ความคิดเห็นที่ 1 เริ่มเลยนะครับ ++++++++++++++++++++++++ อยากจะบอกว่า จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาที่ทำงาน จะต้องคอยสังเกตและศึกษาอยู่ตลอดว่า งานที่เรารับมาทำนั้น มันมาจากไหน มาจากใคร และ ไปไหนต่อ ไปยังไง ใครตรวจสอบ เพื่อดูว่าตำแหน่งที่สูงกว่าเรานั้น เค้ารับผิดชอบเรื่องอะไร พยายามเรียนรู้ให้ได้ว่าเรายังขาดอะไรอีกในการเลื่อนตำแหน่ง มันไม่ยากอย่างที่หลายๆคนเข้าใจนะครับ เหมือนคนจีนว่า อย่าถามว่าเมื่อไรจึงจะได้เลื่อนตำแหน่ง แต่ให้ถามว่า หากได้เลื่อนตำแหน่งวันนี้ เรามีความสามารถพร้อมกับตำแหน่งนั้นๆหรือยัง ผมเองก็ทำตามที่กล่าวมาข้างต้น พอมีโอกาสให้รีบเสนอตัวทันทีไม่ต้องรอ ถ้าคิดว่าพร้อม โดยส่วนมากจะได้ตามที่เสนอ แต่ต้องย้ำว่าพร้อมจริงๆนะครับ คิดว่าคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ สำหรับคนจบใหม่ หรือ กำลังทำงานอยู่ จากคุณ : Jesus - [ 12 มี.ค. 51 02:18:14 A:41.243.187.16 X:198.54.202.102, 196.25.255.195 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:08:39 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ++++++++++++++++++++++++ เห็นมั้ยครับ คนส่วนใหญ่คิดว่ามันยากจริงๆ ผมถามง่ายๆ เวลาคุณจะเลื่อนตำแหน่งให้ใครสักคน ต้องพิจารณาหลายๆอย่างใช่มั้ยครับ เพราะมันอาจจะมีผลกระทบกับคนเก่า แต่ ความจริงก็คือ ช่วงเวลาที่คุณเข้ามาทำงานใหม่ๆ หัวหน้าก็กำลังมองคุณทุกฝีก้าวเช่นกัน ดังนั้น ช่วงเข้างานใหม่เป็นจังหวะที่ดีมากในการ เลื่อนตำแหน่ง เพราะไม่มีตัวเปรียบเทียบ (อัตรการลา สาย ขาดงาน) ประเด็นของผมก็คือว่า การเลื่อนตำแหน่ง + เงินเดือน มันไม่ได้ยากอย่างที่เข้าใจกัน ถ้าคุณรู้จังหวะ และ ประเมินสถานะได้ขาด ทุกครั้งที่ผมเลื่อนตำแหน่ง ไม่ใช่ว่าหัวหน้าเค้าปรับให้เองซะหน่อย มันมาจากการเสนอของผมด้วยเหตผลที่คิดว่าดี แล้วทุกครั้งที่ผมเสนอ มันก็ได้ตามนั้น เท่านั้นเอง จากคุณ : Jesus - [ 12 มี.ค. 51 16:48:11 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 198.54.202.214 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:11:12 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ++++++++++++++++++++++++ อธิบายเพิ่มเติมให้แล้วกันนะครับ เผื่อเป็นแนวทาง - โรงงานคนไทย (Design Engineer) อันนี้ไม่มีอะไร ปรกติ เพิ่งจบ กำลังเรียนรู้ระบบ ลาออกเพราะเงินเดือนน้อย - บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น (Design Engineer) สี่เดือน เดินเข้าไปคุยกับญี่ปุ่น ว่าผมทำงานตำแหน่ง senior design engineer ได้ เพราะว่าพร้อม และอธิบายเค้าว่า พร้อมยังไง เค้าก็โอเค ลาออกเพราะได้ที่ใหม่ เงินเดือนเยอะกว่า ที่สำคัญ เป็นบริษัทฝรั่ง - บริษัทฝรั่ง A (Design Engineer) หนึ่งปีเงินเดือนขึ้นสองรอบ ขึ้นรอบแรกตอนผ่านโปรสามเดือน หลังจากนั้นอีกหกเดือนเงินเดือนขึ้นอีกรอบ เพราะว่า เดินเข้าไปคุยกับหัวหน้า เสนอตัวเองรับหน้าที่เพิ่มเติมจาก job description และอธิบายอีกครั้งว่าพร้อมยังไง เค้าก็โอเค ลาออกเพราะหัวหน้างานเริ่มงี่เง่ามาก ทนไม่ไหว -โรงงานฝรั่ง (Design Engineer) สามเดือน อันนี้ปรกติ ออกเพราะว่ามันไกลบ้านมาก เดินทางไม่ไหว - บริษัทฝรั่ง B (Project Engineer) สี่เดือน เลื่อนตำแหน่งไปหนึ่งครั้ง อันนี้เข้ามาเป็นตำแหน่งใหม่เป็นครั้งแรก หลังจากทำงานในตำแหน่ง design engineer มาหลายที่แล้ว เลยสมัครเป็น project engineer เพื่อดูภาพรวมของ project หลังจากนั้น บังเอิญที่บริษัทมี project นึง ที่ติดค้างส่งมอบให้ลูกค้ามานานมาก และไม่มีใครอยากรับไปทำต่อ ลูกค้าโกรธมากๆ ผมก็เลยเสนอตัวเองรับงานนี้ไปดู พร้อมกับข้อเสนอ (ตำแหน่งใหม่ เป็น Project manager แต่เงินเดือนเท่าเดิม เพราะว่าต้องการ referent ในตำแหน่ง project manager ไว้หางานใหม่) ลาออกเพราะว่าหัวหน้าเป็นฝรั่ง ลูกค้าเป็นคนไทย ลูกน้องก็เป็นคนไทย น่าเบื่อมาก - บริษัทฝรั่ง C (Project Engineer) สามเดือน งานที่นี่มันส์มาก ลุยกันสุดๆ ลูกค้าส่วนากอยู่ที่ต่างประเทศ ต้องเดินทางไปประกอบและติดตั้ง setup โรงงานตามไซด์งานต่างๆ - บริษัทฝรั่ง C (Project Manager) เพิ่งเลื่อนตำแหน่งเมื่อวาน และเช่นเคย มีงานใหม่เข้ามา priject ใหญ่พอสมควร แต่ว่างานล้นมือกันทุกคน PM ที่มีอยู่ก็ติดงานอื่น เลยคุยกับเจ้าของบริษัท บอกว่าเราทำได้ ขอทำ เค้าก็คุยกับ PM ที่เหลือ ทุกคนOK ก็เลยเพิ่งเลื่อนนี่แหละครับ ที่ผมอยู่ที่แรก เงินเดือน 8,000 ได้ตั้งปี เพราะว่าผมได้ทำงานอยู่ในห้องเดียวกับผู้จัดการโรงงาน เห็นเค้าว่างเมื่อไรผมถามแหลก ว่าแกขึ้นตำแหน่งนี้มาได้ยังไง ต้องรู้อะไรบ้าง บุคลิคจำเป็นมั้ย บลา บลา บลา แล้วสุดท้ายผมก็ได้แกเป็นต้นแบบ ทำตามที่แกแนะนำทุกอย่าง ทุกวันนี้ยังโทรคุยกับแกอยู่แลยครับ จากคุณ : Jesus - [ 12 มี.ค. 51 17:11:23 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 196.25.255.194 ] ++++++++++++++++++++++++ ขออนุญาตตัดบางส่วน เช่น "เรื่องเงิน" ออกนะครับ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:16:14 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ++++++++++++++++++++++++ งานที่สุดท้ายเป็นลักษณะงานแบบเป็น project ๆ ไป แล้วแต่ลูกค้า ส่วนมากจะอยู่ที่ต่างประเทศ ระยะเวลาก็แตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่ 4 เดือน ถึง 1 ปี คนที่คุมงานโดยรวม Project Manager ท่านอื่นๆ ก็จะรับงานไปดูแลส่วนมากไม่เกิน 3 งาน ในเวลาเดียวกัน ทีนี้ โดยนิสัยฝรั่ง ถ้าเรากล้าขอ มันก็กล้าให้ (ถ้าไม่เสี่ยงมาก) ถ้าทำได้ก็ทำต่อไป ถ้าขอแล้วทำไม่ได้ อันนี้ลาออกสถานเดียวนะครับ พอดีจังหวะงานใหม่ที่เข้ามา ผมเป็นคนไปประชุมพร้อมกับเจ้าของมาแล้วหลายๆครั้ง รู้ที่มา ที่ไปเกือบทั้งหมด งานในส่วนที่ผมรับผิดชอบมันเริ่มล้าช้า ผมเลยถามว่าทำไมช้อมูลมันมาช้า ผมทำงานต่อไม่ได้ เจ้าของก็บอกว่าคนอื่นๆเค้างานยุ่งกันหมด ไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพงานนี้เลย ผมเลยกลับมาคิด ดูรอบๆด้สนแล้วน่าจะเอาอยู่ เลยเข้าไปคุยกับเจ้าของ อธิบายว่า ถ้าให้เราคุม เราจะทำอย่างไร ขั้นตอน แผนงาน เป็นยังไง เค้าขอเวลาคุยกับ Project Manager ท่านอื่นๆก่อน (มีอีก 2 คน) ระหว่างนั้นผมก็รีบโทรหาทั้งสองท่านทันที บอกเค้าว่าเราทำได้ อยากให้ช่วยสนับสนุนหน่อย ทั้งสองท่านก็บอกว่ามันเหนื่อยนะ แต่ถ้ายูอยากลอง ไอคิดว่ายูพอได้ แล้วเจ้าของเค้าก็บอกว่าโอเค ลุยได้เลย แล้วก็ยื่นเงินเดือนใหม่มาให้ เท่านี้อ่ะครับ ตอนนี้ก็เหนื่อยเหมือนกัน. ใครทำงานกับฝรั่ง ลองดูก็ได้ครับ จากคุณ : Jesus - [ 12 มี.ค. 51 22:46:30 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 196.25.255.250 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:18:29 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ++++++++++++++++++++++++ ที่บริษัทญี่ปุ่นนั้น เสต็ปมันจะไม่เหมือนกันครับ ผมทำได้สองเดือนแรก ผมยื่นใบลาออก ทนไม่ไหว กลับดึกเงินเดือนน้อย ตามสไตล์ญี่ปุ่น หัวหน้าคนไทยกับคนญี่ปุ่นเรียกมาคุยบอกว่าไม่อยากให้ออก ยูทำงานเร็วมาก ผมบอกไอ้คนที่เข้ามาพร้อมกัน มันทำช้า ไม่เห็นใครว่าไร เงินเดือนเท่ากัน ไม่แฟร์ เค้าบอกทนๆไปก่อนเดี๋ยวสิ้นปีจะเลื่อนให้เป็น senoir เค้าจะ support ให้ ผมบอกไม่ไหว นานไป ก็เลยถามเค้า senior เงินเดือนเท่าไร เค้าบอกมา ผมก็ว่าใช้ได้ 2x,xxx ก็เลยถามเค้าว่า senior ต้องทำอะไรได้บ้าง เขียนมาเลยเป็นข้อๆ แล้วผมจะรีบศึกษา ถ้าทำได้ตามนี้เมื่อไร ยูต้องปรับไอขึ้นนะ เค้าโอเค หลังจากนั้น หัวหน้าญี่ปุ่นเค้าก็เริมโยนงานของ senior มาให้ทำมากขึ้นเรื่อยๆ ครบสองเดือนก็เลื่อนครับ แต่พอดีที่ใหม่เค้ายื่นมา 30,000 เลยออกทันทีเลยครับ ผมถือว่าทำงานเพื่อเงิน เวลาของผมมีค่าที่สุด เรื่องความภักดีต่อองค์กรมันก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมเลือกเงินไว้ก่อน เป็นฐานเงินเดือนดีกว่า วิศวกร หลายๆคน คงรู้ว่า เวลาหางานใหม่ ขอเงินเดือนเยอะไม่ได้ มันติดฐานเงินเดือนเก่า ใช่มั้ยครับ นั่นแหละครับ เหตุผลที่ผมเปลี่ยนงานบ่อยๆ จากคุณ : Jesus - [ 12 มี.ค. 51 23:01:23 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 196.25.255.194 ] ++++++++++++++++++++++++ เปลี่ยนสีบ้างนะครับ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:20:29 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ++++++++++++++++++++++++ จริงๆมันก็มีอีกเยอะที่ไม่ได้เขียน มันยาว สัมภาษณ์งานมาตั้ง 40-50 ที่ เวลาพูด พูดยังไงให้ได้งาน เวลาโดนถามว่าทำไมออกจากที่เก่า ให้ตอบยังไง ถามว่าเงินเดือนที่เรียกมาสูงไป ต่อรองยังไง เวลาทำงาน ต้องมองที่ตรงไหน พูดไปก็ยาว ขอบคุณที่อ่านแล้วกัน ผมดีใจที่เลื่อนตำแหน่ง มาเล่าสู่กันฟัง คนไทยด้วยกัน ทำงานกินเงินเดือนเหมือนกัน แถมให้เรื่องนึง มีอยู่คนนึง ผมนั่งสัมภาษณ์เค้าเข้าทำงาน นั่งกับ PM อีกคน คุยไปคุยมา พอถามเรื่องเงินเดือน พี่แกหันมาพูดไทยกับผมเฉยเลย ถามว่าผมได้เท่าไร ประมาณว่า กะว่าฝรั่งมันคงฟังไทยไม่รู้เรื่องมั้ง ผมก็บอก คุณอยากได้เท่าไรล่ะครับ ว่ามาเลย เค้าก็ย้ำอีก ถามว่าผมได้เท่าไรล่ะ กะว่าจะได้เรียกให้ใกล้เคียงกันมั้ง เลยบอกเค้าว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมให้คุณ 1 ล้าน คุณเอามั้ย เค้าบอกเอาครับ พี่ล้อเล่นรึเปล่า ผมบอกเปล่า พูดจริงๆ แต่ต้องตอบคำถามพี่ข้อนึงนะ เค้าบอก ถามมาเลยครับ ผมถาม "ไหนลองอธิบายให้ฟังหน่อย ว่าคุณจะทำเงินให้บริษัท มากกว่าเดือนละ 1 ล้าน ได้ยังไง" เค้าบอก งั้นผมขอเงินเดือน 17,000 พอคับ ผมเข้าใจแล้ว สรุป คนนี้ไม่ได้งาน จากคุณ : Jesus - [ 12 มี.ค. 51 23:35:27 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 196.25.255.250 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:22:36 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ++++++++++++++++++++++++ คิดหนักเหมือนกันตอนที่ย้ายสายมาจากฝั่ง Automotive แต่ดูแล้วมันน่าจะตัน เพราะโครงสร้างบริษัทมันใหญ่มาก แหวกทางโตลำบาก เลยโดดออกมา ได้เรื่องเลยครับ จากคุณ : Jesus - [ 13 มี.ค. 51 03:27:23 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 198.54.202.250 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:24:41 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ++++++++++++++++++++++++ ผมทำ EPCM ครับ แนว ปรึกษา , ออกแบบ , วางระบบ , สร้าง , Setup ระบบ เกี่ยวกับ Gas ทุกชนิด เพื่อปั่นไฟฟ้า ตามไซด์งานลูกค้าครับ แถมให้หน่อย เจ้าของบริษัทเค้าเคยบอกผมว่า คุณรู้มั้ย มืออาชีพ ต่างกับมือสมัครเล่นตรงไหน ? ผมบอกไม่รู้ครับ เค้าบอกว่า มือสมัครเล่น จะทำงานไม่สำเร็จ แม้ว่าเค้าอยากจะทำงานนั้นมากแค่ไหนก็ตาม และมีเหตุผลร้อยพัน ว่าทำไมมันถึงไม่สำเร็จ ส่วน มืออาชีพนั้น จะทำงานสำเร็จเสมอ แม้ว่าเค้าจะไม่อยากทำงานนั้นๆเลยก็ตาม ไม่ว่าจะเบื่อหน่าย เหนื่อย ใดๆก็ตามแต่ งานจะเสร็จเสมอ แม้ว่าบางครั้งเค้าก็บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน น่าจะมีประโยชน์ครับ เอามาแชร์ จากคุณ : Jesus - [ 13 มี.ค. 51 12:04:47 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 198.54.202.234 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:26:18 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ++++++++++++++++++++++++ รุ่นผมจบมา 38 คน ได้แบบนี้ 3 คน คิดแล้วมันก็ 7% นาคับ ผมเองก็เรียนรู้เอาจากหน้างานเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้เทพมาจากไหน ก็เลยคิดว่าวิธีนี้ใช้ได้ เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง ชื่อบริษัทที่ผมทำและเคยทำ อย่ารู้เลยครับ มันไม่สำคัญหรอก ถ้าเกิดมันตรงกับที่คุณกำลังทำอยู่ แล้วได้เงินเดือนน้อยกว่าผมคุณก็ไม่สบายใจเปล่าๆ อีกอย่าง เวลาทำงาน ตำแหน่งเดียวกัน อาจจะไม่จำเป็นต้องได้เงินเดือนเท่ากันนะครับ ขึ้นอยู่กับการต่อรอง ย้ำ การต่อรอง เอาเป็นว่า หลังจากอ่านแล้วคุณคิดว่ามันมีประโยชน์กับคุณมั้ย ปรับใช้ได้รึเปล่า ดีกว่าครับ เห็นคนเข้ามาอ่านกันเยอะ ก็ดีครับ เผื่อจะมีคนเอาไปใช้บ้าง จากคุณ : Jesus - [ 13 มี.ค. 51 12:46:19 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 198.54.202.226 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:28:58 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ++++++++++++++++++++++++ เอาอีกซักเรื่องดีกว่า จะได้เป็นประโยชน์กับท่านผู้ที่ติดตามรับชม ฮา ตอนทำงานที่แรก (8,000) จริงๆแล้วเป็นบริษัทคนไทยร่วมทุนกับญี่ปุ่น เพื่อผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ส่งให้กับโรงประกอบรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ มีตั้งแต่ อีซูซุ ไปถึง เบนซ์ เยอะแยะไปหมด แต่ว่าที่โรงงานนี้เค้าเน้นการสร้างเครื่องจักรใช้เองมากกว่าซื้อมาจากต่างประเทศ เพราะมันแพงมาก ผมเองเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้ครับ แต่น แตน แต้น "ออกแบบเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิต" ว่าแล้วทั่นหัวหน้าก็โยนชิ้นงานมาให้ดู เป็นตัวอย่างจากลูกค้า เราต้องผลิต xx,xxx ชิ้นต่อเดือน ออกแบบเครื่องให้หน่อย ให้เวลา 1 เดือน เอาล่ะสิครับทั่น ความระทึกมาเยือน เพราะต้องทำคนเดียว วิศวกรท่านอื่นๆก็ออกแบบเครื่องของแต่ละคน แยกจากกัน ไม่ได้ทำงานกันเป็นทีม ประมาณว่า All in one เหมือนรีจอยส์ น่ะครับ ฮา ก่อนอื่น ก็ไปนั่งอ่านแคทตาลอกอุปกรณ์ไฟฟ้า เซ็นเซอร์ นิวเมติกส์ และอื่นๆ 2 วันเต็มๆ ในห้องเก็บเอกสาร เพื่อดูว่าโลกนี้เค้าใช้อะไรกันมั่ง ตอนนั้นรู้น้อยมากครับ อาศัยอ่านแคทตาลอกเอา รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง อ่านๆไปก่อน ฮา หลังจากนั้น ก็มานั่งบ้าอยู่คนเดียวในห้องประชุม เขียนไวท์บอร์ดไปเรื่อยๆ ว่าเครื่องมันหน้าตาควรจะเป็นยังไง จนได้ข้อสรุปที่คิดว่า นี่แหละ คำตอบสุดท้าย ( Conceptual Design ) เพื่อสรุปให้หัวหน้าเค้าฟังก่อนเริ่มลงมือทำ ต่อมาก็คือขั้นตอนการออกแบบรายละเอียดของตัวเครื่องในแต่ละชิ้น ขั้นตอนนี้หินที่สุด ปวดหัวมาก เพราะโจทย์มันครอบจักรวาล เครื่องนี้จะต้อง - ราคาไม่แพง - ทำงานได้ดี - ทนทาน - ปลอดภัย - ดูแลรักษาง่าย - ประกอบง่าย - มีความรวดเร้วในการทำงานสูง - ประหยัดเนื้อที่ (ขนาดเล็ก) เพื่อไม่ให้เปลืองพื้นที่ในไลน์การผลิต - และ อื่นๆ อีกมากมาย เอาล่ะสิครับ หัวฟูเลย คิดแล้วคิดอีก เพราะว่ามันต้องตอบโจทย์ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน คิดอยู่สองวัน งานไม่เดิน จนทนไม่ไหว ขอลาช่วงเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อกลับสถาบัน เตรง เตร่ง เตร๊ง (ลิเกไปมั้ยวะเนี่ย) พอเจอทั่นอาจารย์ที่เคารพ (อ.ที่ปรึกษา) ก็เค้าไปคุยเพื่อขอคำชี้แนะ ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่าเราไปไม่ถูก ตัวแปรมันเยอะเกิน คิดพร้อมกันมันปวดหัว ไปไม่เป็นเลยครับทั่น อาจารย์ท่านก็หัวเราะ แล้วก็ส่ายหัว (เราก็นึกในใจ สงสัยเราจะโง่มากเลยใช่มั้ยครับ ) แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ช้าๆ ว่า "คุณรู้มั้ย ว่า textbook ที่คุณเรียนน่ะ ไอ้ที่มันหนาๆเป็นร้อยๆหน้าอ่ะนะ เวลาเค้าเขียนขึ้นมา เค้าเขียนยังไง" ผมตอบทันควันด้วยความมั่นใจ "ไม่ทราบครับ" ท่านกล่าวต่อ (ประโยคอมตะสำหรับผมเลยครับ จะจำจนวันตาย) "เวลาเค้าเขียนน่ะ เค้าเขียนทีละตัวอักษร ทีละตัว ทีละตัว จนเป็นคำ" "จากคำ เป็นประโยค เป็นย่อหน้า เป็นหน้า หลายๆหน้า ก็เป็นเล่ม" "คุณกำลังทำอะไรอยู่ เขียนทีละคำ หรือเขียนทีละเล่ม ?" วาบ วาบ แปล๊บ แปล๊บ (เอ็ฟเฟ็กส์) เหมือนมีแสงวาบๆ ในหัวทันที มันโล่งบอกไม่ถูก พูดแล้วน้ำตาซึม เรามีอาจารย์ดีอย่างนี้ เป็นบุญจริงๆ แล้วท่านก็กล่าวต่อว่า "เราเป็นวิศวกรแล้วนะ วิศวกรที่ดี จะต้องไม่ทำอะไรที่ดูแล้ว ไม่ฉลาด เข้าใจมั้ย" หลังจากนั้นมา ก็ลื่นเลยคับ คิดทีละเรื่อง อย่างอื่นช่างมัน ดูน็อตทีละตัว ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ แก้ไขปรับแต่งไปเรื่อยๆ ไม่เครียดแล้วคราวนี้รู้สึกสนุกมาก เครื่องเสร็จเรียบร้อย ทำงานได้ดี ไม่มีปัญหา คิดว่าคำสอนของท่านอาจารย์ผมน่าจะมีประโยชน์กับหลายๆคน เล่าสู่กันฟังครับ จากคุณ : Jesus - [ 13 มี.ค. 51 20:07:54 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 198.54.202.214 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:31:10 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ++++++++++++++++++++++++ เอาเรื่องใหม่ดีกว่า ก่อนจะออกทะเลซะก่อน ตอนที่อยู่ที่ 30,000 บริษัทฝรั่ง A (Design Engineer) เริ่มทำงานกับฝรั่งเป็นครั้งแรก ตอนนั้นภาษาอังกฤษ ระดับงูๆปลาๆเท่านั้นเอง เวลาเค้าพูดเร็วๆ ฟังไม่รู้เรื่องเลย โชดดีที่ทีมงานคนอื่นๆ ไม่มีใครอยู่ที่ไทย เวลาติดต่อกันก็ทางอีเมล์อย่างเดียว มีบ้างเวลาเค้าโทรมาสั่งงานเรา เราก็เยสๆ โนๆ แล้วสุดท้ายก็พูดว่า I quite not sure i understand you correctly. Can you please send me an email ? แฮ่ๆ เล่นมุขนี้อยู่เกือบเดือน จนวันนึงเจ้านายเรียกไปคุย Q: Would you able to go to UK ? A: Yes, but what for ? Q: Wehave a new project in Hong Kong and it's quite a big project, I want you to be there with other engineers so you can communicate quickly. This project we do not have time for email. A: Umm, How long ? Q: About 2 months. A: (คิดในใจ จะรอดมั้ยวะเนี่ย ภาษาก็ไม่ค่อยดี แต่เอาวะ ไม่มีไรจะเสีย เหมือนเดิม ฮา) Q: Let's xxx prepare for your visa and will be discuss for the rest OK ? A: Yeah OK. ตัดมาที่สนามบิน (Alone to UK) ไม่เคยเดินทางออกนอกไทยมาก่อน ตุ้มๆต่อมๆ กลัวหลงทาง กลัวทำงานไม่ได้ กลัวพูดกับทีมงานไม่รู้เรื่อง กลัวไปหมด คิดไปต่างๆนาๆ ในมือก็ถือกระดาษจดเบอร์มือถือเจ้าของบ. ที่โน่น เอาไว้โทรหาตอนเครื่องจอด แล้วแกจะมารับ นั่งการบินไทย รวดเดียวถึง ไม่ต้องพักเครื่อง พอไปถึง ลงมาจากเครื่อง หนาวพอดู เดินตามเค้าไปที่ตรวจคนเข้าเมือง เยสๆ โนๆ แล้วก็ผ่านออกมา รอรับกระเป๋า พอได้กระเป๋าก็เอาล่ะ ควักเบอร์เจ้าของบ.มาเลย ตรงดิ่งไปที่ตู้ ขอเค้าแลกเหรียญ แต่เอ....เบอร์ในมือมันคือ +44-xx-xxxx-xxxx-xx แล้วตรูจะกดยังไงวะ ไม่เห็นมีเครื่องหมาย + ให้กดเลย เดินไปถามฝรั่งมันคนนึง มันบอก ยูไม่ต้องกด 44 นะ ที่เหลือ ยูกดได้เลย แล้วมันก็จากไป เราก็มาโทรใหม่ กดตามที่มันว่า เฮ้ย มันพูดเหมือนมือถือเมืองไทยเวลาโทรไม่ติดเพราะปิดเครื่องอ่ะ เอาล่ะสิ ซวยแล้วมั้ยกรู จะไปยังไงต่อล่ะเนี่ย ก่อนอื่น เดินไปซื้อกาแฟกินก่อน สงบสติอารมณ์ ยืนคิดๆๆๆๆ อ่อ ใช่ๆ คิดออกแล้ว เปิด notebook ดูท้ายๆอีเมล์ของนายเรา มันเขียนว่า BKK Office +66 xxxx xxxx อ่อ ไอ้ฝรั่งเฮงซวย หลอกกันซะได้ มันต้องกด 0 ก่อนโว้ย ฮ่า ๆๆๆ ว่าแล้วไปโทรใหม่ คราวนี้เรียบร้อย เค้ามารับไปที่บ้าน เริ่มทำงานทันทีวันรุ่งขึ้น นอนไม่หลับเลยคืนแรกๆ ตื่นเต้น นอนคิดไปเรื่อย แล้วก็เช้าพอดี ก็ไปทำงานพร้อมกัน. จบตอนนี้ก่อน เดี๋ยวมาต่อใหม่ กับเรื่อง "เสียวหลง in London" โปรดติดตามตอนต่อไป จากคุณ : Jesus - [ 14 มี.ค. 51 00:35:05 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 196.25.255.218 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:33:06 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ++++++++++++++++++++++++ แจมได้ทั้งนั้นแหละครับ มาแชร์กัน คนมาอ่านน่าจะได้ประโยชน์ ไม่มาก ก็ น้อย เราทำงาน กินเงินเดือน เหมือนๆกาน มาต่อที่เรื่อง "เสียวหลง in London" ก่อนนอน หลังจากไปอยู่ที่ UK ได้หนึ่งสัปดาห์ เริ่มปรับเวลาได้แล้ว (เวลามันต่างจากไทย 7 ชั่วโมง) เย็นวันศุกร์ เจ้าของเค้าก็บอกว่า ยูอยากไปเที่ยว ลอนดอน มั้ย โห ถามอย่างนี้ จะเหลือเหรอ ไหนๆก็มาแล้ว เค้าบอกเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าเค้าไปส่ง (เจ้าของบริษัทใจดี เป็นคนอังกฤษ) ตอนเช้าก็เค้าก็ขับรถไปส่ง พอออกจากประตูบ้านปั๊บ เอาล่ะสิ กลัวหลงทาง กลับไม่ถูก รีบควักสมุด และปากกา วาดแผนที่ตามทางที่เค้าขับทันที เป็นโค้ดทีละบรรทัดอ่ะครับ เข้าใจอยู่คนเดียว ยึกยือ ยึกยือ แล้วรถก็มาจอดที่สถานีรถไฟ !!! อ้าว ไหนว่าไปส่งตรูไง นึกว่าไปส่งถึง London เค้าบอกยูนั่งรถไฟไปนะ เดี๋ยวไอซื้อตั๋วให้ ยูกลับถูกใช่มั้ย โห เสียว วาบ วาบ (เสียวหลง ชิหาย ยิ่งโง่ทางอยู่ด้วย ) แค่ในไทยตรูยังหลงประจำ แต่ เอาวะ ฮ่าๆ มุขนี้ตลอด ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เค้าก็พาไปซื้อตั๋ว ไป-กลับ พร้อม pocket money = 50 GBP แฮ่มๆ (ใจดีมะ) บอกยูเอาติดตัวไว้ แล้วเค้าก็ขับรถกลับ เราก็ยืนดูตั๋วอยู่ มันบอก 9.45 AM เราก็นึก โอ้อีกตั้ง 20 นาที ว่าแล้วก็ตามเสต๊ปเดิม เดินไปซื้อกาแฟกิน เพราะมันหนาว เวลาหนาวๆนี่ จิบกาแฟร้อนๆ มันจะได้อารมณ์มาก แล้วเรื่องระทึกก็มาถึง !!! ติ๊ง ต่อง ติ๊ง ต่อง (เสียงเหมือนประชาสัมพันธ์ในห้างบ้านเรา) " แอทเทนชั่นพลีส " " ฟุด ฟิด ฟุด ฟิด " (สำเนียงอังกฤษ นึกถึงเวลาดูแฮรี่) จับใจความได้ว่า สถานีต้องปิดซ่อมอะไรซักอย่าง คนที่จะไปลอนดอนเที่ยว 9.45 น. ให้ไปขึ้นรถบัส เพื่อไปอีกสถานีนึง ใช้ตั๋วเดิม เอาแล้วกรู กาแฟไม่อร่อยเลย ใจสั่น (ส่วนตัวโง่ทางมากๆ หลงประจำ) ก็อ่านป้ายหน้ารถบัส แล้วก็เดินตามเค้าไป ระหว่างอยู่บนรถ รีบมองดูที่ผู้โดยสารคนอื่นรอบๆตัว ใครถือตั๋วมั่ง แอบอ่านตั๋วเค้า ว่าไปลอนดอนเหมือนกันรึเปล่า เพราะว่าสถานีรถไฟที่นั่นมันมีหลายชานชลา ต้องไปขึ้นให้ถูก ไม่งั้นตกรถ ต้องซื้อตั๋วใหม่ เหลือบไปเห็นคนนึง ผู้หญิง อายุก็น่าจะพอๆกัน แฮ่มๆ เอาวะ คุยเลย ฮา ก็เค้าไปชวนคุย บอกไอจะไปลอนดอนเหมือนกัน ก็ตามเค้าไปจนถึงนั่นแหละ พอไปถึงก็เอาเลย รีบเดินหา 7-11 ซื้อบัตรโทรศัพท์ ราคา 20 GBP โทรกลับไทยซะหน่อย โทรกลับบ้าน คุยกะแม่ คุยไป 3 นาที ตัด บอกเงินหมด ตรูจาบ้า อะไรฟระ เงินตั้งเกือบ 1,500 บาท (เพิ่งรู้ตอนหลัง เวลาโทรต่างประเทศ ให้ไปซื้อ pin card จะถูกกว่ามาก โทรกลับไทยนาทีละ 0.75 บาทเอง คุยกันขี้แตกไปเลย) จากนั้นก็ไปซื้อตั๋วนั่งรถทัวร์รอบๆเมือง ทีเดียวจบ มีไกด์แนะนำ ก็ถ่ายรูปมาพอสมควร พอถึงขากลับ ก็มุขเดิม มองตั๋วชาวบ้านเค้าไปทั่ว พอเจอปี๊บเดินตามสะกดรอยทันที ไปไหนไปด้วย ฮา ลงรถไฟ ต่อรถเมล์ แล้วก็เดินตามลายแทงส่วนตัว กล่าจะกลับมาได้ เหนื่อยเหมือนกัน ของที่นั่นแพงทุกอย่าง ซื้อไม่ลงเลย ยกเว้น notebook และ ผลกีวี่ สองอย่างนี้แหละที่ถูกกว่าไทย เอาเท่านี้ก่อน ไว้ต่อตอนหน้า "ฝันหวาน ที่ Hong Kong" จากคุณ : Jesus - [ 14 มี.ค. 51 02:00:31 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 196.25.255.210 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:34:51 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ++++++++++++++++++++++++ เพิ่งตื่น หนาวมาก 15 C วันนี้ต้องลุยงานให้จบ เพราะพรุง่นี้บ่ายกลับไทย แฮ่มๆ อยากกินแกงเขียวหวาน ผัดกระเพรา แกงจืด แฮ่มๆ บริษัทที่ทำเป็นสาขาครับ ตั้งอยู่ในไทย รับผิดชอบงานทั่วเอเซีย (บางทีก็ตะวันออกกลาง และ แอฟริกา เช่นตอนนี้ แฮ่มๆ) บริษัทแม่อยู่ที่ UK พนักงานทั้งหมดประมาณ 20 คน มาจากทั่วโลก เวลาประกอบเครื่อง อาจเพิ่มเป็น 100 คน พอจบงานเหลือ 20 เหมือนเดิม มีคนนไทย 2 คนครับ ผมกับพี่ xxx ที่เป็น admin ในไทย ที่เหลือ UK, SG, USA, CH, ID, FR เวลาประชุมใหญ่ทีไร ฟังกันมึนไปหมด ฟุด ฟิด ฟุด ฟิด (สำเนียงชาวโลก) ฮา อยากรู้อะไรเพิ่มเติม ถามไว้ได้เลย เดี๋ยวเย็นนี้กลับมาต่อ (ค่ำๆ เมืองไทย) สัก 2-3 ตอน นอนดึกได้คืนนี้ พรุ่งนี้เก็บกระเป๋ากลับไทย (เพื่อไปที่อื่นต่อ) ปล. 1. อมยิ้มยังใช้ไม่ได้ เค้าอีเมล์มาบอกให้แปลี่ยนนามแฝงใหม่ มันไม่สุภาพ ต้องรออีก 2 วัน (อยู่ไทยพอดี ถึงจะใช้ได้มั้ง) 2. ถามเรื่อง HR,การทำงาน,เทคนิค,แนวคิด ดีกว่าครับ ยินดีตอบเท่าที่ความรู้จะอำนวย จะได้แชร์ๆกัน ขอบคุณที่ติดตาม แฮ่มๆ จากคุณ : Jesus - [ 14 มี.ค. 51 12:05:12 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 196.25.255.250 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:37:09 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขออภัยด้วยครับ ข้ามไป 1 ตอน ตอนนี้อยู่ระหว่างความคิดเห็นที่ 9 กับ ความคิดเห็นที่ 10 นะครับ ++++++++++++++++++++++++ แชร์ตอนที่ไปสัมภาษณ์งาน บริษัทคนไทย-จีน ตอนที่ยังเรียนอยู่ปี 4 แล้วกัน ตอนนั้นเพิ่งขึ้นปีสี่ แต่อยากลองหางานดู เลยนั่งทำ Resume ส่งไปสมัคร เพราะว่าอยากรู้ว่าชีวิตของวิศวกรในโรงงานมันเป็นยังไง แล้วเรายังขาดอะไรอีกบ้าง เพราะว่าเหลือเวลาอีก 1 ปีให้เติมเต็มส่วนที่ขาด ตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องเงินเดือนเลย รู้แค่ว่า ถ้าพอใช้จ่ายเป็นค่ารถ ค่าโทรศัพท์ เราก็ดีใจแล้ว บริษัทเค้าก้เรียกมานัดสัมภาษณ์ ตื่นแต่เช้า โดดเรียนไปสัมภาษณ์งาน ตื่นเต้นเหมือนกัน พอมาถึง มีคนอีกคนมาสัมภาษณ์เหมือนกัน มีเอกสารมาเพียบ เรามาตัวเปล่าเลย ไม่มีไรเลย ใบรับรองเอย อะไรเอย ไม่มีสักอย่าง เราก็ชวนเค้าคุยระหว่างนั่งรอ เลยรู้ว่าเค้าจบมาจากสถาบันวิศวะ ชื่อดังมาก เพิ่งจบ เค้าก็เราถามว่า คุณจบมาจากที่ไหน เราก็บอกยังไม่จบ เค้าก็งง แล้วถามต่อว่า แล้วมาตัวเปล่าเนียะนะ เราบอก ใช่คับ แต่ไม่ได้มาสัมภาษณ์ว่าจะได้งานรึเปล่า ที่มานี่ จะมาคุยว่าเค้าให้เท่าไรครับ เรื่องเอกสาร เรื่องเล็ก ทีหลังก็ได้ ว่าไปนั่น ข่มไปก่อนเลย ฮา เจ้าของก็เรียกเค้าเข้าไปคุยก่อน สัก 10 นาทีก็ออกมา หน้าบึ้งไม่คุยกับผมเลย ตรงดิ่งกลับบ้านเลย เราก็ใจเริ่มเสียแล้วสิ เอาวะกรู นั่งรถมาตั้งไกล มาดูกันสักตั้งวะ สู้โว้ย (นึกในใจ) ตัดมาที่ห้องสัมภาษณ์ มีผมกับเจ้าของโรงงาน สองคน (มารู้ทีหลังว่าที่จริงแกไม่ได้เป็นเจ้าของแต่เป็นน้องชายคนที่เป็นเจ้าของอีกทีมาช่วยสัมภาษณ์ เพราะว่าเฮียใหญ่แกงานยุ่ง) แกก็เริ่มอธิบายว่าโรงงานนี้ทำอะไร มีแผนจะทำอะไร ภาพรวมทั่วไป พอแกพูดจบ เราก็รีบตัดบทก่อน บอกว่าเรายังเรียนอยู่ ทำได้เสาร์-อาทิตย์ หรือไม่ก็วันธรรมดาตอนเลิกเรียน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา พอดีมันเป็นงานออกแบบเครื่องจักร เข้าทางพอดี เลยตอบด้วยความมั่นใจ "ผมทำได้ครับ" ท่าทาง มาดมั่นน่าดู แกฟังแล้วแกก็ยิ้ม เราก็นึกในใจ เอาละสิ สงสัยพลาดแล้วตรู ผิดคาด !!! แกบอกว่า มา ตามผมมา ผมจะพาเดินดูในโรงงาน แล้วุณบอกผมนะ ว่าคุณทำอะไรได้บ้าง ส่วนไหนที่น่าจะแก้ไขบ้าง แกก็พาเราเดินชมโรงงานแก ไม่ใหญ่มาก คนงานประมาณ 20 คน ไม่ค่อยเป็นระบบเท่าไร เราก็เดินไป จดไป พูดไปด้วย ตามที่เราคิดว่ามันน่าจะปรับปรุง แล้วแกก็บอกว่า เอือม เข้าท่า มาๆ ตามมา จะพาไปหาเฮีย (เราก็นึก เอาอีกแล้ว ชักใจไม่ได้ กลัวเจอของแข็ง คิดในใจ เอาวะ ไม่มีอะไรจะเสียนี่หว่าตรู อย่างดีก็เสียเวลาวันนึง) ตัดมาที่ห้องทำงานเฮียใหญ่ "เฮีย มาคุยกับไอนี่หน่อย มันว่ามันแน่" แกแนะนำตัวผมกับเฮียใหญ่ (เราก็นึก เอาล่ะสิ ทำไมพูดอย่างง้าน..น ตรูจะบ้า) ผมก็ทักทายอย่างนอบน้อม แกก็คุยๆๆๆๆๆ เฮียก็คุยๆๆๆๆๆ สุดท้ายแกบอก ไปเรียกช่างแบบมาซิ บอกเค้าว่าเครื่องตัวใหม่น่ะ ไม่ต้องทำแล้ว ให้น้องคนนีทำ ส่งข้อมูลทั้งหมดที่มีให้เค้าไปออกแบบมา ตกลงตามนี้ เรื่องเงินเดือนไม่ต้องห่วง ทำดี อยู่กะเฮียยาว อยากได้เท่าไรเท่ากัน ว่าแล้วก็หัวเราะ (ผมก็ถอนหายใจ จบซะที) หลังจานั้นก็ส่งงานทางเมล์ เข้าออฟฟิสบ้าง เดือนละสองหน ไปดูเวลาเค้าประกอบเครื่อง สรุปงานที่ทำ ได้เงินเดือนเฉลี่ย 5,000 บาท ตอนนั้นดีใจมาก จ่ายค่าหอพักเองไม่ต้องขอแม่ ทำอยู่ได้ประมาณ 8 เดือน บอกเฮียว่าต้องทำโปรเจคแล้ว เดี๋ยวไม่จบ ไว้เรียนจบจะมาหาใหม่ แกก็โอเค เล่าสู่กันฟัง นึกแล้วยังขำวันเก่าๆ ทำไปได้ ฮา เรียนรู้หลายอย่างจากที่นี่ เวลาติดปัญหาเราก็วิ่งไปถาม อ.ที่ปรึกษาเสมอ บางงานต้องแบ่งออกเป็นส่วนๆ ให้เด็กไฟฟ้าช่วยทำบ้าง ตังค์ก็แบ่งๆกัน น้องๆที่เรียนอยู่ ลองดูก็ได้ครับ สนุกมาก จากคุณ : Jesus - [ 13 มี.ค. 51 13:59:49 A:41.243.139.167 X:198.54.202.102, 198.54.202.246 ] ++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 02:48:24 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 15 น่าจะหมดแล้วนะครับ ใครมีอันอื่นๆอีก ช่วยกัน post ได้นะครับ หรือใครมีคำถามถาม คุณ Jesus (N_B_S) ก็ post ไว้นะครับ เดี๋ยวจะหาวิธีเชิญแกมาตอบ // คุณ addicted to love พอจะช่วยตามได้มั้ยครับ // ขอบคุณล่วงหน้าครับ จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 03:04:51 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามาดูเรื่องมีประโยชน์ หวังว่าคนไม่เห็นด้วยคงไม่มาทำให้กลายพันธุ์ ถ้าจะโต้แย้งให้กลับไปที่กระทู้ตั้งต้น จากคุณ : Rap_Girl - [ 25 มี.ค. 51 03:19:32 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอประเดิมคำถามด้วยคำถามของคุณ sillygang ความคิดเห็นที่ 207-208 // กระทู้เดิม นะครับ ++++++++++++++++++++++++ ความคิดเห็นที่ 207 สุดยอดเลย พี่จีซัส ผมก็วิศว กำลังเรียนอยู่ ผมกำลังจะจบ แต่เรียนจบ ช้า 5 ปีเหมือนพี่ (ตอนนี้อยู่ ปี 4 แล้วยังไม่ได้ฝึกงานเลยครับ ติดหลายวิชา) ผมมาอ่านแล้วได้ความรู้มาก เรื่องเงินเดือนผมไม่ค่อยอะไรเท่าไหร่ แต่ผมสนใจเรื่อง ทัศนคติมากกว่า การใช้ชีวิตในที่ทำงาน ตอนนี้ผมกำลังเรียนรู้ไปเรื่อยๆครับ ผมเรียนวิศกรรมคอมพิวเตอร์นะครับ ถ้าเป็น เด็กจบใหม่เนี่ย ควรออกมาในรูปแบบไหน แนะนำบ้างครับ เพราะผมก็เป็นคนกล้าชน มั่นใจในฝีมือตัวเองอยู่บ้าง ไม่สนคำนินทา เพราะผมตอนเรียนอยู่ผมทำกิจกรรมมากมาย มีแต่กิจกรรมที่ดี แต่ให้ร้ายก็ยังมีคนว่านินทา ซึ่งผมก็ไม่คิดอะไรและงานผมก็เสร็จเป็นชิ้นจนได้ จึงอยากให้แนะนำน้องๆแบบผมบ้างนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : sillygang - [ 15 มี.ค. 51 15:09:34 ] ++++++++++++++++++++++++ ความคิดเห็นที่ 208 ขอถามเพิ่มเติมครับพี่ ตอนที่สัมภาษณ์น่ะครับผมขอแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ 1. ฝีมือของเรา 2. ทัศนคติ แนวความคิด บุคลิค ก็คือ HR จะพิจารณาหลักๆ 2 ส่วนนี้ใช่ไหมครับ โอเค สมมุติว่า ผมมั่นใจใน 1 มาก แบบ ว่า ทำมาเยอะ แต่ไม่ใช่การทำงานจริง (งงไหมครับ) เช่นตัวอย่าง ผมทำ Linux เงี้ย ผมสามารถดูแล Mail server ให้องค์กรได้ ผม Solve Critical Problem ได้หมด โอเค ผมทำเป็น แต่.......ผมเป็นเด็กจบใหม่นะ (ย้ำ) สมมุติว่า HR เค้าดูจากใบ cer หรือใบผ่านงานอะไรต่างๆก็แล้วแต่ของผม แล้วเค้าเชื่อ..... เค้าก็จะมาพิจารณา ข้อ 2 ต่อใช่มั้ยครับพี่ ทีนี้ ข้อ 2 เนี่ย บางอันก็ไปติดๆกับพี่อยู่ เช่น เรื่องทำโอทีได้มั้ย คำตอบสุดท้ายที่พี่บอกว่า ทำงานเสร็จภายในเวลาเสมอ เป็นความคิดที่เข้าท่า หรือคำถามอื่นๆที่เข้าข่าย กับข้อ 2 ผมเนี่ยเด็กจบใหม่ ยังไม่เคยทำงานจริงมาก่อน ................. ....... "เรื่องนี้ผมมีความมั่นใจต่ำกว่าข้อ 1" เหมือนกับว่า "ไม่อยากไปโม้ ให้ HR ฟังว่าเราทำได้ แต่พอเขารับเข้าทำงานแล้ว ดันทำไม่ได้" "ผมไปพูดกับ HR ว่าผมสามารถทำงานเสร็จภายในเวลาได้ครับ แต่ทำงานจริงผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมอาจจะทำงานล่วงเวลาไปก็ได้" อยากวางแผนไว้แต่เนิ่นๆครับ ------------------- ช่วยให้คำแนะนำทีนะครับ เพราะผมติดคำกับการรับปากคนมากๆๆๆๆๆๆ คือถ้ารับปากแล้วสัญญาแล้ว ต้องทำให้ได้ จนสุดๆความสามารถจริงๆค่อยบอกกับเขาว่าเราไม่ไหวจริงๆนั่นแหละ แต่พอดีว่าผมไม่เคยเจองานจริงมาก่อน จะพูดไปว่าทำไหว.......ก็ไม่รู้ว่างานเป็นยังไง จะโม้ไปว่าสบายมากๆครับ........แล้วทำไม่ได้ก็จะเสียปากซะ จะไม่พูดเลยว่าทำได้.............. ก็กลัวไม่ได้งาน ช่วยแนะนำทีนะครับ (คงเข้าใจประเด็นที่ผมสื่อนะครับผมสื่อไม่เก่งครับ) จากคุณ : sillygang - [ 15 มี.ค. 51 15:26:23 ] ++++++++++++++++++++++++ OK ครับ ทำสิ่งที่ตัวผมเองอยากทำเสร็จแล้ว ไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวไปทำงานไม่ไหว ป.ล. ผ.บ.ท.บ. มาตามให้ไปนอนแล้วครับ เธอได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์เป็นเสียงคนงัดบ้าน นึกว่า ขโมยเข้าบ้าน .....555 ( ผ.บ.ท.บ. = ผู้บัญชาการที่บ้าน ) Good Night จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 03:24:14 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 18 Wow!!!!! ขอบคุณ คุณ Rap_Girl มากครับที่มาร่วมแจมตั้งแต่ตอนเช้ามืด ********************************* ขอให้วันศุกร์นี้ทำได้ดี ผ่านฉลุยนะครับ และก็ขอให้ร้านข้าวมันไก่ขายดีด้วยครับ อ้อ!!! ขอให้ โครงการขายเฉาก๋วยเพิ่มรายได้จากข้าวมันไก่ไปได้สวยครับ ********************************* Good Night จากคุณ : โลกสวยด้วยมือเรา - [ 25 มี.ค. 51 03:38:32 A:58.9.96.225 X: TicketID:160986 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอร่วมสนับสนุนการตั้งคำถามแบบสร้างสรรค์ครับ เน้นเอาสาระประโยชน์ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตและงานของเรา (คืือระดมความคิดที่อาจแตกต่างกันเพื่อมุมมองที่หลากหลาย ไม่ใช่คิดแตกแยก คิดเอาชนะท้ายสุดคือคิดทำลาย ด้วยอัตตา) หมายเหตุ โพสนี้ไม่มีภาพประกอบครับ 555 จากคุณ : วิศวกรออกมาทำธุรกิจ ([killer]...hehe) - [ 25 มี.ค. 51 08:49:49 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ยินดีตอบ ตามสติปัญญาที่มีครับ ถามได้ทุกเรื่อง แต่ไม่ได้แปลว่าผม รู้ทุกเรื่องนะครับ ยินดีครับ ยินดี จากคุณ : Jesus (N_B_S) - [ 25 มี.ค. 51 08:58:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ดีครับดี ไว้ว่างๆ จะแวะมาอ่านด้วยครับ อยากรู้แนวคิดของคนในแต่ละจุด จะได้เปิดวิสัยทัศน์ของตัวเอง ไม่ต้องจมอยู่กับความคิดแบบเดิมๆ เผื่อจะมีความคิดใหม่ๆ เข้ามาในหัวบ้าง จากคุณ : KaVe - [ 25 มี.ค. 51 08:59:17 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ไม่ถามดีกว่า ไม่อยากรู้แล้วครับ...... แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 51 10:08:39 จากคุณ : ผียุง - [ 25 มี.ค. 51 09:29:52 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณจขกทมากๆค่ะ กำลังหาที่ลงอยู่พอดี ตอนนี้ที่บ.มีปัญหามากๆในส่วนของโรงงานค่ะ ตันสนิท หาทางออกไม่ได้ อยากได้ไอเดียใหม่ๆมาแชร์กันหน่อยค่ะ 1. บริษัทฯเป็น SME ทำส่งออกค่ะ ปัญหาคือ ผู้จัดการฝ่ายผลิตและหัวหน้า line ผลิตทุกส่วนเป็นพนักงานเก่าแก่ที่ทำมานานมาก 15 ปี up 2. พนักงานดังกล่าวมีทักษะในเรื่องของเนื้องานมาก แต่ไม่มีความสามารถในเรื่องของการตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา การบริหารผู้ใต้บังคับบัญชา และมีปัญหาด้านการสื่อสาร (พูดอย่างเข้าใจอย่าง คิดเอง เออเอง) รวมถึงไม่รักความก้าวหน้า ไม่กระตือรือล้น แต่ซื่อสัตย์กับบริษัทมาก 3. ดิฉันเคยส่งพนักงานที่พูดถึงทุกคน ไปอบรมคอร์สต่างๆที่เกี่ยวกับ leadership การทำงานเป็นทีม เรื่อง EQ รวมถึงได้จ้างบริษัทฯข้างนอกเข้ามา reorganization เรื่องระบบคุณภาพ วิธีการทำงาน ต่างๆนานา 4. แต่ปัญหาเรื่องทำงานผิดพลาด อันเกิดมาจาก การตัดสินใจที่ผิดพลาด การแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และการทำงานลัดขั้นตอน ไม่เป็นไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็นยังคงเกิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่บริษัทฯมาก 5. จะเอาคนเหล่านี้ออกก็ไม่ได้ เจ้าของบริษัทฯบอกว่าดิฉันต้องมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีกว่านี้ เพราะพนักงานดังกล่าวเป็นรุ่นก่อตั้ง และมีความชำนาญในผลิตภัณฑ์สูงมากกกกกกกก 6. ตอนนี้ดิฉันกำลังเปิดรับสมัครตำแหน่ง operation manager อยู่ ซึ่งเป็นรอง production manager(ที่ความสามารถมีจำกัดมากๆ/เอาออกก็ไม่ได้)  กับเจ้าของเท่านั้น ----> คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ 7. ประเด็นคือ ระหว่างที่รอ superman มาช่วยกู้สถานการณ์ จะมีวิธีไหนบ้างที่พอจะช่วยไม่ให้บริษัทเจ๊งซะก่อนอ่ะ ....จริงๆเหตุการณ์แบบนี้เป็นมานานแล้วค่ะ แต่เผอิญว่าปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ค่าเงินบาทวิกฤติมากมาย คำว่าเลิกกิจการเลยมาลอยให้เห็นลางๆอยู่ตรงหน้า....เฮ่อออ ขอบคุณที่ใช้บริการค่ะ แก้ไขเมื่อ 26 มี.ค. 51 09:31:28 จากคุณ : sweethurt - [ 25 มี.ค. 51 16:58:40 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาดู ... จากคุณ : D_YONG - [ 25 มี.ค. 51 17:02:42 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ความคิดเห็นที่ 23 ผมอยากทราบหน่อยครับว่าคุณมีตำแหน่งหน้าที่อะไรในบริษัทครับ จากคุณ : Atnak - [ 25 มี.ค. 51 17:33:16 ]

ความคิดเห็นที่ 26 #25   ถามง่ายตอบยาก......หัวโขนมีหลายอันค่ะ แต่ทำได้ไม่ดีซักอย่าง HR / MKT & PR / PURCHASE / ADMIN. - ส่วนใหญ่แล้วจะนั่งรับฟังปัญหาของบุคคลต่างๆในบริษัทฯ เกี่ยวกะงานมั่ง ไม่เกี่ยวมั่ง(ทุกคน ทุกตำแหน่งที่เข้ามาปรึกษา รวมถึงเจ้าของกิจการค่ะ) ถ้าเกี่ยวกับงานก็เอามาวิเคราะห์ หาทางแก้ / ป้องกันปัญหา โดยใช้ระบบบริหารคุณภาพที่พอมีความรู้อยู่บ้างมาช่วยค่ะ ถ้าเป็นปัญหาส่วนตัวก็จะฟังก่อนค่ะ แล้ววิเคราะห์ว่าเค้าต้องการคำแนะนำสมองมดอย่างดิฉันรึเปล่า  เพราะบางคนแค่ต้องการคนฟังเฉยๆค่ะ เวลาที่เหลือคือ เล่นm อ่านข่าว(บันเทิง โดยเฉพาะซ้อเจ็ดชอบมาก 55) ฯลฯ จากคุณ : sweethurt - [ 26 มี.ค. 51 09:43:42 ]

ความคิดเห็นที่ 27 1.) จดบันทึกครับ เป็นเอกสาร บันทึกการทำงานของคนเก่า 2.) อย่าเอาคนใหม่ ไปอยู่ใต้คนเก่า ให้ยืนสูงเท่ากัน จ้างเป็น contract สั้นๆ พอ สัก 6 เดือน หรือ 1 ปี โดยให้เงินเดือนต่ำๆ และ เปอร์เซนต์สูงๆ     เปอร์เซนต์ที่ว่านี้ วัดจากข้อ 1.     ถ้าความเสียหายลดลง สมมุติว่า 100 บาท     ให้คนใหม่ 25 บาท และคนเก่า เอาไปอีก 25 บาท ที่เหลืออีก 50 บาท เอาไว้จ่ายเงินเดือนคนใหม่      ถ้าลดไม่ได้ ให้หักเงินคนเก่า โทษฐานไม่ให้ความร่วมมือ 3.) จดบันทึกทุกๆอย่างที่คนใหม่ ถาม และ ลงมือทำ พร้อมวัดผลทุกอาทิตย์ และ สรุป ทุกๆเดือน 4.) กันเจ้าของออกไปห่างๆ ไกลๆ อย่าให้มายุ่ง เดี๋ยวจะมาให้ท้ายคนเก่า 5.) คนใหม่ที่รับมา คัดมาให้ดี ขอเก๋าๆ คนเก่งจริงๆ รับเงื่อนไขนี้อยู่แล้ว (เงินเดือนต่ำ + เปอร์เซ็นต์) คิดออกเท่านี้แหละครับ จากคุณ : Jesus (N_B_S) - [ 26 มี.ค. 51 15:19:40 ]

ความคิดเห็นที่ 28 #27   ขอบคุณมากค่ะ แต่ว่าตอนนี้ยังไม่มีใครมาสมัครเลยค่ะ 5555+  ลงประกาศไปตั้งแต่วันจันทร์แระ ปล. แปลว่าดิฉันก็ต้องตามติดชีวิตหัวหน้าใน line ผลิตทุกคนเลยใช่มั้ยคะ รวมถึงการทำงานของ Production Manager ด้วยสิคะ จากคุณ : sweethurt - [ 26 มี.ค. 51 17:34:45 ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ sweethurt เป็นทายาทเจ้าของกิจการใช่เปล่าครับ หรือไม่ก็ต้องเป็นญาติกันแน่เลย (ถ้าเดาผิดขออภัย) ถ้าอย่างงั้นก็ควรต้องคอยติดตามการทำงานของผู้จัดการและหัวหน้าทั้งหลายอย่างใกล้ชิดล่ะครับ หมั่นตรวจสอบ ถ้าเจอข้อผิดพลาดต้องรีบตักเตือน ถ้ายังผิดอีกก็ต้องว่ากันล่ะครับ ต้องกล้าๆแข็งใส่คนเหล่านี้ครับ (ต้องใช้ความกล้าจริงๆนะครับ) เรียกมาคุยเรื่องงานเรื่อยๆเลยครับ แต่ถ้าไม่มีอำนาจมาก ก็คงต้องพึ่งคุณเจ้าของกิจการล่ะครับแสดงความคิดออกไปเลยครับ ถ้าคำแนะนำที่ให้ไปใช้ไม่ได้ผล ต้องขออภัยจริงๆครับ ประสบการณ์ผมยังน้อยอยู่เหมือนกัน จากคุณ : Atnak - [ 26 มี.ค. 51 18:25:45 ]

ความคิดเห็นที่ 30 # sweethurt แหะๆ ออกตัวก่อนว่าผมยังไม่เก่งนะครับ แต่ในมุมมองของผมก็คือว่าเราต้องบีบให้เค้าทำเรื่องของเอกสารเยอะหน่อย ในเรื่องที่ว่าแต่ละวันเค้าทำอะไรบ้าง เจอปัญหาอะไรบ้าง และเค้าแก้ใขอย่างไร ให้ลงบันทึกก่อนเลิกงานก็ได้ ระวัง #  การให้พนักงานทำเอกสารเพิ่ม อาจจะมี feedback ที่ไม่ค่อยดีบ้าง ต้องทำความเข้าใจกับเค้าหน่อยว่ามีความจำเป็นอะไรถึงต้องทำอย่างนี้ ซึ่งแล้วแต่พนักงานแต่ละคนเลยครับ ว่าเราจะบอกเค้ายังไง จากที่ผมลองดู การเรียกประชุม ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่ และมีการต่อต้านเยอะมากๆ ลองเข้าไปคุยใช้วิธีการ lobby ที่ละคนท่าจะดีกว่า แล้วเราก็มาเก็บข้อมูลที่เค้าบันทึก มาคุยกัน ว่าทำไมเค้าถึงทำอย่างนู้น อย่างนี้ พยายามคุยกับเค้าทุกวัน ว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง และเค้าแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าดีก็ชมไป ถ้าไม่ดีอย่างที่เราคิดก็เสริม+แนะนำเค้าไป ค่อยๆเปลี่ยนทรรศนะคติ ของเค้าครับ เรื่องนี้ยากมากๆ ต้องใจเย็นๆ ลองนึกแบบง่ายๆ เราจะเปลี่ยนนิสัยตัวเอง ยังไม่ง่ายเลย จะให้ลูกน้องเปลี่ยนนะหรือ.... ต้องทุ่มเทกับมันพอสมควรนะครับ ระวัง # การแนะนำ ต้องอย่าให้เป็นเชิงสอนนะครับ ยิ่งถ้าเราวัยวุฒิตำ่กว่าเค้า ผมเคยเจอ Supervisor ที่อายุมากกว่า ถ้าเผลอพูดในเชิงสอนเค้า เราจะได้ feedback เป็นลบในทันที พยายามพูดให้เหมือนแชร์กัน หรือประมาณว่าลองทำอย่างนี้หน่อยมั๊ยครับพี่ เอาเท่านี้ก่อนละกัน ลองอย่างแรกให้ผ่านก่อน ต้องทำให้เค้าลองจดบันทึกการทำงานให้สม่ำเสมอ เพราะที่เจอส่วนใหญ่จะไม่ทำกันเลิกงานก็เลิกเลย เมื่อStep แรก ได้แล้วเราก็จะทราบวิธีคิดของพนักงาน ซึ่งจะทำให้เราคุยกับเค้าได้ครงจุดมากขึ้น เราค่อย plan งานให้เค้าต่อ โดยท่ีเราต้องตั้ง target และ ติดตามผลงานอย่างใกล้ชิด ผู้มีประสบการณ์ท่านใด เห็นว่าวิธีของผมมีข้อบกพร่องโปรดชี้แจงให้หน่อยนะครับ เพราะถ้ามีวิธีที่ดีกว่า ผมก็อยากที่จะทำอย่างนั้นบ้างเหมือนกัน ปล. โพส หลังจากไปแรดมา 5 5 5 เมาแระผม ไปนอนก่อนนะครับ ^^ จากคุณ : addicted to love - [ 27 มี.ค. 51 03:04:14 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ตอนนี้อย่าหลงประเด็นครับ สำคัญที่สุดคือการ Identify ปัญหาให้ขาด ว่ามันเกิดจากอะไร แน่นอน ทุกคนที่ทำงานผิดพลาด ย่อมปกป้องตัวเอง ด้วยเหตุผลต่างๆนาๆ การจดบันทึกจะช่วยได้ระดับหนึ่ง และอย่าให้เค้าจดเอง ต้องให้คนอื่นจด และที่สำคัญ อย่าได้คิด ไปจ้างไอ้พวกด๊อกเตอร์ มาแก้ปัญหาเด็ดขาด ที่ผมเคยเจอ พวกนี้ แต่งตัวดี เรียบร้อย พูดเพราะ !! แต่ทำงานไม่เป็น !! แล้วท้ายที่สุดคุณก็จะกลับไปยืนจุดเดิม เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ครั้งหนึ่งผมเคยเข้าไปทำงานที่โรงงาน ตอนไปสัมภาษณ์เค้าชวนผมเดินดูในไลน์การประกอบ จนครบทุกๆขั้นตอน แล้วก็พาผมกลับมาที่ห้อง ก็ถามว่า "คุณว่าโรงงานที่นี่ มีตรงไหนควรจะปรับปรุงบ้าง" ผมก็บอกเค้าไป แล้วก็ได้งาน หลังจากนั้น เข้างานอาทิตย์แรก ไม่ต้องทำอะไร เดินดูทั้งวัน ทุกวัน ถือสมุดไปคุยกับคนทำงานจริงๆในแต่ละขั้นตอนเลย บางคนก็ไม่ชอบเรา กลัวเราจะมาจับผิดเค้า บางคนก็ดูถูกเรา ว่าเราเด็ก เราก็อธิบายเค้า ว่าเรามาทำอะไร เรามาช่วยเค้า ให้เค้าทำงานสบายขึ้น พี่อยากได้อะไร บอกผมมา เดี๋ยวผมจัดให้ (ให้งานมันเสร็จเร็วขึ้น หรือ ปัญหาน้อยลง) ได้ทั้งนั้น ตอนนั้นเอง ทีรู้ว่าจริงๆ งานในโรงงานน่ะ ปัญหาเรื่องเทคนิคมันจิ๊บจ๊อยมาก ปัญหาจริงๆคือเรื่อง "คน" ต่างหาก   โน่น ปาเข้าไปอาทิตย์กว่า กว่าจะทำรายงาน Develop เสร็จ เป็นข้อๆ รวมไปถึงวิธีแก้ไข แบบทีเดียวจบ เพราะว่า ถ้าแก้ทีละจุด ผมบอกได้เลยว่า ในโรงงาน แก้ไม่จบหรอกครับ ลิงแก้แห ต้องหาคนที่เข้ามาเก็บทุกรายละเอียด มากพอที่จะเห็นภาพรวม แล้วสรุปเป็น Solution ทีเดียวจบ นั่นแหละครับ อย่าให้งบเค้าเยอะนะ บอกไปเลยมีงบเท่าไร หรือไม่มีเลย บอกเงื่อนไขให้ครบ เท่านี้แหละครับ จากคุณ : Jesus (N_B_S) - [ 27 มี.ค. 51 08:33:01 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ดีใจครับที่มีกระทู้นี้ขึ้นมา ... ผมเองอายุใกล้เคียงกะคุณ Jesus แต่ทำงานด้าน IT ด้าน sales & marketing ที่นึงนะครับ ... ชอบประสบการณ์หลาย ๆ อย่างที่คุณ Jesus มาแชร์ ซึ่งบางทีมันก็ปรับใช้ได้กับธุรกิจสายผมเช่นกัน ขอบคุณอีกครั้งครับ ^_^ จากคุณ : Beckham3 - [ 27 มี.ค. 51 10:45:21 ]

ความคิดเห็นที่ 33 #29   ปิ๊งป่อง ทำไมรู้อ่าคะ #30   ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำแนะนำ.....คิดว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ค่ะในเรื่องของการเก็บข้อมูล เรื่องการบันทึกเอกสาร จะลองดู(ให้มากกว่าเดิม) ขอบคุณอิกครั้งค่ะ #31  อืมม....อ่านไปพยักหน้าไป...ใช่เลยค่ะ พวก dog เอ๊ย! doc นี่เจอมาเยอะแระ เลิกใช้บริการนานแล้วค่ะ วิธีการอย่างที่คุณ Jesus แนะนำมาช่วยได้แน่นอน แต่ประเด็นคือ ยังไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมมาทำตรงจุดนั้นได้เลยค่ะ ปัญหาเดิมๆเลยเกิดขึ้นทุกวัน.... ตอนนี้ตัวเองก็กำลัง design ตารางงาน และ flow loop การทำงานของแต่ละแผนก รวมถึง sequence รายละเอียดของกระบวนการงานทุกขั้นตอนให้ฝ่ายต่างๆอยู่ค่ะ กำลังคิดว่า...หรือจะต้องเป็นตัวเองที่ต้องลงไปทำตรงนั้น ทุกวัน ตลอดเวลา ....ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีเวลาเกาะติดได้ขนาดนั้นรึเปล่า เพราะก็มีงานในส่วนอื่นก็ต้อง handle เหมือนกันค่ะ หมายเหตุ: ไม่เฉพาะแต่หัวหน้างานเท่านั้นที่มีปัญหานะคะ เด็กใน line ปฏิบัติการก็แสบไม่แพ้กันค่ะ ดื้อมาก หัวหน้าแนะนำให้ทำอะไร ก็ไม่ค่อยทำตามค่ะ  ดื้อเสียงดังไม่เท่าไหร่ มองเห็นตัว แต่พวกดื้อเงียบนี่....สุดๆค่ะ    แง้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ปอลิ่ง :  ขอบคุณน้ำมิตรชาวสีลมมากมายค่ะ แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 51 13:40:27 จากคุณ : sweethurt - [ 27 มี.ค. 51 13:26:41 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ผมทำให้เอามั้ย ไม่เอาเงินเดือน แต่ไม่เข้า office ทุกวันนะ จากคุณ : Jesus (N_B_S) - [ 27 มี.ค. 51 13:53:22 ]

ความคิดเห็นที่ 35 #34 โอ้วว! อย่างนี้รบกวนขอปรึกษานอกทู้ค่ะ  ถ้าไม่เป้นการรบกวนจนเกินไป mimi_mxy@hotmail.com แก้เลขผิด หุหุ แก้ไขเมื่อ 27 มี.ค. 51 14:14:55 จากคุณ : sweethurt - [ 27 มี.ค. 51 14:11:51 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ยินดีนะครับที่กระทู้นี้เป็นกระทู้แลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นในการบริหาร สำหรับความเห็นผมสำหรับปัญหาของคุณ sweethurt ผมคิดว่าคุณต้องเปลี่ยนองค์กรเดิม จากที่ทำงานโดยอาศัยความเคยชิน มาเป็นรูปแบบบริหารที่ทั่วไปยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณทำส่งออก เวลาลูกค้ามา audit คุณ คุณไม่สามารถให้ลูกค้าคุณดู document และ record อะไรได้เลย เพราะมันอยู่ในหัวของพนักงานหมด ความเชื่อถือก็จะไม่มี ลูกค้าก็ไม่สั่งสินค้า เพราะดูเหมือนไม่มีระบบ ดังนั้น เริ่มต้น คุณต้องเริ่มระบบที่มี Organization Chart, Flow Chart, Job Description เพื่อให้รู้ว่าใครรับผิดชอบอะไร และในการผลิตผลิตภัณฑ์ A ต้องผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง จากนั้น คุณต้องบอกพนักงานของคุณว่า คุณจะทำระบบมาตรฐาน ที่ลักษรณะเดียวกับ ISO9001 คือให้พนักงานเขียนการปฏิบัติงานของตนเองลงมาเป็นกระดาษ ลักษณะ Work Instruction หรือ Standard Operating Procudure ซึ่งจะบอกว่าในขั้นตอนนั้น ๆ กับผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ต้องทำอย่างไร อะไรต้องระมัดระวัง ต้องตรวจสอบอย่างไร ทำ check sheet ให้บันทึกผลการตรวจสอบไว้ (ขั้นต้นถ้าองค์กรคุณมีเลขาแผนก ให้เลขาแผนกเป็นคนทำ หรือถ้าไม่มี ก็อาจรับคนเข้ามาทำคล้าย ๆ ducument center ก็ได้) ระบบนี้จะทำให้สิ่งที่จับต้องไม่ได้ดั้งเดิม กลายเป็นจับต้องได้ เช่นที่คุณเขียนข้างบนว่า ดื้อเงียบ คือไม่ทำตาม คุณไม่มีหลักฐานอะไรไปลงโทษ แต่ถ้าคุณบอกให้เค้าบันทึกลง check sheet แล้วไม่ลง หรือบันทึกโกหก คุณใช้หลักฐานนั้นลงโทษได้ อย่าหวังพระเอกขี่ม้าขาวนะครับ เพราะถ้าคนที่แก้ปัญหานี้ได้ แต่ต้องเข้ามาอยู่ในองค์กร SME และต้องมาสู้รบกับคนที่อยู่มาเป็น 10 ปีโดยไม่แน่ใจว่าเจ้าของจะสนับสนุนหรือไม่ เค้าไม่ค่อยเลือกที่จะมากัน หรือถึงมาก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำได้สำเร็จอย่างที่คุณต้องการ เพราะเค้าอาจต้องมาเป็นทีม หรือรู้สึกว่าเสี่ยงเกินไป ไปทำในองค์กรใหญ่ที่มีระบบแล้วดีกว่า ดังนั้น ในฐานะคุณเป็นทายาท คุณต้องเป็นคนออกหน้าในการเปลี่ยนแปลงองค์กร คือต้องการทีมงาน ไม่ใช่พระเอกขี่ม้าขาว แน่นอนว่าถ้าในสิ่งที่คุณไม่ถนัด เช่นวิศวกรรม คุณอาจจ้างวิศวกร หรือคุณไม่มีความรู้ด้านกฎหมายแรงงาน คุณอาจต้องจ้าง HR มืออาชีพเข้ามาให้ความเห็น ขอเน้นอีกครั้งนะครับ เริ่มต้น คุณไม่ต้องเริ่มโดยการไปออกแบบกระบวนการ หรือตามจดสิ่งที่เค้าทำ (เพราะมันจะเกิดแรงต่อต้านขึ้น) ให้เค้าเขียนกันขึ้นมา จากนั้นคุณแค่เข้าไปตรวจสอบว่า เวลาปฏิบัติจริงเค้าทำอย่างที่เขียนหรือไม่ ครบถ้วนหรือไม่ รัดกุมเพียงพอหรือไม่ ซึ่งเมื่อเอกสารเหล่านี้เป็นมาตรฐานแล้ว สามารถนำไปใช้ฝึกอบรมพนักงานในการทำงานต่อไปด้วย จากคุณ : jerry (jerry-t) - [ 27 มี.ค. 51 14:43:48 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ท่านอื่นๆ เชิญถามได้ครับ จากคุณ : Jesus (N_B_S) - [ 27 มี.ค. 51 17:37:57 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ปัญหาของคุณ sweethurt ผมเห็นด้วยกับคุณJerryนะครับเรื่องของการค่อยๆนำระบบที่เป็นสากลมาใช้เพราะอย่างน้อยข้อดีคือมีrecordเหลือให้สืบสาวราวเรื่องได้ อาจจะไม่ต้องทำถึงขนาดว่าเป็นISOแต่นำบางส่วนมาใช้ เช่นการทำระบบ Work Instruction หรือ Standard Operating Procudure โดยที่ใช้ความรู้ความสามารถของหัวหน้างานเก่าๆมาประยุกต์เป็นมาตรฐานขั้นตอนการปฎิบัติงานว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างให้งานที่ออกมาแล้วเป้นชิ้นงานที่มีคุณภาพ ยกตัวอย่างนะครับ เช่น มีงานหนึ่งชึ้นต้องสร้างชิ้นส่วนด้วยวิธีการดังนี้A B C Dตามลำดับ ต้องตรวจสอบที่จุด E F G H โดยสิ่งเหล่านี้สามารถหาได้จากหัวหน้างานที่รู้จักผลิตภัณเป็นอย่างดี นำสิ่งเหล่านี้มากำหนดให้เป็นมาตรฐานสำหรับคนที่มาที่หลังว่าคุณควรต้องทำตามนี้นะเพื่อนลดของเสีย นอกจากนั้นควรจะต้องมีการสอนให้พนักงานรู้ถึงผลดีของการทำงานตอมขั้นตอนว่านอกจะลดของเสียได้แล้วยังช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น อาจมีการให้รางวัลสำหรับพนักงานที่ทำงานดีหรือช่วยให้บริษัทลดต้นทุนได้ เพื่อเป็นแรงจูงใจบ้าง และก็สำหรับการทำเอกสารรวบรวมปัญหาที่เคยเกิดและวิธีการแก้ไขก็นับเป็นสิ่งที่ดีครับเพราะอย่างน้อยจะช่วยป้องกันการเกิดซ้ำของปัญหาได้ ยกตัวอย่างนะครับ ผมก็ทำงานในบริษัทออกแบบรถยี่ห้อหนึ่ง เวลาที่ออกแบบก็ต้องนำเอกการเก่าๆมาดูว่ามีปัญหาอย่างไร แล้วเขาแก้ปัญหาอย่างไรเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของปัญหานั้นๆ และอีกสิ่งหนึ่งที่ควรจะมีนะครับคือการสอนให้พนักงานทุกคนรู้จักปรับปรุงงานที่ทำอยู่ให้ดีขึ้นเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่นว่าให้พนักงานเสนอความคิดเห็นว่าควรปรับปรุงจุดไหนในงานที่ทำอยู่เผื่อให้ผลลัพออกมาดีขึ้น โดยถ้าเข้าสามารถเสนอและทำได้ก็ให้รางวัลตอบแทน ยกตัวอย่างบริษัทที่ผมเคยไปฝึกงานนะครับ ทุกๆเดือนเขาจะมีให้พนักงานทุกคนส่งความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับปรุงงานให้ดีขึ้นเสนอเป็นไอเดียมา โดยที่ไอเดียของใครถูกเลือกมาปรับใช้ก็จะได้รางวัลเป็นเงินสด โดยที่บริษัทถือว่าคนที่ทำงานย่อมเข้าใจงานที่ทำและปัญหาดีที่สุด ผมเสนอเป็นแนวทางเฉยๆนะครับ การจะทำจริงต้องใช้เวลาพอสมควรครับกว่าที่จะให้คนที่ทำงานอยู่ด้วยความเคยชินยอมรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆได้ โดยอย่างที่คุณJesusว่าไว้นะครับว่ารับฟังความคิดเห็นของคนที่ทำงานว่าเขาเจอปัญหาอะไรแล้วนำมาแก้ไขเพื่อที่จะทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น น่าจะได้รับการยอมรับที่ดีครับ จากคุณ : alexnotti (notti) - [ 27 มี.ค. 51 19:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 39 อ่า ขอให้คุณ sweethurt แก้ไขปัญหาได้นะครับ ขอบคุณที่เอามาแชร์ให้ได้อ่าน และได้คิดกันครับ จากคุณ : KaVe - [ 27 มี.ค. 51 22:51:39 ]

ความคิดเห็นที่ 40 มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องงานนะครับ  แต่เป็นของน้องสาวครับ คือว่า น้องสาวเพิ่งทำงานที่นึง  เป็น โชว์รูมรถยี่ห้อนึง  สาขานึง  ทำงานด้านเอกสาร หรือพวก admin  ใช้วุฒิ ปอตรี บวกประสบการณ์ทำงาน 2 ปี  และมีสอบปฏิบัติด้านคอม excel นิดๆ หน่อยๆ ด้วย พอน้องได้สัมผัสกับบรรยากาศการทำงานแล้ว  น้องบอกมาว่า น่าเบื่อม๊ากมาก  เพราะ ที่นี่ทำเอกสารด้วยระบบเก่าๆ ใช้กระดาษ ปากกา เครื่องคิดเลข เป็นหลัก  คอมพิวเตอร์มีไว้ พิมพ์รายงาน  ไม่มีเครื่องถ่ายเอกสาร  เครื่องแฟกซ์  และที่ฝ่ายบริการมีคอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ ใช้งานอยู่ 3-4 เครื่องเลย     น้องเห็นว่า น่าจะปรับปรุงให้เอาคอมมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพราะงานที่น้องทำอยู่นี่  แค่บวกลบเลข พวกค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ง่ายขนาดเด็กมอต้นน่าจะทำได้          นอกจากนี้มีการโทรศัพท์ติดตามผลลูกค้าที่มาใช้บริการ  แต่ว่า feedback ที่ลูกค้าตอบกลับมานั้น  น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง  ที่สิ้นสุดอยู่แค่ตรงนั้น ไม่สามารถเสนอได้  ถึงเสนอไปก็คงเก็บไว้เฉยๆ หรือไม่ก็ตกไปในถังขยะ  น้องบอกว่าไม่รู้โทรไปหาลูกค้าทำไมงง    ครั้นพอน้องเสนอเรื่องใช้คอมในการช่วยให้ทำงานเร็วขึ้น  กลับถูกถ้าหัวหน้าต่อว่า อย่าทำเกินหน้าที่  พี่ทำงานอย่างนี้มาหลายปีแล้วไม่เห็นต้องทำแบบน้องว่าเลย  และนอกจากนี้ ผู้จัดการของสาขาที่นี่ ก็ไม่แพ้กัน เพราะ ได้เลื่อนตำแหน่งจากช่างที่มีประสบการณยาวนาน  แต่มีความคิดที่ไม่น่าบริหารงานได้แม้แต่นิดเดียว  ทำงานแบบให้ผ่านไปวันๆ   และในเมื่อน้องจำเป็นต้องทำงานด้วยระบบเดิมทำให้เมื่องานเสร็จแล้ว ก็ว่างงานจะทำอะไรก็ไม่ได้  อ่านหนังสือก็ไม่ได้ต้องอยู่ที่โต๊ะทำงาน ทำเป็นขีดๆ เขียนๆ เรื่อยๆ เพื่อฆ่าเวลาให้หมดไปวันๆ   เรียกง่ายๆ ว่า แทบไม่ได้รับความรู้อะไรเพิ่ม แถมยัง น่าเบื่ออีก  เพราะงานมันมีแค่นั้น ทำอะไรที่นอกเหนือจากที่ว่าหมดสิทธิ์โต้เถียง  เพราะระดับ ใหญ่สุดในสาขาไม่เล่นด้วย   น้องบอกว่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสเรียนรู้งาน  ถึงแม้ว่าได้เงินเดือนเป็นหมื่นก็ตาม   แต่ให้ทำงานที่เด็กมอต้นก้อทำได้   น้องบอกมาอีกว่าไหนๆก็ไหนๆ แล้ว   จำต้องทนเพราะเดี๋ยวจะเสียชื่อกับบุคคลค้ำประกันตอนทำงาน  และกลัวเสียประวัติเรื่องงาน   อยากให้เพื่อนๆ ช่วยคิดวิธีแก้ปัญหาตรงนี้ที  ในกรณีที่ยังคงฝืนทำงานต่อ   ปล. ที่ว่าตำแหน่งนี้ต้องใช้วุฒิปอตรี  เพราะที่บริษัทนี้ได้ iso อะไรๆ สักอย่าง   ขอบคุณครับ จากคุณ : 9t_9 - [ 28 มี.ค. 51 00:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 41 #40   5 5 5 เจอเศสอย่างนี้ พูดตรงๆนะครับ ผมไม่สนว่าจะประวัติผมจะเสียหายหรอก ลาออกดีกว่า ขืนทนอยู่ ยึ่งทำให้เราแย่กว่าเดิมอีก เสียเวลาที่จะไปเจอที่ทำงานดีๆ เอ....ผมจะโดนใครว่าว่าเราสร้างความวิปริตให้กับคนรุ่นใหม่หรือว่าเราอกตัญญูหรือเปล่าเนี่ย.... --" แล้วถ้าเกิดเราย้ายไป แล้วได้เงินเดือนดีกว่าเดิมมากๆ จะโดนเค้าหาว่าโม้อีกหรือเปล่าเนี่ย.... เฮ้อ..ชีวิตมันช่างลำบากจริงๆ จากคุณ : addicted to love - [ 28 มี.ค. 51 01:02:23 ]

ความคิดเห็นที่ 42 “สร้างความวิปริตให้คนรุ่นใหม่ และก็โม้ด้วยเรื่องเงินทอง“ สงสัยผมจะโดนข้อหานี้ด้วยไหมเนี่ย ก็ผมทำงานเป็นวิศวกรให้บริษัท แล้วก็ลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง ไม่ใชว่าเก่ง หรือเจ๋ง แต่ออกมาเพราะความรัก ( วิปริต ) แค่อยากมีเวลาให้เธอมากกว่าทำงานบริษัท แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นไปตามคาด   เรื่องธุรกิจดำเนินไปด้วยดี เงินเข้าออกบัญชีปีนึงหลายสิบล้าน ( โม ้) แต่เรื่องความรักกลับผิดหวังอย่างรุนแรง  จนทุกวันนี้ก็ยังมึนไม่หาย สงสัยต้องเปลี่ยนชื่อเป็น    วิศวกรผู้ผิดหวังในรัก    555 จากคุณ : วิศวกรออกมาทำธุรกิจ ([killer]...hehe) - [ 28 มี.ค. 51 03:54:06 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ไปนอนคิดดูนะครับ ว่าหัวหน้าทั้งหลายที่น้องทำงานอยู่น่ะ เค้าโตมาอย่างไร ขึ้นมาถึงตำแหน่งนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงกลัวการเปลี่ยนแปลง ไปหาคำตอบมาก่อน ไม่งั้นช่วยคิดไม่ได้ ข้อมูลน้อยเกินไป จากคุณ : Jesus (N_B_S) - [ 28 มี.ค. 51 08:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โอ้ววว!! ขอบคุณน้ำจิตน้ำใจของหลายๆท่านในทู้นี้มากมายค่ะ 1. Organization Chart/Flow Chart/J.D./KPI+Competency = มีหมดค่ะ 2. Standard Operating Procedure กับ Work Instruction = มีกำหนดให้หัวหน้างานทุกส่วนต้องทำใน KPI ค่ะ ซึ่งล้มเหลวเพราะว่าคนที่จะต้องทำทำไม่เป็นค่ะ อาจจะเนื่องจากมีข้อจำกัดในเรื่องการศึกษา มีปัญหาเรื่องการเรียบเรียง วิเคราะห์ และถ่ายทอดข้อมูล ... ทำได้แค่ระดับ working process สั้นๆ ไม่สมบูรณ์ค่ะ 3. อิอิ บริษัทข้าพเจ้าได้รางวัล PM Award ด้วยล่ะ  ไม่รู้ได้มางัย 55555+ ... ระบบเอกสารคิดว่าพอได้นะคะ แต่อาจจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ในระดับที่โรงงานจะต้องมี  อันนี้เด๋วคงต้องศึกษาเพิ่มเติมหรือไม่ก็เก็บเกี่ยวเอาจากผู้รู้หลายๆท่านในห้องสีลมอ่ะค่ะ 4. ยอมรับอย่างไม่อายค่ะว่าที่โรงงานมีปัญหาเรื่อง "คน" อย่างมากๆๆๆๆ พยายามเอาระบบเข้าช่วยในหลายๆจุดค่ะ แต่ยังล้มๆลุกๆอยู่ ซึ่ง effect ในส่วนของ productivity อย่างที่ได้เล่าไปแล้ว 5. คำแนะนำของทุกๆท่านในทู้นี้เป็นประโยชน์อย่างมากจิงๆค่ะ จะเอาไปปรับใช้แน่นอน ขอบคุณมากๆเลยค่ะ 6. ขอบคุณเป็นพิเศษ สำหรับคุณ Jesus ที่อุตส่าห์เสนอตัวจะมาช่วยแก้ปัญหาโลกแตกให้ฟรีๆด้วยค่ะ สุดยอดดดดส์! * ผู้รู้ท่านใดที่มีข้อแนะนำเพิ่มเติม จะเขียนมา share กันทางเมลล์ก็ได้นะคะ หรือจะตอบในทู้ก็ได้ค่ะ ดิฉันตามอ่านทุกวันแล้วก็ได้อะไรดีๆทุกครั้งที่เปิดดู  ขอขอบคุณอย่างจริงใจค่ะ แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 51 17:04:48 แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 51 17:02:35 จากคุณ : sweethurt - [ 28 มี.ค. 51 16:59:44 ]

ความคิดเห็นที่ 45 อึ่มๆ... คุณ sweethurt ครับ ขอร่วมวงสนทนาด้วยนะครับ ^^ ตอนนี้โรงงานลูกค้าเจอเคสเดียวกันเลย ผมว่าเกือบ 80% ทุกที่มีเรื่องคนหมดครับ ระบบช่วยได้บ้าง แต่ที่จริงแล้วอยู่ที่ว่าจะมีคนมาเข็นแค่ไหน (และวิธีการเข็นด้วยมั๊งครับ) ถ้าไม่มีคนคอยผลักดันอย่างจริงๆจังๆ แล้วล่ะก็ ล่มแน่ๆล่ะผมว่า จากคุณ : addicted to love - [ 28 มี.ค. 51 17:16:50 ]

ความคิดเห็นที่ 46 #45  mimi_mxy@hotmail.com add มาสนทนากันได้นะคะ หรือจะเมลล์มาคุยกันก็แล้วแต่สะดวกค่ะ ตอนนี้ตัวเองหัวกำลังจะระเบิดค่ะ ประชุมทุกวัน ปัญหาเดิมๆ อ๊ากกกกกกกกกกกกส์ ฮ่าๆๆๆ บ้าไปแว้วววว~ จากคุณ : sweethurt - [ 28 มี.ค. 51 17:31:01 ]

ความคิดเห็นที่ 47 มาแจมของคุณ sweethurt ด้วยคนครับ ต้องยอมรับว่าปัญหาเรื่องคนเป็นปัญหาที่เจอกันในทุกวงการ โดยเฉพาะวงการอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นวงการที่ใช้คนจำนวนมาก วิธีการทั่วไปในวงการอุตสาหกรรมที่ใช้กันคือ 1. ใช้เครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติเท่าที่ทำได้ (อันนี้ค่อนข้างยากในบางวงการ และลงทุนช่วงแรกสูง อย่างโรงปิโตรเคมีหรือโรงประกอบรถยนต์ ฯลฯ) 2. นำระบบเข้ามาใช้ เช่นที่กล่าวแล้วในช่วงต้น คือให้คนทำงานตามที่กำหนด ลดการตัดสินใจ มีการ Double Check Cross Check ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผลักดันให้เกิดระบบเหล่านั้นก็คือคนอยู่ดี (หัวหน้างานที่ไว้วางใจได้) ผมขอเพิ่มเติมจากความเห็นที่ 44 ของคุณนะครับ 1. การทำ SOP, WI ช่วงต้นเป็นอย่างที่คุณว่าแน่นอน อย่าหวังว่าให้ทำหนแรกจะสำเร็จ ดังนั้น จากที่ทำลองเอามาดูว่า ขาดอย่างไร ก็ค่อย ๆ แก้ไขไป หรืออาจเอาตัวอย่างที่ดีจากที่อื่นมาให้ดูเป็นตัวอย่าง หรือกำหนดเลยว่าหัวข้ออะไรที่ต้องเขียนบ้าง เช่นระบบฝรั่ง จะบอกว่า ต้องมีหัวข้อ Purpose, Scope, Reference, Check Sheet หรือเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้อง, การตรวจสอบตรวจวัด, ข้อควรระวัง ฯลฯ อย่าปล่อยให้แต่ละคนเขียนตามรูปแบบของตนเอง บางอย่างเขียนเป็นตัวหนังสือไม่ได้ ใช้กล้อง digital ถ่ายรูปประกอบ หรือจัดทำ limit sample แยกต่างหากได้ 2. รางวัล PM Award มักให้กับผู้ส่งออกดีเด่น คือมียอดส่งออกโดยไม่ได้มาประเมินระบบนะครับ (อันนี้ถ้าเข้าใจไม่ผิด เพราะบริษัทที่เคยทำงานได้รางวัลนี้มาเมื่อสิบกว่าปีก่อน ไม่มีใครมาตรวจให้รางวัล) ไม่เหมือนพวก TQM Award ที่มีคณะกรรมการตรวจประเมิน อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าโรงงานของคุณมีระบบเช่นกัน เพราะเดี๋ยวนี้ลูกค้ามักจะ audit ก่อนสั่งซื้อ ถ้าไม่มีอะไรให้ดูคงไม่สั่งของมาง่าย ๆ 3. คุณต้องลองประเมินดูว่า ในพนักงานที่คุณมีในปัจจุบัน มีศักยภาพและความรับผิดชอบเหมาะกับงานที่ได้รับมอบหมายหรือไม่ put the right man to the right job หรือไม่ ขาดอะไร บางอย่างไม่สามารถทำให้เค้าพัฒนาขึ้นได้ ก็อาจจำเป็นต้องจ้างจากภายนอกเข้ามา จากคุณ : jerry (jerry-t) - [ 28 มี.ค. 51 18:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 48 รับวิศวะกรไหมครับ อิอิ พูดเล่นนะผมยังติดสัญญาอีกนาน จากคุณ : alexnotti (notti) - [ 28 มี.ค. 51 18:44:19 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ^ l l ฮั่นแน่.....อยากกลับเมืองไทยแล้วอ่ะจิ... จากคุณ : addicted to love - [ 28 มี.ค. 51 22:00:21 ]

ความคิดเห็นที่ 50 #47  อืมมม....พยักหน้าหงึกๆ ขอบคุณมากค่ะ......คือว่าทุกสิ่งที่คุณว่ามา  รู้สึกว่าดิชั้นจะต้องทำคนเดียวเป็นแน่แท้ ปอลอ.  คนที่มีอยู่ศักยภาพมีจำกัดพอสมควรค่ะ ทั้งระดับหัวหน้า แม้แต่กระทั่งผู้จัดการฝ่ายผลิตก็เถอะค่ะ ขาดทักษะในเรื่องของการจัดการและการวิเคราะห์ปัญหา ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด บางคร้งเลยออกไปแนวหวังดีประสงค์ร้ายยังงัยชอบกลค่ะ(แต่เค้าภักดีกะบริษัทนะคะ)...ห่ะๆ  โจทย์ยากเนอะ เฮ่อออ~ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 51 00:05:46 จากคุณ : sweethurt - [ 28 มี.ค. 51 23:25:02 ]