะรู้ล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนตกลงแต่งงานกับเขาแล้ว
    ใจหายเพราะต้องจากคุณแม่และพี่น้องเพื่อนฝูง  
    ใจหายเพราะต้องทิ้งงานที่ทำและธุรกิจส่วนตัว  
    เพื่อติดตามเขาไปเป็นแม่บ้านคอยดูแลปรนนิบัติ
    และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะภรรยานักการทูต

    ฉันตัดสินใจอยู่นานว่าฉันควรจะ “ทิ้งทุกอย่าง” ในเมืองไทย
    และติดตามเขาไปอยู่ “ซาอุดิอาระเบีย” หรือไม่
    ฉันรู้ดีว่าโดย “หน้าที่” ฉันปฏิเสธไม่ได้
    แต่ถ้าถามใจตัวเอง…แน่นอนฉันไม่อยากไป

    ฉันรู้ดีว่าหากฉันไม่ไปชีวิตคู่ที่ “เปราะบาง” อยู่แล้วของเรา
    อันเกิดมาจากความมี “อีโก้” ของฉันเองตั้งแต่ต้น
    จะต้อง “พังลง” ไปพร้อมกับการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ของเขา

    ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจติดตามเขาไป
    เพราะคิดว่าชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกันโดยลำพัง
    และการเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างเช่นต่างประเทศ
    น่าจะช่วยเปลี่ยนแปลงและทำให้ชีวิตคู่ของเราดีขึ้น

    ประมาณ 2 เดือนก่อนการเดินทาง  
    ฉันยังคงทำงานเป็นเลขานุการ
    ให้กับเจ้านายชาวอังกฤษในบริษัทน้ำดำแห่งหนึ่ง
    วันหนึ่งประชาสัมพันธ์แจ้งฉันว่ามีเจ้าหน้าที่มาพบ  
    และเธอได้เชิญให้นั่งคอยอยู่ในห้องประชุมของบริษัทแล้ว

    เมื่อเข้าไปในห้องประชุมฉันพบเจ้าหน้าที่
    ซึ่งเธอได้แนะนำตัวว่ามาจากส่วนราชการ  
    เพื่อมาสัมภาษณ์ประวัติส่วนตัวของฉัน
    ก่อนการพิจารณาอนุมัติให้ฉันสามารถติดตามสามี
    ไปปฏิบัติหน้าที่ภรรยานักการทูตได้

    ฉันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
    เจ้าหน้าที่ถามคำถามละเอียดยิบเกี่ยวกับตัวฉัน  
    ประวัติส่วนตัว
    ประวัติครอบครัว
    ประวัติการศึกษา
    ประวัติการทำงาน
    และอื่น ๆ อีกมาก

    ฉันมาทราบภายหลังว่าการสัมภาษณ์ลักษณะนี้
    เหมือนการ “สืบประวัติ”
    เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่จะติดตามเจ้าหน้าที่การทูต
    ไปปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศต้องมีคุณสมบัติที่เหมาะสม
    ไม่มีประวัติ “ด่างพร้อย” ที่จะทำให้สถานทูต
    ซึ่งเป็นตัวแทนประเทศไทย “เสื่อมเสียชื่อเสียง” ในภายหลัง

    การเข้ารับราชการในกระทรวงต่างประเทศใน “อดีต”
    เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปได้ยากสำหรับ “บุคคลทั่วไป”
    โดยผู้ที่สามารถทำงานกระทรวงต่างประเทศได้
    จะต้องเป็นลูกท่านหลานเธอที่มีการศึกษาสูง
    มีความรู้ดีเกี่ยวกับการบ้านการเมืองภายในประเทศ

    โดยเฉพาะบรรดาลูกหลานของอดีตทูตฯ
    หรือข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ
    ผู้ซึ่งมีโอกาสไปร่ำเรียนในต่างประเทศ
    จนสามารถเข้าใจวัฒนธรรมของต่างชาติ

    ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติที่มีความสำคัญ
    เป็นอันดับต้น ๆ ที่นักการทูตจะต้องมี
    โดยเฉพาะความรู้เรื่องภาษาต่างประเทศ
    และเรื่องเกี่ยวกับการต่างประเทศที่มีความจำเป็นยิ่ง

    ดังนั้นโอกาสที่คนธรรมดาสามัญชนอย่างคุณด๋อง
    จะได้เข้าไปทำงานรับราชการในกระทรวงฯ จึงน้อยมาก

    ถึงแม้ว่าใน “ปัจจุบัน” กระทรวงต่างประเทศ
    จะเปิดกว้างสำหรับบุคคลภายนอกมากขึ้น
    แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถผ่านด่านการสอบเข้มเข้าไปได้ง่ายอย่างที่คิด
    เพราะกว่าคุณด๋องจะสอบเข้ากระทรวงต่างประเทศได้
    เขาเล่าให้ฉันฟังว่าเขาต้องสอบถึง “3 ปี” ติดต่อกันจึงจะได้

    คุณด๋องจบปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์
    (ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทูต)
    จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    จบปริญญาตรีสาขาประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

    และก่อนเข้ามาทำงานในกระทรวงการต่างประเทศ
    เคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่มูลนิธิ
    Save the Children สหรัฐอเมริกา
    ณ ศูนย์ลี้ภัยอินโดจีน พนัสนิคม ชลบุรี

    เคยทำงานในสถานเอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกา
    ประจำประเทศไทย
    เป็นเจ้าหน้าที่โครงการการจัดส่งชาวเวียดนาม
    ไปตั้งถิ่นฐานในประเทศที่สามอย่างเป็นระเบียบ
    (Orderly Departure Programme = ODP)

    เขาเล่าว่าหลังจากสอบข้อเขียนได้แล้ว
    ยังต้องสอบสัมภาษณ์และเข้าร่วม “กิจกรรมนอกสถานที่”
    กับผู้สมัครอื่น ๆ เหมือนกิจกรรมของนางสาวไทยสมัยนี้
    เพื่อให้คณะกรรมการสังเกต “พฤติกรรม” การอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
    รวมถึงการแสดงออกต่าง ๆ ในระหว่างกิจกรรม

    จากนั้นก็จะมีการสืบประวัติของผู้สมัคร
    และ “สมาชิกทุกคน” ของครอบครัวอย่างละเอียดยิบ
    เพื่อให้มั่นใจว่าไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสียอีกด้วย
    จำไม่ได้แล้วว่าปีหนึ่ง ๆ ทางกระทรวงฯ จะรับข้าราชการกี่คน
    แต่ในปีนั้นคุณด๋องสอบได้ “อันดับที่ 13”

    ในวันที่ 21 มิถุนายน ซึ่งเป็นเวลา 5 เดือนหลังการแต่งงาน
    ฉันก็เดินทางติดตามคุณด๋องซึ่งไปเป็นนักการทูต
    ประจำ “สถานเอกอัครราชทูตไทย”
    ณ กรุงริยาดประเทศซาอุดิอาระเบีย…..

     
     

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 31 ม.ค. 51 12:37:39 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom