ความคิดเห็นที่ 1 อ้อ เวลาเรียน discussion และการเขียน paper นี่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดเลยหรือเปล่า? แล้วถ้าเทียบกับ Phd Finance ของ Sasin แล้วที่ไหนดีกว่ากันครับ? ขอบคุณล่วงหน้าครับ แก้ไขเมื่อ 06 พ.ค. 51 22:38:46 จากคุณ : ตี๋น้อยคับ - [ 6 พ.ค. 51 22:32:36 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถ้าอยากเรียน PhD ในไทย เลือก Sasin เถอะครับ จะเสียเหงื่อทั้งที เอาให้คุ้มค่าไปเลย เท่าที่ทราบ หลายคนที่เขาไม่เลือก Sasin เพราะภาษาไม่แข็งแรงพอ ประกอบกับ JDBA เปิดมาก่อนครับ จากคุณ : Alemania - [ 7 พ.ค. 51 00:19:09 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เหรอครับ จริงๆ sasin ก็ดีกว่าจิงๆแหละเพราะต้องไป kellogg ปีนึงด้วย แต่ใจจริงไม่ค่อยอยากเรียน pure finance เลย sasin น่าจะเปิด DBA นะคับ ยังรอความคิดเห็นอื่นๆอยู่ครับ แก้ไขเมื่อ 07 พ.ค. 51 03:00:43 จากคุณ : ตี๋น้อยคับ - [ 7 พ.ค. 51 00:59:07 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอนนี้อยู่อังกฤษแล้ว ไม่ลองหามหาวิทยาลัยที่นั่นเลยล่ะครับ เมืองไทยตัวเลือก DBA มีน้อยนะครับ แล้วงานบางอย่างที่จบ DBA มาก็ไม่ ค่อยโอเคนะครับ (ลองอ่านดูได้ ผมอ่านมาแล้ว 10 กว่าอัน) ตอนนี้ DBA เมืองไทยมีไม่เยอะที่หรอกครับ แล้วส่วนใหญ่ Require ประสบ การณ์ 5 ปีขึ้นไปด้วย (ลองไปถามมาแล้ว) ของเมืองไทยมี AIT, JDBA, เนี่ยครับ แล้วก็มี ABAC (OD) แต่คิดว่าคงไม่เอาอันนี้ ส่วนมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่สอน DBA ก็มีบางที่พึ่งเปิดปีนี้ปีแรก เอาไอเอ้ล แบบ 4.0 เป็นมหาวิทยาลัยรัฐบาล แต่คิดว่า ไม่นาจะดี เพราะเคยดูประวัติ คนเรียน คนสอน แล้วคิดว่าไม่โอเค บางมหาวิทยาลัยแบบรับปีนึง 20 กว่า คนก็ไม่น่าเรียน มหาวิทยาลัยเอกชนบางที่เปิดแบบไม่พร้อมก็ไม่น่าเรียน ส่วนบางมหาวิทยาลัยอย่าง ม.เชียงใหม่ ม.เกษตร ม.มหิดล ไม่มีคณะนี้ (ซึ่งน่าจะมีนะ เพราะเป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ แต่กลับไม่มี) ส่วนปริญญาเอกที่เป็นเศรษฐศาสตร์มีหลายที่ ซึ่งอันนี้คิดว่าน่าจะดีกว่าและ โอกาสรับน่าจะสูงกว่า (ตอนนี้เห็นมีม.เชียงใหม่ รับไม่น่ายากมาก จากที่อ่าน มา เพราะเอาคะแนนภาษา คะแนนสอบไม่เยอะ เป็นอินเตอร์) JDBA น่าจะเข้ายากเพราะเอาประสบการณ์เยอะ ส่วนใหญ่ที่ไปเรียนกันเห็น อายุ 30 กว่ากันแล้ว เคยไปเปิดของ ABAC (OD) อายุน้อยสุดยัง 29 เลย (ส่วนใหญ่เอาประสบการณ์ 5 ปีขึ้นไป) คิดว่าเรื่องภาษาคุณไม่น่ามีปัญหา ยังไงก็ผ่านแน่นอน 6.5-7.0 มันก็โอเค