Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    ศึกษาไทย กับค่านิยมคนไทย (กระทู้#2 ครับ)

    ผมเขียนอะไรไม่ค่อยเก่ง
    ผมไปเจอบทความนึงเข้าท่ามาก ขอยกมาเลยนะครับ




    คำขวัญของมหาวิทยาลัยไทยหลายแห่ง ล้วนถูกสรรค์สร้างขึ้นด้วยการยึดโยงกับอุดมการณ์สังคมและประชาชน ดังเช่นที่ว่า



    "ฉันรักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน"

    "เกียรติภูมิจุฬาฯ คือเกียรติแห่งการรับใช้ประชาชน"

    "ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ เกษตรศาสตร์เป็นภาษีของประชาชน"

    ฯลฯ



    แต่อุดมการณ์ของมหาวิทยาลัยเหล่านี้ในปัจจุบัน เป็นอย่างไร หรือล้วนถูกดึงเข้าสู่กระแสทุนเสรีอย่างเต็มที่ที่ละทิ้งความหมายทางสังคมเหล่านั้นไปหมดแล้ว ใช่หรือไม่?



    การศึกษาในปัจจุบันจึงหนีไม่พ้นการยัดเยียดความคิดที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวและไม่เป็นปฏิปักษ์กับระบอบทุนนิยมเสรี (ซึ่งอำนาจรัฐใต้แนวทางทุนนิยมได้วางกรอบให้) การดำรงอยู่ของคณะ ภาควิชาต่างๆ สะท้อนให้เห็นเป็นอย่างดีเมื่อขึ้นลงตามการกำหนดของกลไกตลาด คณะสาขาวิชาที่รับใช้สังคมส่วนรวมจริงๆ ตามลักษณะสังคมนิยมหรือสวัสดิการนิยมจึงมีน้อย หรือแทบไม่มีเลย



    ตัวอย่างชัดเจนที่สุด คือ การเรียนการสอนในคณะเศรษฐศาสตร์ (economic) กระแสหลักในปัจจุบัน ซึ่งสมัยก่อนนั้นจะไม่ใช่หลักสูตรเศรษฐศาสตร์กระแสหลักแนวเดียวเท่านั้น แต่จะเรียนเศรษฐศาสตร์การเมือง(Political Economy) รวมอยู่ด้วย ซึ่งเพราะเศรษฐศาสตร์และการเมืองไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เหมือนดังที่ในยุโรปมีการเรียนการสอนเรื่องเศรษฐศาสตร์สังคม (social economy) แต่หลังจากที่ไทยก้าวตามความคิดแบบอเมริกาหรือทุนนิยมเสรี การศึกษาจึงเป็นไปตามหลักกลไกตลาด ตามกระแสหลักของทุนนิยมเสรีที่พูดถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ แต่ไม่ได้พูดถึงความเป็น "ชีวิต" ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และคู่ควรในความเป็นมนุษย์อย่างไม่ถูกริดลอน เปรียบดังที่ "เทียนชัย วงศ์ชัยสุวรรณ" หรือยุค ศรีอาริยะ นักวิชาการชื่อดัง เคยกล่าวครั้งหนึ่งว่า .





    "เศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่เราเรียนอยู่นี้เปรียบกับเรือลำหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในมหาสมุทร ทิศทางและการฝ่าข้ามคลื่นลมทั้งมวลก็ล้วนเพื่อผลของคนบนเรือที่เป็นชนชั้นสูงเท่านั้นซึ่งเป็นผู้กุมบังเหียนเรืออย่างแท้จริง แต่ทุนนิยมก็ไม่ได้พูดถึงทางอยู่และทางรอดของคนที่อยู่ใต้เรือ ซึ่งเป็นชนชั้นล่าง เป็นผู้ต้อยต่ำในสังคม ไม่มีสิทธิไม่มีเสียง ไม่มีอำนาจ ซึ่งถูกบังคับให้เป็นแรงงานที่เติมเชื้อไฟและเป็นกลไกส่วนหนึ่งที่ต่อเวลาให้ฟันเฟืองระบบทุนนิยมดำรงอยู่และขับเคลื่อนไปได้ …"





    ศ.รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เคยกล่าวว่า



    "ในเมื่ออาจารย์มหาวิทยาลัยพากันเดินสายฝึกอบรมและแปรสภาพเป็น "เซลส์แมน" ขายปริญญาบัตรและวุฒิบัตร มิใยต้องกล่าวว่า มหาวิทยาลัยในเมืองไทยในรากเหง้าทางประวัติศาสตร์มิได้มีการออกแบบเชิงสถาบัน (Institutional Design) เพื่อให้เป็นสถาบันผลิตองค์ความรู้ตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุดังนี้ใครก็ตามที่ผลักดันมหาวิทยาลัยของรัฐออกนอกระบบราชการ และเข้าสู่วิถีแห่งตลาด โดยหวังว่าจะก่อให้เกิดความก้าวหน้าขององค์ความรู้และวิทยาการ คงจะมีความไร้เดียงสาอย่างถึงที่สุด"



    โดยเฉพาะเมื่อมหาวิทยาลัยออกจากระบบราชการที่กลไกรัฐสามารถผลักดันความคิดหรือชี้นำอุดมการณ์ชาติได้อย่างเต็มที่แล้ว ไปสู่มหาวิทยาลัยในกำกับรัฐหรือออกนอกระบบย่อมปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า มหาวิทยาลัยที่หลุดพ้นออกจากแก้วครอบของระบบราชการแล้วจะปะทะกับลมพายุแห่งกระแสทุนนิยมอันเชี่ยวกราก จึงย่อมหลีกหนีไม่พ้นจากการหมุนคว้างไปกับวิถีตลาดที่จะเป็นตัวชี้ทางเดินของมหาวิทยาลัยอย่างเบ็ดเสร็จ การเป็นไทจากระบบราชการย่อมไม่อาจหลีกหนีจากการเป็นทาสของระบบตลาดได้เลย และภายใต้โซ่ตรวนพันธนาการเหล่านี้ล้วนจะสร้างงานวิจัยทางวิชาการที่มีคุณภาพอย่างเป็นอิสระและไม่ขึ้นกับกลไกตลาดก็ยากเต็มที สุดท้ายก็คือระบบการศึกษาตกอยู่ในอุ้งมือ "ทุน" ที่กดขี่ขูดรีดอย่างเต็มที่ มิพักต้องพูดถึงพื้นที่ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแต่อย่างใด



    และหากมหาวิทยาลัย เป็น "มหาวิทยาลัยแห่งการค้าและการลงทุน" แล้ว ก็จะมีทิศทางดังนี้



    1. มหาวิทยาลัยที่เป็นเสมือนองค์กรแห่งธรรม จะถูกแบ่งแยกเป็นสองโฉมหน้าอย่างชัดเจนขึ้น ด้านหนึ่งคือสถาบันความรู้ที่บ่มเพาะศาสตร์วิชาและจริยธรรมเพื่อการดำรงชิวิตอยู่ร่วมกันในสังคม แต่อีกด้านหนึ่งเหมือนกลับเป็นบริษัท มีนักบริหารเป็นผู้วางแผน สร้างกลยุทธ์ทางการตลาด มีการ "เก็งกำไร" มีการบริหาร-จัดการที่ดี นักศึกษาคือลูกค้า มีผลประโยชน์ กำไร-ต้นทุนต่อการผลิตบัณฑิตแต่ละคนเพื่อตนเองไม่ไช่เพื่อสังคมอย่างชัดเจน ดูจากคณะ -สาขาวิชาที่เรียน คณะใดอุ้มชู-จรรโลงและตอบแทนผลต่อสังคมน้อยแต่ตอบแทนผลประโยชน์ต่อตนเองสูงเมื่อเรียนจบออกมาค่าเล่าเรียนย่อมแพง เช่น คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ เช่นกัน คณะวิชาใดมีผลต่อสังคมมากแต่ตอบแทนผลประโยชน์ส่วนตนต่ำ ค่าเล่าเรียนก็ย่อมถูกตาม เช่น คณะมนุษย์ศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ เป็นต้น



    2 .การศึกษาที่แยกคนออกห่างจากสังคม เพื่อมารับใช้กลไกตลาด ผลิตบัณฑิตเพื่อเป็น น็อตหรือชิ้นส่วนชิ้นหนึ่ง ที่จะไปเป็นกลไกในเครื่องจักรกล หรือตลาดแรงงาน ที่ดูเหมือนมีคนวางไว้แล้วว่าในเครื่องจักรกลนี้ควรมีชิ้นส่วนตัวไหนบ้าง และสุดท้ายก็ไปขับเคลื่อนให้เครื่องจักรทำงานซึ่งผลประโยชน์กลับตกอยู่กับคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นเจ้าของเครื่องจักรอย่างแท้จริง มหาวิทยาลัยตกเป็นเครื่องมือผลิตบุคลากรของเอกชนไปแล้ว ไม่ไช่ผลิตเหล็กที่มีคุณภาพทุกด้านที่พร้อมไปหล่อหลอมเป็นอะไรก็ได้ในทุกๆพื้นที่เพื่อประโยชน์ของสังคมและประชาชนทั้งมวล ดูจากนักศึกษาที่มาจากชนบทต้องถูกแปรรูปตนเองเพื่อสร้างประโยชน์ให้เมืองและกลไกตลาดไม่ได้กลับไปสร้างประโยชน์ให้สังคมที่ตนเองจากมาอย่างแท้จริง



    สังเกตได้ในสาขาวิชาที่รับใช้ชุมชนท้องถิ่นมีน้อยเต็มทีหรือแทบไม่มีเลย ที่มีอยู่เช่น คณะอุตสาหกรรมยางพารา ในมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันกำลังจะถูกยุบไป สถาบันการศึกษาในหลายๆที่มุ่งผลิตบัณฑิตเพื่อก้าวขึ้นไปให้ไกลจากชุมชน -สังคม ตามค่านิยมที่ดูถูกเหยียดหยามชาวนา-ชาวไร่และผู้ใช้แรงงานว่าเป็นผู้ต้อยต่ำ ในมหาวิทยาลัยจึงมีแต่คณะวิชาที่อิงกับกลไกตลาด เช่นคณะเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชี เป็นต้น ซึ่งถ้าคณะไหนเป็นที่ต้องการและตลาดงานเรียกร้อง เช่นครั้งหนึ่งที่กระแส คณะการบริหารธุรกิจ มาแรงก็จะมีคนไปเรียนคณะนั้นมาก ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงมหาวิทยาลัยที่ขึ้น -ลงตามผลประโยชน์กระแสทุน ไม่ใช่ขึ้น-ลงเพราะสังคมต้องการอย่างแท้จริง



    3. มหาวิทยาลัยเป็นหน่วยงานที่สร้างความขัดแย้ง เพราะเน้นผลิตคนให้มีความรู้เฉพาะด้านแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้สร้างองค์ความรู้ที่ครอบคลุม มองเห็นสังคมแล้วเข้าใจอย่างรอบด้านและเป็นระบบ เช่น ผลิตบัณฑิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่สอนให้สร้างเขื่อนว่ารูปแบบเป็นอย่างไร ค่าทางฟิสิกส์ต่างๆเท่าไหร่ ไม่ได้สอนว่าผลของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคืออะไร ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างไร มหาวิทยาลัยหลายแห่งสอนให้ท่องแต่ตำรา จดแผ่นใสและอ่านชีทสอบให้ผ่านเท่านั้น ทำให้มองโลกคับแคบ ไม่สามารถเชื่อมโยงทั้งสองด้านอย่างเข้าใจ เพราะเช่นนั้นสังคมจึงเกิดความขัดแย้งกันจากด้านตรงข้าม เข้าใจสาขาวิชาที่เรียนเพียงด้านเดียว ไม่ได้เรียนรู้แล้วเข้าใจทั้งสองด้านอย่างมีเอกภาพกัน จึงไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ได้ถูกต้อง



    4. มหาวิทยาลัยสร้างความรุนแรง เหตุเพราะไม่มีการวางเกณฑ์การศึกษาให้สมดุลย์กัน ทั้งตำราการสอนในหลายสถาบันก็มีมาตรฐานไม่เหมือนกัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้ง นักเรียนหลายคนฆ่าตัวตายเพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ตนเองชอบไม่ได้ หลายคนพยายามทุกวิถีทางแม้ต้องคดโกงเพื่อที่จะได้สวมชุดนิสิตของจุฬาฯ นี่คือความรุนแรงที่โหดร้ายไม่ต่างไปจากความรุนแรงทางทารุณกรรมร่างกาย ทำนองเดียวกันกับปัญหาความยากจนที่เป็นต้นเหตุก่อให้เกิดความรุนแรงในรูปแบบอื่นมากมาย



    นอกจากนี้ยังสร้างปัญหาทางชนชั้นด้วย ปฏิเสธไม่ได้ว่าระดับมหาวิทยาลัยมีการแบ่งเกรด แบ่งระดับกันทั้งคุณภาพและค่านิยม .. สร้างเงื่อนไขการแข่งขันเพื่อมุ่งสู่จุดสูงสุด คนที่ได้เปรียบในระดับความรู้ก็ถูกเชิดชูทางสังคม ทั้งที่ทุกคนไม่ได้อยู่ในสภาวะและโอกาสที่เอื้ออำนวยเหมือนกัน บ้างมาจากชนบทที่ขาดแคลนวิชาการและทฤษฏี เท่ากลับว่ามหาวิทยาลัยไม่สามารถดูแลและคุ้มครองคนอ่อนแอให้อยู่ได้โดยเท่าเทียมในสังคมได้ ต้องยอมรับว่า การนำคนที่หลากหลายทั้งถิ่นฐานและความคิดมารวมกัน ในคณะเดียวกัน มาสอนในห้องเดียวกัน เรื่องเดียวกัน เพื่อฉาบทาให้ทุกคนเหมือนกัน เป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง หากความเหมือนกันนั้นไม่สามารถตอบเรื่องปากท้องของเขาและสังคมได้ เช่นเดียวกับการเอาเด็กนักเรียนมาอดอาหารเที่ยงเรียนวิชาที่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเขาเลยในชนบท [1]





    5. มหาวิทยาลัยสร้างสายสัมพันธ์ที่โดดเดี่ยวและสร้างความแปลกแยกจากสังคม เพราะไม่ได้เอาสังคมเป็นศูนย์กลางการศึกษาแต่กลับเอารัฐเป็นศูนย์กลางการศึกษาซึ่งรัฐถูกครอบงำจากระบบทุนนิยมหรือความคิดเสรีนิยมอีกทอดหนึ่ง



    ในวิถีชีวิตการเรียนรู้แต่ละวันที่มุ่งการแข่งขันทำให้หลายคนถูกแยกอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลกแห่งการศึกษา และยืนอยู่อย่างว้าเหว่ ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ จึงไม่แปลกที่มีการจัดหาความอบอุ่นขึ้นในมหาวิทยาลัย เช่น การรวมกลุ่มรวมรุ่นต่างๆ ที่ทดแทนช่องห่างของสังคม ช่องห่างของสังคมที่ถูกแบ่งแยกโดยมหาวิทยาลัย ตัวอย่างเช่น ในชนบท บ้านและที่ทำงานไม่สามารถแยกออกจากกันได้ บ้านคือบ้าน ท้องนาคือที่ทำงานที่แยกไม่ออกจากบ้าน อยู่ท้องนาก็เหมือนอยู่บ้าน แต่ในสังคมเมือง บ้านกับที่ทำงานถูกแยกห่างออกจากกัน นักศึกษาที่กลับบ้านในชนบทเริ่มรู้สึกแปลกแยกกับชนบท ความรู้สึกที่มีต่อชุมชนเริ่มเปลี่ยนไปและไม่สามารถจะใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นฐานเดิมต่อไปได้เหมือนเดิม



    เท่ากับว่ามหาวิทยาลัยพยายามแยกคนให้ออกห่างจากสังคมเพื่อมาเป็นกลไกในตลาดอุตสาหกรรม ในสังคมใหม่ที่เป็นผลประโยชน์ของผู้ปกครองและนายทุนเท่านั้น ไม่ใช่สังคมใหม่ที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง เนื่องเพราะสังคมอุตสาหกรรมในระบบทุนนิยมที่เป็นอยู่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็น "สังคม" ของคนส่วนใหญ่ของประเทศ ตราบใดที่ผลประโยชน์เหล่านั้นไม่ได้ตกเป็นผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ อย่างแท้จริง [2]



    จากสภาพการณ์เหล่านี้ วิวาทะเรื่อง "มหาวิทยาลัยที่ไม่มีคำตอบ " หรือ "มหาวิทยาลัยตายแล้ว" เพราะไม่มีลมหายใจและจิตวิญญาณเพื่อสังคม ที่ยังเคลื่อนไหวได้อยู่เป็นเพียงซากศพนั้น จึงดังอยู่ในแวดวงผู้ที่ตั้งคำถามต่ออุดมการศึกษาไทยมาโดยตลอด



    มหาวิทยาลัยจะมีคุณค่าและประโยชน์อันใดหากแวดล้อมมหาวิทยาลัยนั้นเต็มไปด้วยแหล่งเสื่อมโทรม ปัญหาสังคม ขอทานและความยากจนในขณะที่มหาวิทยาลัยคือตึกโต -อาคารสวยงามตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง และไม่เคยเยื่อใยต่อการแก้ปัญหาความทุกข์ยากเหล่านั้น





    --------------------------------------------------------------------------------



    (บทความนี้ ตัดบางส่วนมาจากงานวิชาการขนาดยาวเรื่อง "แนวคิดทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง กับปัญหาและสภาพการณ์ของมหาวิทยาลัยไทย")



    [1] ลาว คำหอม, ในคำนำในหนังสือ " ครูสีดา" ของรงค์ วงศ์สวรรค์ : สำนักพิมพ์มติชน




    [2] ความขัดแย้ง 5 ข้อ ของมหาวิทยาลัย, เมธา มาสขาว ; ผู้จัดการรายวัน

    จากคุณ : map - [ 17 ก.พ. 51 01:43:31 A:58.9.222.213 X: TicketID:118525 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom