Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    จริงหรือไม่ ที่คนทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าของธุรกิจ..?

    สังเกตมานานมาก เก็บข้อมูลด้วยประสบการณ์จริง จากผู้คนรอบข้างและญาติสนิทมิตรสหายที่รู้จัก ...

    คนทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นผู้ประกอบการ และคนบางคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นเจ้าของกิจการ กล่าวง่ายๆก็คือ ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำธุรกิจส่วนตัวได้ และ ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยู่รอดในธุรกิจได้ เช่นเดียวกัน...

    จากประสบการณืส่วนตัวของผมที่อยากจะแบ่งปันในห้องสีลมนี้ ก่อนอื่นใดผมต้องขอบอกก่อนว่า ผมเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งจากบ้านนอกที่ไกลจากเมืองหลวง และบังเอิญได้เข้ามาเรียนเมืองหลวงอยู่ช่วงหนึ่งของชีวิต เป็นเวลา 5-6 ปี (ซิ่ว 1 ครั้งมาอยู่มหาวิทยาลัยในบางแสน) ซึ่งในสมัยเรียนหนังสือที่รามฯ ผมก็มีโอกาสทำงานไปด้วยเล่าเรียนไปด้วย ...

    ในสมัยนั้น ผมเน้นการทำงานมากกว่าการเรียนหนังสือ เพราะเนื่องด้วยชีวิตของผมไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนลูกชนชั้นกลางในเมืองหลวง ในแต่ละสัปดาห์จะต้องมานั่งคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองไม่อดตายคาห้องเช่าโทรมๆแถวรามฯ สิ่งเดียวที่คนอย่างผมไปทำได้ก็คือรับจ้างเฝ้าร้านร้านเกม แจกใบปลิว ทำงานร้านอาหารฟาดฟู๊ด(ซึ่ง"ขูดรีด"แรงงานมาก) แม้กระทั่งรับจ้างทวงหนี้ให้โต๊ะบอลก็เคยมาแล้ว อย่างหลังนี้เงินดีมาก แต่ต้องพก.38ไปด้วยเผื่อเกิดอะไรขึ้น ...

    ได้ชื่อว่าทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด ไม่งั้นผมอดตายแน่ๆ ประสบการณ์การเป็นลูกจ้างของผมตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ง่ายที่สุดคือ "ไม่ทำก็อดตาย"

    แต่ผมก็พยายามหลีกเลี่ยงงานที่ผิดกฎหมายที่สุด งานที่หมิ่นเหม่ที่สุดในชีวิตของผมก็คือรับจ้างทวงหนี้นี่แหละ แต่ประสบการณ์นี่ x2 เลยทีเดียว และมันทำให้ผมค้นพบสัจธรรมอะไรบางอย่างอีกด้วย...

    ในขณะที่ชีวิตของผมเป็นลูกจ้างต๊อกต๋อย ทำงานแลกเงินไปวันๆเพื่อแลกกับข้าวในแต่ละมื้อและค่าเทอมที่แสนถูกในมหาวิทยาลัยเปิด ผมได้เรียนรู้ว่า คนเราต้องมีอะไรซักอย่างที่ทำให้"ตาสว่าง" และสามารถเปลี่ยนชีวตของเราให้หันเหไปอีกทางหนึ่งได้..

    ครั้งหนึ่ง ผมทำงานที่ร้านเกมแห่งหนึ่งที่ฟอร์จูนทาวน์ รัชดา ผมค้นพบว่ามีบางอย่างในตัวของผมที่น่าจะเอามาเป็นพื้นฐานทางธุรกิจได้ เวลานั้นผมเป้นลูกจ้างของร้านนี้ซึ่งเจ้าของใช้งานหัวทิ่มเพื่อแลกกับเงินเดือนแค่ 5000 บาท ทั้งงานขาย งานซ่อม งานบัญชี งานทำความสะอาด จนบางครั้งผมคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของร้านเกมเสียเอง เพราะแทบจะบริหารจัดการด้วยตัวเองหมดเลย พี่ที่ทำอยู่ด้วยก็โคตรขี้เกียจ ใช้แต่ผมทำงาน... ทำอยู่ 5 เดือนก็ลาออกไปทำอย่างอื่น..