แล้ว เรื่องสอบอื่น ๆ ก็ไม่น่ามีปัญหา จะมาติดตรงอายุกับประสบการณ์นี่ แหล่ะ ซึ่งถ้าเป็นอังกฤษ กับออสเตรเลีย บางมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ซีเรียส มาก ต้องดูเป็นมหาวิทยาลัยและคอร์ส ๆ ไป เช่น AGSM ของออสเตรเลีย เนี่ยเรื่องมากหน่อย เพราะเขาดัง เพราะฉะนั้นเลยเอาประสบการณ์ 5-10 ปี ส่วน Ph.D. ธรรมดา ๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะเน้นทฤษฎีและเป็นนัก- วิชาการ แต่ก็มี DBA และ Ph.D. บางที่ไม่ซีเรียสเรื่องประสบการณ์มากก็มี สาเหตุคือ บางมหาวิทยาลัย(ที่โอเค)หน่อย เพิ่งเปิดและคนเรียนน้อย จึงต้องการคนมา เรียนกับเขาอยู่ (จริง ๆ แล้วอยู่อังกฤษและออสเตรเลีย โอกาสมันมีมากกว่า เมืองไทยแน่นอน เรื่องการเรียน เพราะตัวเลือกมันเยอะกว่า Librarian อะไร แบบนี้ก็ดีกว่า มีความรู้สูงกว่า ผมเคยคิดแบบว่า กลับมาเมืองไทยนี่แหล่ะ หลังจากจบโท 2 ใบ ปรากฎว่า ตัวเลือกน้อยจริง ๆ เพราะมีให้เลือกแค่นี้แหล่ะ หลาย ๆ คนเขาเชียร์ที่อื่น แต่ ไปดูบรรยากาศ ดูเพื่อนที่จะเรียนด้วยกัน ดูสถานที่ ดูประวัติคนสอน ดูหนัง- สือที่ใช้สอน Courseworks แล้วพูดตรง ๆ ว่า ไม่ดีเลย บางที่เอาหนังสือเด็ก ปีสองมาสอนด้วยซ้ำไป ส่วนอาจารย์ก็อะไรไม่รู้ (จบมาอย่างสอนอีกอย่าง) เหมือนให้ผ่าน ๆ ไป บรรยากาศการเรียนมีบอร์ดมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีใคร เข้าไปตอบเลย โดยเฉพาะบางกระทู้เป็นภาษาอังกฤษ ไม่มีใครตอบเลย ลองเลือกมหาวิทยาลัยดีดีในออสเตรเลียกับอังกฤษออกมาก็ได้ เอาแบบ 4-5 ดาวขึ้นไปซัก 10 ที่แล้วเลือกว่าที่ไหนมี DBA/Ph.D.Businesss,Econo- mics แล้วดูทีละที่ จะเห็นเอง ว่าที่ไหนเป็นยังไง ราคา สถานที่ ค่าเรียน ป.ล. วิธีการที่ดีที่จะทำให้รู้ว่า เราเรียนไหวไหม ชอบไหม ประสบความสำ- เร็จไหมก็คือ ต้องลองไปดูงานที่เขาทำเสร็จแล้วและคุยกับคนที่เคยเรียนมา ก่อน ส่วนตัวผมเคยไปนั่งเรียนกับพี่ที่เขาเรียน DBA ตอน Courseworks ด้วยกัน คิดว่า ถ้าเลือกเรื่องที่ไม่ยากและถนัดมันก็ได้แหล่ะ แต่ต้องขยันด้วย จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 7 พ.ค. 51 10:53:50 A:58.181.152.146 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนจะมีสองอย่างคือ เรียนแบบ Ph.D. อันนี้คุณต้องมีหัวข้อมาก่อนและ ควรเรียนแบบ Master by Research นะ แบบนี้คุณต้องรู้ก่อนว่า คุณเก่งอะ- ไรไม่เก่งอะไร ไม่อย่างงั้นจะลำบากเวลาเรียนไปเรื่อย ๆ แบบ DBA อันนี้ เหมาะสำหรับคนที่คิดว่าต้องการตัวช่วยและเรียนแบบไม่ทฤษฎีจัดเหมือนอัน แรก เวลาเรียน 3 ปี บางคน 2 ปีกว่าจบได้ก็มี (สำหรับออสเตรเลียและอัง- กฤษ) อันนี้จะมีการเรียนวิชาต่าง ๆ แบบบริหารธุรกิจประมาณ 35-40% แล้ว แต่บางมหาวิทยาลัย จะไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็ได้ แต่ควรมี และจะเรียนวิชาที่ เกี่ยวกับการทำวิจัยต่าง ๆ เช่น Research Methodology, Literature Re- view, Research Proposal, Research Writing.) เคยเห็นเด็กจบครุศาสตร์ จุฬาฯ ไปเรียน (ไม่เคยมีพื้นฐานด้านธุรกิจมาก่อน ก็เรียนได้ แต่จะยากตรง ที่ต้องเรียนวิชาพื้นฐานเช่น Corporate Finance, International Marketing หรือบางวิชาที่ไม่รู้มาก่อน บางคนมาเรียน DBA ก็ยังไม่รู้ Topic ก็สามารถ เรียนได้ เพราะต้องเรียนพื้นฐานก่อนเกือบปี พอให้มีเวลานั่งคิดว่าตัวเองเก่ง หรือไม่เก่งอะไร แต่ส่วนใหญ่จะจบที่การตลาด โฆษณา โรงแรม เพราะเป็น วิชาที่เหมาะกับเด็กสายศิลป์ เรียน DBA จะดีตรงที่ทำวิจัยน้อยกว่า เพราะมี ประมาณ 60-65% เท่านั้นแล้วแต่มหาวิทยาลัย (ดูแต่ละเว้ปไซต์) ป.ล. ถ้าเรียนที่อเมริกา ต้องเรียน Courseworks ใหม่น่ะครับ เพื่อนจบ Honor มหาวิทยาลัยซิดนีย์ เขาบอกไม่ให้โอนครับ ป.ล.2 อย่าไปคาดหวังว่า กลับมาเมืองไทยแล้วจะได้อย่างที่ใจคิด อย่างผม กลับมานี่ ทำงานแล้วรู้ตัวเลยว่า งานไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น แล้วเสียเวลา มาก ทั้งเรื่องเรียนโท 2 ใบและทิ้งเวลาไปเกือบ 1 ปีที่ต้องอยู่เมืองไทย ที่ สำคัญมันจะหมดไฟในการเรียนด้วยครับ ที่แนะนำอังกฤษและออสเตรเลีย เพราะเห็นว่า 2.5-3 ปีมันมี แต่ที่อื่นคิดว่า 4-5 ปี คิดว่านานเกินไปครับ จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 7 พ.ค. 51 10:57:55 A:58.181.152.146 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 6 โทษนะครับ DBA นี้อะไรอะครับ ใช่ปริญญาเอกหรือป่าวครับ รบกวนอธิบายหน่อยผมไม่รู้อะครับ ใข่ Doctor Business Account or Administrator หรือป่าวครับ จากคุณ : galatigos - [ 7 พ.ค. 51 15:37:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ^ ^ ^ ใช่แล้วครับ Doctorate in Business Administration ขอบคุณพี่ฟ้าลั่นมากๆครับ แบบนี้ผมคงสมัคร jdba ไม่ได้แล้วล่ะเพราะไม่มีประสบการณ์ T_T ไอ้ที่อังกฤษเนี่ยก็อยากอยู่หรอกแต่มันแพงงงงงงอ่ะครับ คงต้องกลับไปคิดเยอะๆหน่อย แต่ผมคงเรียน phd ไม่ไหวแน่ๆ ปล. ขอบคุณที่เข้าไปเม้นในบล็อกด้วยนะคร้าบ จากคุณ : ตี๋น้อยคับ - [ 8 พ.ค. 51 00:11:11 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณตี๋น้อยคงไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนเลยใช่ไม้ครับ จริงๆ น่าจะลอง search หาข้อมูลของแต่ละโปรแกรม ดูหลักสูตร ดู research interest ของอาจารย์ ประสบการณ์และ publication ของอาจารย์ รวมถึงค่าใช้จ่ายตลอดหลักสูตรก่อน JDBA ไม่ต้องการประสบการณ์ทำงานครับ และจริงๆ แล้วหลักสูตรของ JDBA เหมือนกับ Phd ทุกประการณ์แต่ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงเรียกว่า DBA เท่าที่คุยกับนักเรียน finance ของ JDBA  ในส่วนของ coursework วิชาที่เรียนจะผสมระหว่าง pure coursework กับ seminar นะครับ เรียนไม่ง่ายนัก มีรุ่นน้องจบเกียรตินิยมวิศวะจุฬาเรียนอยู่ก็บอกว่าวิชา finance บางตัวค่อนข้างยาก และใช้ math ชั้นสูง ยังไงลองดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ website ของเค้าเเล้วกัน ธรรมศาสตร์เองก็มี Phd in business ซึงสามารถเลือก specialization in finance ได้ ลองดู website เค้าอีกเช่นกัน Nida ก็มี finance พึ่งจะเปิดเป็นปีเเรก อีกอันก็ที่ sasin ซึงรู้กันดีอยู่แล้ว   นอกจากสี่ที่นี้แล้วไม่เเนะนำให้เรียนเเล้วนะครับ เอาตังค์เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ส่วน Sasin ผมรู้จักน้องคนนึงที่เรียน Phd ที่ Sasin เค้าได้ที่ JDBA ด้วยแต่เห็นว่าอยากไป Kellogg เลยเลือกที่ Sasin อีกคนสมัคร JDBA ทั้งๆ ที่จบ MBA ที่ Sasin เพราะไม่อยากไป Kellogg  สุดท้าย Sasin ค่าใช้จ่ายโดยรวมสูงสุดครับ ผมเคยคำนวนเล่นๆ เมื่อปีที่แล้ว ผมว่าหาข้อมูลด้วยตัวเองก่อนจะได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่านะครับ สุดท้ายคุณสมัครของปีนี้ไม่ทันแล้วล่ะ จากคุณ : macleans - [ 8 พ.ค. 51 02:00:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณคุณmacleansนะครับ สำหรับคำตอบ ผมsearchแล้วครับ แต่ว่าทางเวปให้ข้อมูลได้ค่อนข้างหยาบ ไม่ได้กล่าวถึงว่า require ประสบการณ์ไหม แค่ IELTS6 GMAT550 gpaป.โท3.2 ขึ้นไปเท่านั้น แต่เท่าที่ทราบมาอย่างที่คุณฟ้าลั่นบอกว่าDBAมักจะrequire ประสบการณ์ นี่เป็นเหตุผลที่ผมมาตั้งกระทู็ถาม   แต่ผมไม่เห็นด้วยนะครับที่ว่า DBA เหมือนกับ Phd ทุกประการ อย่างเช่น JDBA Finance จะ practical มากกว่าถ้าเทียบกับ Phd in Finance อย่างศศินทร์ที่ต้องไปเรียน Advance Macroeconomics I II III Advance Microeconomics I II III ซึ่งเทียบกับ JDBA Finance ซึ่งเน้นไปทางด้าน Finance, Investments, Portfolio Theory มากกว่า ซึ่งทางDBAของโปรแกรมทางฝั่งอังกฤษก็ระบุอย่างชัดเจนว่าแตกต่างจากPhdเพราะเน้นนำความรู้เพื่อที่จะ นำไปใช้กับ Private Company ทั้ง Consultant หรือ Analyst และสามารถรับ job เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยได้เป็นงานเสริม แล้วอีกอย่างผมสมัครปีนี้ไม่ทันแน่นอนครับ เพราะผมยังไม่ได้กลับเมืองไทยเลย จากคุณ : ตี๋น้อยคับ - [ 8 พ.ค. 51 04:27:37 ]

ความคิดเห็นที่ 10 1. เท่าที่รู้เรื่อง Require ประสบการณ์ เพราะคนเขียนจดหมายให้ผมสมัครก็ เรียนปริญญาเอกก็จบ DBA จุฬาฯ ครับ อีกคนก็ DBA ธรรมศาสตร์ครับ (ทั้ง สองคนเป็นอาจารย์กันมาแล้วคนละ 4-5 ปี ระดับรองคณบดีกับเลยไป) เท่า ที่อ่านประวัติอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ไปต่อ JDBA กันส่วนใหญ่ก็จบประมาณ ใกล้ Honor 2 ตอนเรียนปริญญาตรีกัน ส่วนปริญญาโทก็เรียนอังกฤษ ออสเตรเลีย เรียนไป 1 ปีก็กลับมาสอนหนังสือสัก 4-5 ปีก็ต่อ DBA ครับ (อยากรู้เรื่องพวกนี้ ถามคนที่เรียนจบมาแล้วก็ได้ หรือว่าไปอ่านที่ประ- วัติของอาจารย์หลังเล่มก็ได้ครับ) ผมรู้จักอาจารย์จบ JDBA ที่มหาวิทยาลัย 5-6 คน Pattern เดียวกันหมดเลยครับ มาสไตล์นี้หมด 2. ถ้าคิดว่าอังกฤษแพง ไปออสเตรเลียก็ได้ครับ เดือนนึงค่าใช้จ่าย 4-5 หมื่นบาทก็อยู่ได้ เลือกบ้านนอกเมืองหน่อย นั่งรถไฟไปเรียน อาทิตย์ละ 3 วันก็พอแล้ว (อยู่เมืองไทยใช้เดือนละ 2 หมื่น อยู่โน่นมากกว่า 2 หมื่นไม่น่า จะมีปัญหา) ส่วนค่าเรียนก็กลาง ๆ ครับ ล้านต้น ๆ ไม่แพงมาก คนไทยเยอะ ด้วยครับ ค่าตั๋วเครื่องบินกลับก็ถูกมาก 25000 ไปกลับ เรียกว่าปีนึงกลับบ้าน 4-5 ครั้งก็ไม่มีปัญหาอะไร ผมชอบตรงอยู่ออสเตรเลียนี่แหล่ะ บ้านหลังใหญ่ กินอิ่ม มีทีวีไทย อาหารเกาหลี ญี่ปุ่น แล้วก็ไม่ต้องปรับตัวอะไรทั้งนั้น กลับมาเมืองไทยแล้วตัวเลือกน้อยนะครับ (บางที่รับ 4-5 คน) แล้วคนเรียน ส่วนใหญ่จะอายุเกิน 30 กันแล้ว (อย่างต่ำก็ผู้จัดการ อาจารย์มหาวิทยาลัย) ทำให้รู้สึกว่า เราไม่เข้าพวก แต่อยู่โน่นแล้วสบายครับ ผมนั่งคุยกับฝรั่งอายุ 45 อย่างไม่ซีเรียส มีเด็กแนวมาเรียนก็มี บางที่ไม่มายด์เรื่องอายุครับ (ไม่ ค่อยแนะนำให้เรียน Ph.D. ครับ ส่วนตัวเพราะเห็นเหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร มันอยู่ของมันคนเดียวจริง ๆ เห็นคนเรียน DBA นี่ครึกครื้นมาก มีคนไทยเดิน กัน 4-5 ต๊อก ๆ ในมหาวิทยาลัย ก็ยังสบายใจ แต่ Ph.D. นี่แบบมันไม่มีใคร) เมืองไทยสมัครได้ปีละครั้ง เมืองนอกก็ปีละครั้ง (แต่อาจจะเข้าไปเรียน Courseworks ก่อนได้ครับ เคยเห็นมาแล้ว) กันเหนียวตอนนี้ก็รีบไปขอจด- หมายอาจารย์มาก่อน (เดี๋ยวอาจารย์จะลาออกไปแล้วจะไม่มีจดหมายเขา) ก่อนสมัครก็ลองเล่น ๆ ก่อนก็ได้ว่า เขาให้เราโอน Courseworks กี่ตัว บางที่ ให้โอนเยอะก็สบายหน่อย เรียนแค่ 4 เดือนก็ไปพร้อมเขาได้แล้วไม่เสีย เวลามาก ส่วนสมัครแล้วจะบอกเลื่อนเขาว่าจะไปช้านิดนึงต้องลองต่อรองดู ว่าจะได้ไหม (เมืองไทยคู่แข่งท่าจะเยอะแหล่ะ เพราะปีนึงรับน้อย) จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 8 พ.ค. 51 09:25:26 A:58.181.152.146 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คำว่าเหมือน Phd หมายถึงปรัชญาของโครงการ JDBA ครับ ผมไม่ได้พูดถึง DBA as a whole ในส่วนของ dissertation JDBA คาดหวังให้นักเรียนมีผลงานที่ original และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารที่ได้รับการยอมรับ แต่ผมไม่เถียงหรอกครับว่ามันมี practical flavor อยู่ใน coursework แต่ที่สุดเเล้วคุณก็อาจต้องไป sit in ในวิชา macro หรือวิชาที่ theory จ๋าก็ได้ครับถ้าหากว่า dissertation ของคุณต้องใช้ความรู้ของวิชานี้ สั้นๆ ว่าอยากจะสื่อว่าคุณยังตัดสินไม่ได้ในทันทีน่ะครับว่าหลักสูตรมัน practical หรือ theory based (จริงๆ อยากบอกว่าตอนเรียน coursework คุณอ่าน journal อ้วกแน่ วันก่อนรุ่นน้องยังบ่นให้ฟัง) ข้อมูลในเวป ไม่หยาบหรอกครับ เค้าเอาแค่นั้นจริงๆ ผมรู้จัก admin โครงการทุกคนเป็นการส่วนตัวครับ เมื่อซักครู่ก็โทรไป confirm ให้แล้วว่าไม่ต้องการประสบการณ์ครับ คุณฟ้าลั่นครับ ส่วนใหญ่คนที่เรียน phd หรือ dba ก็ตามในเมืองไทยทำงานมาแล้วทั้งนั้น แต่คุณไม่สามารถสรุปว่าเพราะเค้ามีประสบการณ์ ดังนั้นโครงการก็ต้อง require ประสบการณ์นะครับ ผมเเนะนำให้เรียน Phd นะครับ ถ้าคุณต้องการเป็น analyst ผมอาจจะโลกเเคบ แต่ analyst ทุกคนในสถาบันการเงินชั้นนำที่ผมรู้จักหรือมีคนบอกเล่าให้ฟังจบ Phd ครับ จากคุณ : macleans - [ 8 พ.ค. 51 15:07:56 ]

ความคิดเห็นที่ 12 I really appreciate for your kindness. Thank both krun ฟ้าลั่น and krun macleans so much for your helpful information krub. จากคุณ : ตี๋น้อยคับ - [ 8 พ.ค. 51 21:44:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แหมชอบกระทู้นี้จัง.........โดนใจผมจริงๆ....... SAVE.......และ....... จากคุณ : 1112 - [ 11 พ.ค. 51 08:06:36 A:202.5.86.71 X: TicketID:152929 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อยากให้มีกระทู้ที่วิเคราะห์เชิงลึกแบบนี้เยอะๆๆๆ ขอบคุณพี่ๆทุกคนครับ ได้ข้อมูลในการตัดสินใจเยอะเลย จากคุณ : mixman23 - [ 28 พ.ค. 51 17:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตอบให้หลังไมค์แล้ว จากคุณ : ตามที่คุณ macleans อ้างถึง (chaerimi_lufc) - [ 29 พ.ค. 51 15:40:21 ]