Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    "เลขาฯ ตัวแสบ!" ตอน…..ชีวิตในต่างแดน….สุขหรือเศร้า? (ภาค 4)

    …..โชคดีที่ฉันไม่เพียงแต่กลับมาได้ “ทันดูใจ” คุณแม่แต่ยังได้
    นอนเฝ้าไข้คุณแม่อยู่ในโรงพยาบาลอีกเกือบ 2 เดือน
    นับเป็นช่วงเวลาที่มีคุณค่าที่ฉันมีโอกาสได้ “ปรนนิบัติ”
    รับใช้ “ผู้มีพระคุณ” จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต
    เป็นความรู้สึกที่ถ้าไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้คงจะรู้สึกเป็นบาป
    ไปตลอดชีวิต….

    ที่จริงคุณแม่ป่วยเป็นอัมพฤกต์มาแล้วปีแล้ว
    ฉันจึงได้ไป “บนบาน” ให้คุณแม่ปลอดภัยและมีสุขภาพแข็งแรง
    ด้วยการ “เลิก” กินเนื้อ….
    ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!

    แม้จะเป็นอัมพฤกต์ถึง 4-5 ปีแต่คุณแม่มีสุขภาพจิตที่ดี
    และมีความสุขท่ามกลางการ “ดูแลเอาใจใส่” อย่างดีจากลูก ๆ ทุกคน
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “น้องรอง” ผู้ที่เสียสละมากที่สุด
    ด้วยการลาออกจากงานบ้านญาติเพื่อมาดูแลคุณแม่เพียงอย่างเดียว

    ในที่สุดคุณแม่ของฉันก็จากไปอย่างสงบ
    ท่ามกลางความโศกเศร้าและอาลัยรักของลูก ๆ…..
    ฉันเลิกกินเนื้อเพื่อคุณแม่ประมาณ 4 ปี

    ในวันที่คุณแม่เสียชีวิตฉันรู้สึกเศร้าโศกและผิดหวังมาก
    ที่ทำไม “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” ไม่เมตตาช่วยยืดอายุคุณแม่ให้นานกว่านี้
    วันนั้นฉัน “ประชด” และท้าทายเบื้องบน
    ด้วยการกลับไปกินเนื้อเหมือนเดิม

    คำว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!”
    น่าจะสร้างอิทธิฤทธิ์ให้ฉันได้ประจักษ์เดี๋ยวนั้นเลย
    “น้องรอง” ซึ่งอดหลับอดนอนเพื่อดูแลคุณแม่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
    เกิดหน้ามืดและ “ล้มตึง” ต่อหน้าฉันขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย…

    ทำให้ฉันต้องกลับไปบนบานต่อว่า
    ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองและดูแลน้องรองของฉันด้วย
    และฉันจะหยุดกินเนื้อ “ตลอดชีวิต”
    จากวันนั้นมาถึงวันนี้…ร่วม 20 ปีแล้วที่ฉันเลิกกินเนื้อโดยเด็ดขาด!

    คืนที่ 6 ของการจัดงานศพของคุณแม่
    ฉันต้องช๊อกระคนกับ “ปลื้มปิติ” กับการ “ปรากฏกาย” ของคุณด๋อง!

    ไม่คิดว่าเขาจะ “บินด่วน” มางานศพคุณแม่ของฉัน
    จากที่เคยคิดว่าฉันจะไม่กลับไปหาเขาที่ซาอุฯ อีกแล้ว
    เพราะตลอดเวลา 2 เดือนที่ฉันอยู่เมืองไทยเราแทบไม่มีการสื่อสารกันเลย
    ฉันต้อง “ยอมแพ้” ความดีของเขาในครั้งนี้และตัดสินใจ
    บินกลับไปพร้อมเขาหลังจากงานศพเสร็จสิ้น…

    มีเรื่อง “ระทึกใจ” เกี่ยวกับเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น
    ในระหว่างบินกลับซาอุฯ พร้อมกับคุณด๋อง
    เครื่องบินแวะเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศบาห์เรน
    ซึ่งจะต้องมีการย้ายสัมภาระไปยังอีกสายการบินหนึ่ง
    เพื่อเดินทางต่อไปยังซาอุดิอาระเบีย

    บางท่านอาจจะเคยทราบมาแล้วว่า
    ปกตินักการทูตจะมี Passport พิเศษ
    โดยในประเทศไทย Passport สำหรับนักการทูตจะเป็นเล่มสีแดง

    ตามข้อตกลงของประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางด้านการทูต
    ผู้ถือ Passport นักการทูตซึ่งรวมทั้งสมาชิกในครอบครัว
    ที่ประกอบด้วยสามี/ภรรยา และบุตร
    จะได้รับ “สิทธิ์พิเศษ” ในระหว่างพิธีการทางกงศุล
    หรือด่านตรวจคนเข้าเมืองโดยได้รับการ “ยกเว้น” ในการตรวจสัมภาระ
    ยกเว้นกรณีที่มีการสงสัยว่าจะมีสิ่ง “ผิดกฏหมาย” ในครอบครอง
    จึงจะมีการตรวจค้นมิเช่นนั้นก็จะให้ “ผ่านฉลุย” ตลอดทาง

    ในระหว่างที่สัมภาระของเราผ่านเครื่องตรวจ X-Ray
    ณ สนามบินของประเทศบาห์เรน
    เจ้าหน้าที่พบ “สิ่งผิดปกติ” และได้เชิญคุณด๋องเข้าพบ
    พร้อมกับแจ้งว่าได้พบ VDO จำนวนหลายม้วนในกระเป๋าใบหนึ่ง

    คุณด๋องถามฉันว่าได้นำ VDO อะไรมาหรือ?
    ฉัน “ปฏิเสธ” ว่าไม่ได้นำอะไรมาเลยและยืนยันกับเจ้าหน้าที่เช่นกัน
    แต่เจ้าหน้าที่บอกว่า “เครื่องฟ้อง” และขอเปิดกระเป๋าเพื่อตรวจค้น
    แถมยังชี้ให้ดูหลักฐานจากเครื่องซึ่งเราก็เห็นเป็นรูปร่างของ VDO จริง ๆ

    แต่ฉันยังไม่ยอมให้เปิดกระเป๋าตรวจเนื่องจากมั่นใจว่าไม่ได้ซื้อ
    หรือนำ VDO มาด้วยจริง ๆ ตามข้อกล่าวหาของเจ้าหน้าที่
    งานนี้คุณด๋องปล่อยให้ฉัน “ออกโรง” เอง
    เนื่องจากการแพ็คกระเป๋าเป็นหน้าที่ของฉันซึ่งเขาไม่ได้รับรู้
    ว่าฉันได้แอบนำอะไรติดกระเป๋ามาบ้าง

    สาเหตุที่เจ้าหน้าที่เคร่งเครียดมากในเรื่องนี้
    เนื่องจากประเทศในแถบอาหรับห้ามเรื่องการนำ “เทปโป๊” เข้าประเทศ
    ดังนั้นถ้ามีการตรวจเจอจะยึด (เก็บไว้ดูเอง?) ทันที

    เจ้าหน้าที่เริ่ม “ลังเล” ที่เห็นฉัน “ยืนยัน” ด้วยความขึงขัง
    แถมยังได้ “ขู่” เจ้าหน้าที่ว่าถ้าเขาเปิดแล้วไม่พบอะไร
    เขาจะต้องรับผิดชอบที่มาทำการ “ละเมิดสิทธิ์” ของฉันในครั้งนี้
    เจอไม้นี้พร้อมอาการเอาจริงเอาจังของฉันเข้าเจ้าหน้าที่ทำท่า “เซ็ง”
    และปล่อยให้กระเป๋าผ่านไปโดย “ไม่กล้า” เปิด!

    หลังจากกลับถึงบ้านคุณด๋องซึ่งแอบสงสัยว่าฉันเอาเทปอะไรมา
    แกล้งทำเป็นเดินโฉบเฉี่ยวไปมาช่วงที่ฉันเปิดกระเป๋า
    ฉันรู้สึกเคืองเล็กน้อยที่เขาเหมือน “ไม่เชื่อใจ” ฉันเลย
    แต่ฉันก็ไม่สามารถตอบคำถามให้กับเขาหรือตัวเองได้เหมือนกันว่า
    แล้วไอ้เจ้า “หลักฐาน” ที่เห็นโทนโท่ผ่านเครื่อง X-Ray คืออะไรกันแน่?

    หลายวันต่อมาเรามีโอกาสได้ไปงานเลี้ยงสังสรรค์
    ที่บ้านเพื่อนข้าราชการคนหนึ่ง
    พี่ตั๊กขอบคุณที่ฉันช่วยหิ้วหนังสือและ VDO จากเมืองไทยมาให้

    “อะไรนะ! มี VDO อยู่ในกระเป๋าที่ญาติพี่ตั๊กฝากมาด้วยเหรอ?
    ก็ไหนตอนติดต่อขอฝากของเธอบอกว่าฝากแต่หนังสือมาไง?

    เวรกรรม!
    แล้วนี่ถ้าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองที่บาห์เรน
    บ้าจี้รับ “คำท้า” ของฉันด้วยการเปิดกระเป๋าตรวจแล้วเจอ VDO จริง ๆ
    ฉันมิเสียผู้เสียคนไปแล้วหรือเนี่ย?
    เพราะตอนนั้นฉันก็ไม่ได้ฉุกใจคิดเรื่องของฝากจากพี่ตั๊กเล๊ย…
    เกือบ “ซ...ย” ไปแล้วไหมล่ะ Destinyhurtsme เอ๋ย!

     
     

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 8 ก.พ. 51 10:53:07 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom