ความคิดเห็นที่ 1
ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 04 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 3972
ยังไม่ทันเปิดตัวเป็นทางการ แต่ได้รับความสนใจล้นหลามสำหรับแฟรนไชส์ "ร้านไปรษณีย์ไทย" เป้าที่ตั้งไว้ 20 สาขาภายในปีแรกอาจน้อยเกินไปเสียแล้ว
ย้อนหลังกลับไป 5 ปีก่อน ไม่น่าเชื่อว่าไปรษณีย์ไทยจะเปลี่ยนแปลงตนเองมาได้ไกลเพียงนี้
เพราะตกอยู่ในสภาพขาดทุนเรื่อยมาตั้งแต่ยังไม่ทันแปรสภาพองค์กร ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นอย่างไรเมื่อจำเป็นต้องแยกตัวออกมาตั้งเป็นบริษัทจำกัดในปี 2546 กับพนักงานอีกกว่า 2 หมื่นคน
นอกจากภาพลักษณ์จะดูดีขึ้นผิดหูผิดตา ยังพลิกฟื้นองค์กรจนมีกำไรได้ถึงปีละกว่าพันล้านบาทอีกต่างหาก
"ประชาชาติธุรกิจ" ฉบับนี้มีโอกาสพูดคุยกับ "ออมสิน ชีวะพฤกษ์" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด มีรายละเอียดดังนี้
- ธุรกิจไปรษณีย์ไทยในปีนี้จะไปในทิศทางไหน
วิสัยทัศน์ปีนี้ที่กำหนดไว้ คือ ไปรษณีย์ไทย
จะเป็นผู้นำในธุรกิจไปรษณีย์ด้วยเครือข่ายที่มี
คุณภาพ ใกล้ชิดคนไทย และเชื่อถือได้มากที่สุด
การจะใกล้ชิดได้ต้องขยายที่ทำการของตนเองให้เข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด แต่การเปิดสาขามีค่าใช้จ่ายสูง ถ้าเปิดเองก็เพิ่มค่าใช้จ่าย ถ้าเปิดน้อยประตูที่ไปถึงผู้ใช้บริการก็น้อย แฟรนไชส์จึงเป็นทางออกที่ดี
- ทำไมเพิ่งคิดทำ
คิดมานานแล้ว แต่มีกฎหมายบางฉบับทำให้ทำไม่ได้ คือที่ผ่านมาไม่มีทางออกให้แฟรนไชส์ชาร์จค่าบริการเพิ่มจากอัตราค่าบริการที่ ปณท. (ไปรษณีย์ไทย) เก็บอยู่ แต่ตอนนี้มีทางออกแล้ว คือใช้วิธีเปลี่ยนชื่อบริการ เหมือนการออกบริการตัวใหม่ขึ้นมา เช่น "R-post" ก็คือไปรษณีย์ลงทะเบียนแบบเดิม ทำแบบนี้แฟรนไชส์จะสามารถคิดค่าบริการจากลูกค้าในราคาที่แพงกว่า ปณท. แต่ถูกกว่าร้านรวบรวมที่มีอยู่เดิมได้
ราคาแสตมป์, Pay@Post (ชำระค่าสินค้าและบริการต่างๆ) และธนาณัติออนไลน์ จะไม่เปลี่ยนชื่อและไม่ให้ชาร์จราคาเพิ่ม เพราะเป็นชื่อที่ติดตลาดแล้วเดี๋ยวประชาชนจะเกิดความสับสน โดยเราจะชักเนื้อออกเป็นเงินค่าส่วนต่างในบริการเหล่านี้ให้แฟรนไชส์ แทนการเรียกเก็บจากลูกค้า
แฟรนไชส์จะใช้ชื่อว่า "ร้านไปรษณีย์ไทย" จดลิขสิทธิ์ชื่อและอนุมัติแบบร้านไปแล้ว น่าจะได้เห็นแห่งแรกประมาณมีนาคมนี้ โดยปีแรกกำหนดเป้าไว้ที่ 20 แห่ง ซึ่งคาดว่าทะลุแน่ๆ แต่คงไม่ได้เพิ่มอย่างรวดเร็ว เพราะต้องการควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐานด้วย
ปัจจุบันนอกจากสาขาของเราเอง ก็มี ปณ.อ. (ไปรษณีย์อนุญาต) 3,325 แห่งทั่วประเทศ และอีกรูปแบบเรียกว่าร้านรวบรวม ร้านพวกนี้จะเป็นแหล่งรับไปรษณีย์ภัณฑ์จากผู้ใช้บริการแล้วมาส่งต่อให้ไปรษณีย์อีกที
ร้านรวบรวมจะมีรายได้จากส่วนต่างค่าบริการที่คิดแพงกว่าค่าบริการของไปรษณีย์ไทย 2-3 เท่า ซึ่งขณะนี้มีกว่า 1 พันรายทั่วประเทศ แต่ที่มาขึ้นทะเบียนกับไปรษณีย์ ประมาณ 800 ราย ซึ่งเราไม่สามารถเข้าไปควบคุมการส่งต่อมายังที่ทำการของไปรษณีย์ไทยได้ ทำให้ไปรษณีย์ภัณฑ์ ทั้ง EMS หรือการชำระค่าบริการต่างๆ ที่ประชาชนนำไปส่งที่ร้านรวบรวมมาถึงจุดหมายช้ามาก
ได้รับเรื่องร้องเรียนในกรณีนี้เยอะมาก เพราะประชาชนไม่รู้ คิดว่าเป็นสาขาของไปรษณีย์ไทย ทั้งๆ ที่เราให้ขึ้นป้ายว่าร้านรวบรวม แต่ปัจจุบันแทบทุกร้านก็ขึ้นป้ายตัวโตว่า "ไปรษณีย์"
- ได้อะไรจากร้านรวบรวมหรือไม่
แทบไม่ได้อะไรจากร้านพวกนี้เลย ที่มาขึ้นทะเบียนกับเราจะเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้า 1,000 บาท ค่าธรรมเนียมรายปี 2,000 บาทต่อปี ส่วนใหญ่ผู้ทำธุรกิจนี้จะไปซื้อแฟรนไชส์จากเอกชน และกำหนดราคาค่าบริการตามใจ ซึ่งเราเข้าไปควบคุมราคาไม่ได้ ปัญหาคือเราไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ ซึ่งแตกต่างจาก ปณ.อ.
ปณ.อ.เปรียบเสมือนการเอาต์ซอร์ซงานออกไปเพื่อลดต้นทุน ในพื้นที่ตามตำบลห่างไกล ทุกเช้า ปณ.อ.จะต้องมารับไปรษณีย์ภัณฑ์จากศูนย์ไปรษณีย์ประจำจังหวัดหรือประจำอำเภอเพื่อนำไปแจกจ่ายในพื้นที่ที่ตนรับผิดชอบ รวมถึงรวบรวมไปรษณีย์ภัณฑ์มาส่งไว้ที่ศูนย์
การใช้ ปณ.อ. เป็นวิธีขยายการบริการในต่างจังหวัด ขณะที่แฟรนไชส์เป็นทางแก้ในเมืองใหญ่
- ร้านไปรษณีย์ไทยจะต่างจากร้านรวบรวมอย่างไร
ร้านไปรษณีย์ไทยจะได้รับการวางระบบทุกอย่างจาก ปณท. เราจะเข้าไปวางระบบคอมพิวเตอร์ เชื่อมต่อกับศูนย์ไปรษณีย์ ซึ่งจะให้บริการลูกค้าได้ในทุกบริการแบบเดียวกับที่ทำการไปรษณีย์
อย่างบริการด้านการเงิน, Pay@Post หรือธนาณัติออนไลน์ ก็จะให้บริการแบบ real time อาจช้ากว่าการใช้บริการ ณ ที่ทำการไปรษณีย์เพียง 5-10 นาทีเท่านั้น เนื่องจากระบบของร้านต้องส่งข้อมูลไปที่ศูนย์ไปรษณีย์ก่อนส่งต่อไปยังจุดหมายอีกทอดหนึ่ง
ระบบดังกล่าวจะไม่ทำให้แฟรนไชส์ต้องวุ่นวาย ขณะเดียวกันก็ประกันความเสี่ยงให้ ปณท. ด้วย เนื่องจากร้านแฟรนไชส์ต้องนำเงินหรือแบงก์
การันตีหรือนำสลากออมสินมาเข้าบัญชีค้ำประกันไว้ เมื่อมีการทำธุรกรรมการเงินจากลูกค้าเท่าใด ก็จะถูกหักยอดดังกล่าวออก ร้านก็จะได้รับเงินสดไว้ไม่ต้องนำส่งจนกว่ายอดเงินที่ค้ำประกันไว้จะหมด
ทางร้านต้องนำเงินมาเติมเพื่อให้บริการทาง การเงินแก่ลูกค้าได้ต่อไป หากไม่นำเงินมาเติมก็จะให้บริการไม่ได้ เหมือนบัญชี direct debit ที่แต่ละร้านเลือกยอดเงินที่ต้องนำมาค้ำประกันเองตามประมาณการลูกค้าของแต่ละร้าน ไม่ว่าจะเป็น 1 แสน 3 แสน 5 แสน หรือ 1 ล้านบาท ถึงสิ้นเดือนก็มาหักกลบลบหนี้ค่าธรรมเนียมระหว่างกัน
ร้านแฟรนไชส์ยังไม่ต้องนำไปรษณีย์ภัณฑ์มาส่งที่ศูนยแต่เราจะส่งคนไปรับถึงที่ร้าน ไปรษณีย์ภัณฑ์และบริการต่างๆ ก็จะไม่ล่าช้าไปกว่าการใช้บริการที่ ปณท. เราสามารถเข้าไปควบคุมดูแลแฟรนไชส์ได้ ทั้งเรื่องราคาและมาตรฐานการบริการ และนี่คือเรื่องสำคัญที่สุด
- ถ้าสนใจจะลงทุนต้องทำอะไรบ้าง
ค่าแฟรนไชส์ 2.5 แสนบาท มีค่าตกแต่งร้านอีกประมาณ 1.5 ถึง 2 แสนบาท ระบบคอมพิวเตอร์อีกประมาณ 1 แสนบาท เบ็ดเสร็จแล้วจะใช้เงินประมาณ 5.5 แสนบาท บวกกับเงินค้ำประกันในบัญชี direct debit ซึ่งแล้วแต่ร้านจะเลือกว่าจะกำหนดวงเงินหมุนเวียนในการให้บริการ
ในแง่ผลตอบแทนการลงทุน คาดว่าจะคืนทุนได้ภายใน 2 ปี 4 เดือน ซึ่งคำนวณแบบคอนเซอร์เวทีฟมาก แต่ก็อยู่ที่ทำเลด้วย ถ้าในย่านชุมชนคิดว่าประมาณ 1 ปีก็น่าจะได้ทุนคืนแล้ว เพราะร้านรวบรวมของเอกชนที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ บางร้านมียอดรับ EMS เป็นแสนๆ ฉบับต่อเดือน
เหตุที่เราคิดค่าแฟรนไชส์ 2.5 แสนบาท เพราะของเอกชนเองก็คิดกัน 2-3 แสนบาทแล้ว แบรนด์ไปรษณีย์ไทยจึงไม่ควรตกต่ำไปกว่านั้น
- มีแฟรนไชส์แล้วจะลดการเปิดที่ทำการของตนเองลง
ขณะนี้เรามีที่ทำการของตัวเอง 1,176 แห่ง และยังจะเปิดอยู่เรื่อยๆ ตามความเหมาะสมของ พื้นที่ จะเสริมในบางพื้นที่ที่ขาด
นอกจากนี้เพื่อให้ใกล้ชิดประชาชนมากขึ้น ก็จะมีโครงการรถยนต์ไปรษณีย์เคลื่อนที่ ซึ่งบอร์ด อนุมัติให้จัดซื้อเร่งด่วนไปแล้ว 7 คัน หลังจากทดลองให้บริการในพื้นที่สมุทรปราการ แล้วได้รับผลตอบรับดีมาก รถจะไปจอดตามโรงงานที่มีคนเยอะ จอดวันละ3จุด แต่ละจุดใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง
- รายได้ปีที่แล้วเป็นอย่างไร
ปี 2550 กำไรประมาณ 1,250 ล้านบาท จากรายได้ที่ 16,400 ล้านบาท สัดส่วนของรายได้มาจากบริการด้านการสื่อสาร 75%, ขนส่ง 10%, การเงิน 8% และค้าปลีก 7% ค่าใช้จ่ายปี 2550 มีประมาณ 13,300 ล้านบาท โดยกว่า 50% เป็นเงินเดือนพนักงาน ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูงสุด ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 2 หมื่นคน และกว่า 8 พันคนเป็นพนักงานนำจ่ายไปรษณีย์ภัณฑ์
ฉะนั้นโอกาสที่จะลดต้นทุนในส่วนนี้จึงยาก เพราะระบบไปรษณีย์หัวใจสำคัญคือ "รับมอบ ส่งต่อ นำจ่าย" จึงต้องลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นช่วย อาทิ รถประจำตำแหน่งผู้บริหาร เดี๋ยวนี้ถ้าเป็นระดับฝ่ายก็ไม่ให้แล้ว
สำหรับเป้าหมายในปีนี้คาดว่าจะมีกำไรประมาณ 1,400 ล้านบาท จากเทศกาลและวาระต่างๆ อาทิ การขนส่งอุปกรณ์และบัตรเลือกตั้งให้วุฒิสมาชิก, จับสลากฟุตบอลยูโร เป็นต้น แต่ต่อไปต้องพยายามปรับสัดส่วนรายได้ให้ไปสู่บริการขนส่ง, การเงิน และค้าปลีกให้มากขึ้น
- ภาวะน้ำมันแพงกระทบต้นทุนบริษัทมากไหม
ถ้าเป็นค่าน้ำมันจริงๆ ไม่ถึงร้อยล้านบาท เพราะใช้ระบบเอาต์ซอร์ซกว่า 70% ที่ทำเองจะเฉพาะในระยะทางไม่เกิน 100 กิโลเมตรรอบกรุงเทพฯเท่านั้น เป็นระบบที่ใช้มา 10 กว่าปีแล้ว ดังนั้นน้ำมันแพงจึงไม่กระทบเราโดยตรง แต่ไปกระทบค่าระวางการขนส่งที่เอาต์ซอร์ซมากกว่า โดยค่าระวางเป็นต้นทุนของบริษัทมากกว่า 20%
ส่วนการขนส่งที่บริษัทรับผิดชอบเองก็กำลังศึกษาว่าจะใช้พลังงานทดแทนได้หรือไม่
ขณะเดียวกันก็จะโหมประชาสัมพันธ์บริการเมสเซนเจอร์โพสต์ และระบบโลจิกโพสต์ให้มากขึ้น เพราะถือเป็นโอกาสดีที่น้ำมันแพงทำให้หลายบริษัทต้องควบคุมค่าใช้จ่ายในการขนส่งมากขึ้นจึงน่าจะหันมาใช้บริการของไปรษณีย์กันมากขึ้น
- มีแผนขึ้นราคาค่าบริการไหม
ปีนี้ไม่มี ขึ้นยาก แต่ต่อไปอีกนานๆ อาจต้องขึ้น เพราะข้อตกลงระหว่างประเทศกำหนดให้ต้องมีการคิดค่าส่วนแบ่งระหว่างประเทศ ในการเข้ามาใช้ระบบไปรษณีย์สากลในการส่งต่อไปรษณีย์ภัณฑ์ระหว่างกัน ขณะนี้ตกลงไว้ที่ 2% จากค่าบริการที่แต่ละประเทศคิดจากน้ำหนักแรกของไปรษณีย์ภัณฑ์
ประเทศไทยคือ 2% จาก 3 บาท แล้วทั้ง 2 ฝ่ายที่ส่งต่อหากันก็จะนำมาหักกลบลบหนี้ว่าใครต้องจ่ายให้เท่าไร กติกานี้ไทยเสียเปรียบเพราะส่งไปรษณีย์ออกไปเยอะ แต่ค่าบริการถูกกว่าประเทศอื่นๆ มาก ขณะนี้จึงมีความพยายามรวมกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผลักดันให้เกิดกติกาว่าหากพัฒนาคุณภาพของบริการเพิ่มได้ จะมีแต้มเป็นโบนัสที่นำมาหักค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้
กติกานี้จะมีผลบังคับใช้ประมาณปี ค.ศ.2014 ถ้าที่ประชุมสหภาพไปรษณีย์สากลในเดือนสิงหาคมนี้ที่ประเทศเคนยาอนุมัติ
- คิดจะแข่งกับเจ้าใหญ่ ของต่างประเทศบ้างไหม
ถ้าระหว่างประเทศคงไม่ไปแข่งด้วย เพราะ DHL หรือ UPS ก็มี มีโครงข่ายใหญ่มาก มีเครื่องบินเป็นของตัวเองด้วย ไปรษณีย์ไทยคงมีไม่ได้ แต่ถ้าเป็นโครงข่ายในประเทศก็น่าสนใจ เพราะบริษัทข้ามชาติเหล่านี้ ถ้ามาขยายสาขาคือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นเขาต้องควบคุม แต่ ปณท.มีโครงข่ายครอบคลุมทั่วประเทศอยู่แล้ว บางครั้งบริษัทข้ามชาติยังเอากล่องเขามาใส่กล่องเราเพื่อส่งต่อ
- มีแผนลงทุนอะไรใหม่ๆ บ้าง
การลงทุนที่สำคัญในปีนี้คือระบบบริหารทรัพยากรองค์กร ERP ที่ค้างจากปีก่อน ระบบคอมพิวเตอร์ และสร้างศูนย์พัสดุไปรษณีย์ใหม่ แทนที่เดิมที่จะหมดสัญญาเช่าที่บริเวณหัวลำโพงในปี 2553 รวมๆ แล้วคงจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท
หน้า 32
จากคุณ :
เสียงลมหนาว
- [
18 มี.ค. 51 14:37:41
]
|
|
|