    เชื่อมั้ยครับ สิ่งเหล่านี้มันซึมซับไปในสมองผมโดยที่ไม่รู้ตัว ค่าที่ว่าผมไม่ค่อยปฎิเสธงาน งานหนักงานเบาผมทำหมด(ยกเว้นความชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น ถ้าชอบทำหมด แต่ถ้าไม่ชอบงานที่ทำก็เดินหนีเลย) มิฉะนั้นท้องผมก็จะร้องจ๊อกๆหิวข้าว

    ผมคิดว่า คุณตัน เจ้าของโออิชิก็ทราบดี คุณตันร่ำเรียนไม่สูงเลยในช่วงนั้น แต่คุณตันไม่ปฎิเสธงาน สู้ทุกอย่าง จนวันหนึ่งก็ประสบความสำเร็จในชีวิตและครอบครัว ผมนับถือคนๆนี้มาก...

    จนมาวันหนึ่งที่ผมไม่สามารถอยู่ที่รามฯอีกต่อไปได้แล้วด้วยเหตุผลส่วนตัว สิ่งเดียวที่ผมจะออกไปจากขุมนรกที่กรุงเทพได้ก็คือซิ่วไปเรียนที่อื่น...

    เมื่อ 5 ปีที่แล้วก่อนจะซิ่วจากรามฯ ผมวางแผนชีวิตไว้ว่าจะต้องไปเรียนที่มันไม่ไกลจากกรุงเทพมาก อากาศดี เศรษฐกิจดี สามารถทำงานได้ในเวลาที่เรียน คำตอบที่ลงตัวที่สุดของผมก็คือมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในบางแสน ชลบุรี เมื่อรู้ว่าต้องการไปทางนั้นแล้ว ผมก็ใช้เวลาทั้งหมดอ่านหนังสือ อ่านหนังสือ แล้วก็อ่านหนังสือ เพื่อสอบเอนทรานให้ติดมหาวิทยาลัยแห่งนั้นให้ได้ ปรากฎว่าเมื่อผลสอบออก ผมได้อันดับที่หนึ่งในสาขาวิชาที่เลือกและมหาวิทยาลัยที่เลือก ด้วยคะแนนที่มาเป็นอันดับหนึ่งของรุ่น แต่ด้วยประสบการณ์จากการทำงานของผมที่รามฯทำให้ผมเรียนรู้ว่าทุกวันนี้ไม่ว่าคุณจะจบอะไรออกมา คุณก็จะมีโอกาสเท่าๆกับคนอื่นเสมอ ยกเว้นคุณมาเรียนเฉพาะทางที่ขาดแคลนจริงๆ..

    ในกรณีของผม ผมไม่ได้มาเรียนเพื่อนำใบจบไปทำงาน เพราะผมไม่เชื่อว่าผมสามารถไปทำงานบริษัทได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

    1.ผมไม่เชื่อในระบบการทำงานของบริษัทซึ่งมีลักษณะเป็นองค์กรสูง แปลกดีที่ผมไม่เชื่อมัน ทั้งๆหลายท่านนิยมชมชอบด้วยซ้ำไป
    2.ผมมีนิสัย"กบฎ" เกลียดการทำตามกฎเกณฑ์ที่ "ไม่สมเหตุสมผล" ซึ่งลักษณะของงานบริษัทจะเป็นเช่นนั้น
    3.ข้อนี้สำคัญมาก ผมไม่ต้องการให้บริษัทเหล่านั้นเอาแรงงานของผมไปเพื่อแลกกับเงินเดือนไม่กี่หมื่นบาท เพราะผมเชื่อในการทำงานหนักและผลตอบแทนต้องได้อย่างสมเหตุสมผลต่อแรงงานที่ผมได้ลงไป

    คำตอบสุดท้ายของผมก่อนเรียนจบ 2 ปีก็คือ การทำธุรกิจเท่านั้น ...

    เมื่อทราบว่าตัวเองจะเดินไปทางไหนก็เลยเริ่มที่จะปูทางไว้เสียแต่เนิ่นๆ ผมเริ่มไปขายของที่ตลาดนัดด้วยเงินทุน 500 บาทตอนปี 3 ด้วยความที่ไม่ค่อยมีเงินก็ต้องลงทุนแค่นั้น แต่ผมเชื่อว่าของผมที่เอามาขายมันจะขายได้และขายดี เพราะผมไปสำรวจตลาดมาหมดแล้ว

    ปรากฎว่าของที่ผมขายวันแรก ได้เงินคืนมา 790 บาทถ้วน เอาเงินไปกินข้าวเหลือ 700 บาท ก็เอาไปลงทุนใหม่..

    วันที่สอง ผมขายได้ 1500 จากทุน 700 หักกินข้าว 200 เหลือ 1300 ก็เอาไปลงทุน ..

    วันที่สามเริ่มจับทางตลาดได้ดียิ่งขึ้น ขายได้ 2700 กว่าๆ จากทุน 1300 บาท ...

    วันที่สี่ วันที่ห้า และวันต่อๆมารายได้จากการขายของผมดับเบิ้ลตลอด เมื่อขายของตลาดนัดไปได้ประมาณหนึ่งเดือน ผมฟันธงเปรี้ยงเลยว่าศักยภาพตลาดนัดที่ผมไปขายนี้มีสูงมาก คนพร้อมจ่ายถ้าสินค้าโดนใจและระดับราคาสมน้ำสมเนื้อ

    แต่ผมมีอันต้องพักไปในตอนเรียนปี 4 เพราะด้วยเหตุผลบางประการ...

    เมื่อสถานการณ์ชีวิตของผมเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมก็เริ่มต้นใหม่ตอน ปี 4 เทอมสอง ตอนนี้ผมมีแฟนแล้ว และก็ตั้งใจจะทำธุรกิจให้ดีที่สุด..

    ผมกลับไปบ้านที่อุบล เพื่อไปอธิบายความต้องการของตัวเองให้พ่อฟัง แล้วก็ขอยืมรถพ่อมาใช้และขอยืมตังค์มาอีก 2000 บาทเพื่อเป็นทุน นั่งอธิบายอยู่นานสองนานจนพ่อใจอ่อนให้รถมา...

    ที่ผมต้องการก็คือรถนั่นแหละ ส่วนเงินทุน 2000 นั่นก็เพื่อเอาไปลงทุน บางคนถามว่าทำไมลงทุนน้อยจัง จริงๆทำธุรกิจต้องลงทุนมากกว่านี้ ผมก็ตอบไปว่าผมเชื่อว่าผมจะทำให้เงิน 2000 นี้งอกเงยออกมาได้ คำตอบแบบนี้อาจฟังดูน่าหมั่นไส้ แต่ผมก็หมายความอย่างนั้นจริงๆ...

    ธุรกิจที่ผมทำก็คือธุรกิจแฟชั่นซึ่งมีพลวัตค่อนข้างสูง แต่มันจับสัญญาณตลาดได้ดีเช่นเดียวกัน เพราะการที่แฟชั่นมาเร็วไปเร็วมันก็ทำให้เราต้องหูไวตาไวเป็นธรรมดา...

    ผมไม่ได้ขายของอย่างที่คนอื่นๆในตลาดเขาขายกัน แต่ผมหา"ช่องว่าง"ในตลาดเจอ แล้วผมก็เสียบเข้าไป บังเอิญว่าช่องที่ผมเสียบเข้าไปนี้มันตอบโจทย์ธุรกิจผมได้ดีมาก ..

    ผมขายของไประยะหนึ่งก็เริ่มมีคู่แข่งแล้ว ประมาณว่าเป็นแม่ค้าที่คิดอะไรเองไม่เป็น เห็นอะไรขายดีก็จะเอามั่ง ซึ่งคู่แข่งแบบนี้ผมไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้นำตลาดแต่พวกเขาเป็นผู้ตาม และเขาจะไม่มีวันวิเคราะห์อะไรได้เอง เมื่อวิเคราะห์อะไรไม่ได้เองพวกเขาก็จะเลียนแบบคนอื่นแบบงูๆปลาๆ มีบางอย่างที่คู่แข่งจะทำก็คือ

    1.ขายตัดราคา ข้อนี้เป็นข้อแรกที่ผมเจอ แต่ผมได้คิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องเจอแบบนี้ก็เลยไม่ค่อยกลัว ผมได้วางแผนบางอย่างเอาไว้เพื่อป้องกันปัญหานี้แล้ว มันได้ผลครับ ถึงแม้ว่าร้านของผมจะขายแพงกว่า แต่ลูกค้าของผมไม่เคยลดลงเลยตั้งแต่เปิดร้าน กลับกัน ร้านที่ขายตัดราคาผมกลับขายไม่ออก ทั้งๆที่ของเหมือนๆกัน แต่เลียนแบบกันไม่ได้
    2.เลียบแบบร้านของผมทุกอย่าง แม้กระทั่งรูปแบบการจัดร้านก็ทำเหมือนกันเป๊ะ ข้อนี้ผมไม่กลัวเลย เพราะผมได้เปรียบเนื่องจากขายมาก่อน ฐานลูกค้าแน่นกว่ามาก ลูกค้าผมบางคนหลงไปซื้อร้านนั้นเพราะนึกว่าเป็นอีกสาขาหนึ่งของร้านผมด้วยซ้ำไป แต่ผมก็ได้อธิบายจนลูกค้าเข้าใจ


    การที่ผมสามารถอยู่รอดท่ามกลางคู่แข่งแบบนี้ ผมถือหลักอยู่หลายประการ เช่น.

    1 ต้องขายของที่มีคุณภาพและราคาถูกที่สุด ฟังดูง่ายแต่ทำยากครับ เพราะเราจะไปหาสินค้าที่มีคุณภาพขนาดที่ว่ามาขายถูกๆได้ยังไงกัน? แต่ผมขอสงวนเทคนิคเอาไว้ตรงนี้ละกัน
    2.ลูกค้าสัมพันธ์ต้องมาก่อนเสมอ ร้านผมกล้าเปลี่ยนของให้ลูกค้าถ้าเขาไม่พอใจในสินค้าถ้าหากเขาซื้อไปแล้ว ถ้าเป็นลูกค้าสมาชิก ผมให้สิทธิ์การเปลี่ยนสินค้า 15 วันเลยทีเดียว เพราะลูกค้าผมต้องพึงพอใจที่สุด เพื่อที่เขาจะอยู่กับเรานานๆ
    3.สินค้าที่ผมหามาขาย คนทุกคนรู้ว่าจะไปหามาได้อย่างไรและที่ไหน แต่คนทั่วๆไปไม่สามารถเข้าถึงของบางอย่างอย่างที่ผมหาได้ ซึ่งเทคนิคนี้ผมเรียนรู้มาจากประสบการณ์ส่วนตัว
    4.เงินทุนผมไม่หนา แต่สามารถลงทุนได้หลักแสน เป็นเรื่องเกี่ยวกับบริหารเงินสดโดยเฉพาะ ผมเชื่อในเรื่องขายเงินสดแต่วางเครดิตตอนเอาของมาขาย ก็คือ ผมวางเครดิตมาหนึ่งแสนบาท(เวลา 1 เดือน) แต่ผมสามารถขายของหมดได้ในเวลาแค่ครึ่งเดือน อีกครึ่งเดือนนั้นผมก็เอาเงินที่ได้มาทั้งหมดไปลงทุนอีกครั้งหนึ่ง พอถึงเวลาจ่ายเครดิตผมก็ขายของได้ทุนคืนไปแล้ว และสามารถสะสมทุนได้อีกครึ่งหนึ่งซึ่งก็เท่ากับ 150000 บาท ในระยะเวลาแค่หนึ่งเดือน ซึ่งเทคนิคนี้ต้องอาศัยความซื่อสัตย์ในทางการค้ามากและต้องใช้วินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด ซึ่งเทคนิคนี้ทำให้ผมมีภาพว่าทุนหนา ซึ่งคู่แข่งที่จะเข้ามาแข่งใหม่จะกลัวผมเองโดยธรรมชาติ เป็นการกำจัดคู่แข่งไปในตัว เพราะธรรมชาติของตลาดนัดจะไม่ค่อยมีพ่อค้าแม่ค้าที่ทุนหนามากนัก ส่วนใหญ่ไม่เป็นหนี้ก็ขายของเอากำไรหน้าเลือด
    5. ผมเก็บข้อมูลการตลาดอย่างเป็นระบบโดยเรียนรู้จากการขายเอง ผมรู้ว่าควรจะวางกลยุทธ์การขายอย่างไรในช่วงไหน เช่น การขายช่วงต้นเดือนที่เงินเดือนออก การขายช่วงปลายเดือนที่เงินเดือนหมด การขายช่วงหน้าเทศกาลต่างๆ หรือการขายในภาวะที่ตลาดซบเซาที่สุด(มีอยู่ครั้งหนึ่งที่คนทั้งตลาดบ่นว่าขายของไม่ได้เลย แต่ร้านผมขายไปได้เกือบๆ 3 หมื่นบาท ดังนั้น การประเมินตลาดเพื่อวางกลยุทธ์เป็นเรื่องที่สำคัญมาก)
    6. ความที่ตลาดมีพลวัตของมันเอง เราจะต้องไม่ยึดติดอะไรซักอย่าง เราต้องสามารถปรับตัวได้รวดเร็ว อาจฟังดูยากนะครับ ต้องลองไปเจอสถานการณ์ของจริง
    7 หมั่นอ่านหนังสือบ่อยๆ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ธุรกิจต่างๆ ดูพวกดัชนีชี้วัด การวิเคราะห์การตลาด ทิศทางหุ้น เพราะสิ่งเหล่านี้มันส่งผลโดยตรงกับสภาพตลาดครับ ถ้าเรามีข้อมูลแน่น การวางแผนก็จะรัดกุมตามไปด้วย

    ตั้งแต่วันที่เอารถพ่อมาใช้กับเงิน 2000 บาท ตอนนี้ผ่านมาได้เกือบๆ 3 ปีแล้ว ธุรกิจผมก็เติบโตไปเรื่อยๆ เวลาว่างมีมากขึ้น(ตอนแรกที่ทำเหนื่อยมาก นอนดึกตื่นเช้ามืดแทบทุกวัน) ตอนนี้ผมกำลังจะจดทะเบียนบริษัทนำเข้าสินค้าแฟชั่นอยู่ และเก็บเงินบางส่วนไปซื้อที่ดินเพื่อสร้างโรงงานผลิตเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้า เพื่อส่งให้ลูกค้าที่เป็นเครือข่ายของผมอยู่ในขณะนี้ แต่ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหนกว่าที่ผมฝันไว้จะเป็นจริง ต้องรอดูอีก 2-3 ปี

    อีกอย่างครับ ผมกับแฟนไม่ชอบเที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่บ้าแต่งตัว(ทั้งๆที่ขายของแฟชั่น) ไม่ใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นกับชีวิต เก็บเงินลงทุนกับออมเงินอย่างเดียว ตัวผมเองก็ไม่ทำอะไรเลยนอกจากงานและครอบครัวของผม คือบางครั้งนิสัยส่วนตัวก็มีส่วนที่สำคัญมากๆกับการทำธุรกิจครับ ผมไม่ได้ชอบหรอกกับเรื่องแฟชั่น แต่ผมมองเห็นศักยภาพของมันในการทำเงินเท่านั้นเอง ซึ่งผมคิดว่าตัวผมเองต้องตอบโจทย์ชีวิตของตัวเองได้ให้ชัดเจนและกล้าฟันธงด้วยสติ...


    ยาวไปแล้วครับ หวังว่าประสบการณ์ของผมจะช่วยคนอื่นได้บ้าง..

    จากคุณ : นายอึเหม็น - [ 12 ก.พ. 51 23:12:45 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom