ความคิดเห็นที่ 4
เหมียว
ไม่ได้คุยซะนานนะ หลังจากที่เหมียวได้ฟังเฮียโกและคุณจิมมี่แสดงความ
คิดเห็นมาแล้ว ต่อมาก็ถึงลุงแอ็ดบ้าง
1. เข้าใจว่าบริษัทของเหมียว คงเป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่มีผลงานดี มี
คุณภาพสูง มิฉะนั้น บริษัทใหญ่เขาคงจะไม่นำเรามาพิจารณา ซึ่งเขามี
บริษัทให้เลือกเป็นร้อยเป็นพัน ที่ทำธุรกิจเดียวกับเรา ในขณะเดียวกัน เขา
ก็มองถึงความเป็นไปได้ในกรณีที่ชวนเราให้เข้า JV เพื่อผลประโยชน์อะไร
บางอย่างที่น่าศึกษาต่อไป
ดังนั้น ทำไมเขาจึงมาชวนเรา เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และต้องตีความนี้ให้แตก
ว่าถ้าเขาได้เราเข้าเป็น JV เขาจะได้อะไร เขาจะเสียอะไร เรื่องนี้ก็หาได้
จากการสอบถามบริษัทที่เข้ามาคุยกันนั้น แต่อย่าไปเชื่อเขาให้มาก เพราะ
จริงๆ แล้วเขาไม่บอกเราหมดหรอก เราควรเอาข้อความที่เขาพูด อัดเอ็ม
พี 4 ไว้ก็ได้ แล้วนำมาเปิดเพื่อศึกษากัน
2. การที่เราจะทำงานอยู่คนเดียว มีนายทุนคนเดียว มีลูกน้องอยู่สี่ซ้าห้า
คน ทำกันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้เป็นไปค่อนข้างยาก โดยเฉพาะธุรกิจ IT อย่าง
ที่เหมียวทำ เพราะเป็นงานที่ก้าวหน้าเร็วมาก ต้องใช้การลงทุนสูง โดย
เฉพาะเรื่องคน และเรื่อง Know How.....ถึงเวลาแล้วหรื่อไม่ ที่เราสมควร
มานั่งสุมหัวกันระหว่างหุ้นส่วนทั้งหลายว่า "ตอนนี้มีคนมาจีบแล้วว้อย...." ก็
มานั่งระดมความคิดเห็นกัน ว่าเขามาจีบเราทำไม เราสวยตรงไหน สายงาน
ที่เราทำอยู่นี้มีอนาคตอันดีงาม เพียงพอที่เขาจะมาชวนเราไป JV ด้วยหรือ
ไม่....ตรงนี้ก็ทำถือโอกาสได้ Evaluate บริษัท, Porduct, Market ฯลฯ ของ
บริษัทไปในตัว
การที่เราทำอย่างนี้ บางทีเราก็ได้ภาพของบริษัทเราออกมาอย่างชัดเจนว่า
เราสวยตรงไหน ขี้เหร่ตรงไหน ควรจะปรับปรุงและพัฒนาตรงไหน ใช้ทุน
เท่าไหร่ มีทุนหรือไม่ มีเวลาในการพัฒนาหรือไม่ ถ้าช้าไป โอกาสก็จะ
ผ่านไป....ดังนั้น ควรใช้โอกาสนี้ระดมสมอง ระดมความิดจากบุคคลกรผู้
ทำงาน หุ้นส่วน ผู้บริหารทุกระดับจะดียิ่ง
3. การทำ JV ในขั้นสุดท้าย คือ "การเจรจาต่อรอง" บางครั้ง เรานั่งพูด
คุยกับเสียดิบดี นับเดือน แต่ในที่สุดก็ต้อง "ต่อรองกัน" เพื่อให้ได้ผล
ประโยชน์ต่อฝ่ายของตนเองมากที่สุด หลายคนมิได้นึกถึงจุดนี้ มีอะไรจึง
เล่าให้เขาฟังหมด มีอะไรก็บอกเขาหมด นึกว่าจะได้เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจมา
เป็นผู้ร่วมงานเหมือนเก่า แต่ก็เปล่าทั้งนั้น.....ดังนั้น จึงควรเริ่มคิดเสียตั้งแต่
เดี๋ยวนี้ว่า ข้อมูลอะไรที่ควรจะให้ ข้อมูลอะไรที่ควรจะปิดเอาไว้ เพื่อการ
ต่อรองที่ได้ประโยชน์ที่สุด
4. พิจารณาความเป็นไปได้ ของการแลกเปลี่ยนข้อมูล เพื่อเตรียมตัวใน
การเจรจาต่อรองก่อนเป็นอันดับแรก บอกเขาไปว่า "ก็น่าสนใจนะ แต่
อยากขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม....." หลังจากนั้นก็ถึงคราวที่จะต้องพบ
หน้ากัน เพื่อทดสอบ ทดสอบอะไร ก็ทดสอบทั้งหมดที่เฮียโกและพี่จิมมี่
ได้เล่าข้างต้น มันจะเป็นไปได้ไหมในกรณีนี้ กรณีนั้น ควรจะหาผู้เชี่ยว
ชาญที่เคยดีลเรื่องการ Take Over หรือ ทำ JV ไปด้วย เพื่อพิจารณาขอ
เสนอของเขา ... ไม่เสียหายอะไรที่เราไปเจรจาแล้ว เราไม่เอาในตอน
หลัง แต่กลัวจะไปหลงคารมเข้าแล้วขายอะไร หรือให้อะไรเขาไปถูกๆ
แล้วจะเจ็บใจทีหลัง
วันนี้ขอแนะนำแค่นี้ก่อน เป็นเพิ่มเติมจากเฮียโกและพี่จิมมี่ ได้ผลอย่างไร
ก็เอามาเล่าให้ฟังกัน ณ ที่นี้ก็ได้ ถ้าไม่เป็นความลับจนเกินไป จะได้ช่วยๆ
กันออกความเห็นหลายๆ คน และถือเป็น Case Study ได้อย่างดีทีเดียว
ขอให้โชคดีนะ
จากคุณ :
ลุงแอ็ด
- [
5 ก.พ. 51 09:09:13
]
|
|
|