ความคิดเห็นที่ 2
กลไกตลาด ก็อย่างที่เข้าใจเป็นเรื่องอุปสงค์กับอุปทาน...
ถ้าคุยภาษาคนก็เช่น ถ้ามีสินค้าที่เหมือนกัน แต่การตังราคาที่แตกต่างกัน คนก็จะซื้อของที่ราคาถูกกว่า แต่ในความเป็นจริง เพียงสินค้าที่เหมือนกันกับราคานั้น ไม่เพียงพอต่อการระบุว่า คนซื้อจะซื้อสินค้านั้นหรือไม่ แต่มันยังมีบริบทอื่นๆ ที่จะส่งผลให้เกิดการซื้อ เช่น คุณภาพของสินค้า ประเทศผู้ผลิต ราคา การให้ข้อมูลก่อนการซื้อสินค้า ความน่าเชื่อถือของผู้ขาย ตัวแทนขาย การบริการหลังการขาย การหาข้อมูลของผู้ซื้อ ฯลฯ ดังนั้น กลไกตลาดจึงมีความหมายโดยรวมที่ครอบคลุมทั้งฝ่ายผู้ซื้อ และ ผู้ขาย แต่ส่วนใหญ่มักเน้นไปทางผู้ขาย สินค้า และ การบริการเสียส่วนใหญ่ เพื่อให้ผู้ซื้อซื้อสินค้า มุมมองของกลไกตลาด จึงมองในฝั่งผู้ขายเป็นส่วนใหญ่
เวลาพูดถึงกลไกตลาด ก็มักจะเป็นการพูดถึงการแข่งขันของผู้ขายสินค้า เพื่อทำให้ ผู้ซื้อสินค้า ซื้อสินค้าและบริการเหล่านั้น เช่น ถ้าสินค้าคือ นาฬิกา การจะทำให้ผู้ซื้อพึงพอใจในนาฬิกาสักเรือน ก็ต้องมองบริบทของสินค้าว่า ลูกค้าต้องการอะไร แต่เนื่องจากสินค้านี้ มันอาจจะมีความแตกต่างไม่มาก ราคาก็อาจจะไม่แตกต่างกัน ดังนั้น การสร้างแบรนด์ การสร้างภาพลักษณ์ การทำการตลาดในเชิงต่างๆ ก็จะมีส่วนช่วยผลักดันกลไกตลาด ให้เกิดการซื้อขายขึ้น
แต่ถ้าเดาว่า อ. ให้บอกว่า "การควบคุมโดยกลไกตลาด" อาจจะมีมุมมองของรัฐ เขามาเป็นองค์ประกอบ ในเชิง การแทรกแซงของรัฐ โดยใช้กลไกตลาด ก็ได้ เช่น การลดภาษี ก็จะมีส่วนทำให้เป็นการควบคุมราคาโดยกลไกตลาด เพราะถ้าตามทฤษฎี ถ้ามีการเก็บภาษีลดลง ก็เท่ากับว่าต้นทุนลดลง เมื่อต้นทุนลดลง ราคาก็น่าจะลดลงตาม แต่ส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการจะพยายามไม่ยอมลดราคาเหล่านั้น แต่ถ้ามีการลดราคาของใครก่อน คนอื่นถึงจะพยายามลดลงมาบ้างเพื่อเข้ามาแข่งขัน แต่ถ้าหากเกิดการฮั้วกันขึ้น เช่น การกำหนดราคาโดยสมาคม ก็อาจจะทำให้ไม่เกิดผลกับผู้บริโภคมากนัก ดังนั้น วิธีการควบคุมจากภาครัฐ จึงต้องมองในมุมขัดแย้งด้วย
ผมคิดว่า เวลาคุณเขียนรายงานก็พยายามที่จะเขียนให้คลอบคลุมละกันครับ
จากคุณ :
Wiboon Joong (wbj)
- [
10 พ.ค. 51 13:10:42
]
|
|
|