Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    แสบซ่าส์วาสนา “แจ๋ว”! ตอนที่ 6…อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย

    …..อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย…
    ไม่อดตายดอกเพราะอดสิเหน่หา!

    อ๊ะ..อ๊ะ..รู้น๊าว่าท่านผู้อ่านกำลังคิดอะไรกันอยู่?
    แต่ต้องขออภัยด้วยเด้ออออ..
    ว่าตอนนี้ไม่ได้จะเขียนเรื่องแนวกุ๊กกิ๊กที่ท่านกำลังคิดอยู่
    แต่จะเขียนเรื่องปัญหาการ “อดข้าว” ที่พวกเราหลายคน
    อาจจะกำลังเผชิญกันอยู่…

    แม่นแล้ว..
    ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะกำลังตั้งใจ “อดข้าว” เพื่อลดน้ำหนัก
    แต่หลาย ๆ ท่านอาจจะโชคร้ายต้อง “อดข้าว” จากปัญหาเศรษฐกิจ
    เป็นการอดข้าวที่ไม่ได้ตั้งใจ..ที่ไม่ต้องการและอยากจะหลีกหนีให้ไกลห่าง

    ตอนนี้เรากำลังจะเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพงอีกระลอกหนึ่งแล้วหรือ?
    เพราะช่วงนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็จะได้ยินว่ามีแต่คนและสื่อต่างๆ
    พูดกันถึงปัญหาข้าวยากหมากแพงกันไปทั่ว
    มีสื่อบางสื่อมีรายงานที่วิเคราะห์เจาะลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
    แม้กระทั่งให้คำแนะนำการใช้ชีวิตในยามนี้มาเป็นของแถมให้ด้วยก็ยังมี…

    ต้นตอที่สำคัญประการหนึ่งของภาวะข้าวยากหมากแพง
    ก็คงหนีไม่พ้นปัญหาน้ำมันแพงนั่นแหละ
    แพงจนส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตต่างๆ ในเรื่องต้นทุน
    จากนั้นก็วกกลับเข้ามาหาเรา ๆ ท่าน ๆ ให้ได้เดือดร้อนกันอย่างที่เห็น

    อาหารและข้าวของที่จำเป็นในการดำรงชีวิตก็พากันเดินขบวนขึ้นราคา
    ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่เดิมแร้นแค้นอยู่แล้วจะต้องแร้นแค้น
    และลำบากยากเข็ญเพิ่มขึ้นไปอีกหลายเท่าโดยเฉพาะในช่วงนี้
    ที่เรากำลังเข้าสู่ “กลียุค” หรือ ยุค “ข้าวยาก หมากแพง”
    ที่แม้แต่เงิน 100 บาทยังแทบจะหาซื้ออะไรไม่ได้

    ภาวะข้าวยากหมากแพงนี้เป็นคนละเรื่องกับข้าวของแพงตามฤดูกาล
    ที่จริงปัญหาเรื่องข้าวยากหมากแพงในเมืองไทยใช่ว่าจะเพิ่งเกิดในสมัยนี้
    แต่เคยเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ ขึ้นอยู่กับว่าปัจจัยของแต่ละช่วงประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
    เมื่อหลายสิบปีก่อนก็เคยเกิดมาแล้วและช่วงนี้กลับมาอีกจึงเป็นเรื่องธรรมดา

    แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือเมื่อเกิดภาวะข้าวยากหมากแพงนี้ขึ้นมาแล้ว
    ก็จำเป็นที่เราจะต้องหาทุกวิถีทางที่จะ “รัดเข็มขัด”
    ที่จะสามารถช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้…

    จำได้ว่าเคยเล่าไว้ในเรื่อง “เลขาฯ ตัวแสบ!” เกี่ยวกับการนำปิ่นโต
    ใส่อาหารกลางวันไปกินที่โรงเรียนตอนเด็ก ๆ สมัยที่เรียนอยู่ที่นราธิวาส
    ปัจจุบันนี้ไม่แน่ใจว่ายังมีพ่อแม่ผู้ปกครองเตรียมอาหารใส่ปิ่นโต
    ให้ลูก ๆ ไปโรงเรียนสำหรับกินเป็นอาหารกลางวันอีกมากน้อยแค่ไหน

    ตอนอยู่ที่ประเทศกรีซก็มีการเตรียมอาหารกลางวันใส่กล่อง
    ให้น้องแซนดี้และน้องด็อกเตอร์ไปโรงเรียนทุกวันเหมือนกัน
    เนื่องจากยังเล็กเกินไปไม่สามารถไปหาซื้อกินเองในห้องอาหารได้
    และผู้ปกครองทุกคนก็ปฏิบัติแบบเดียวกันด้วยจึงกลายเป็นเรื่องปกติ..

    แต่พอกลับมาเรียนที่เมืองไทยถึงแม้ตอนนั้นเพิ่งเข้าอนุบาลและป. 1 กัน
    ก็ไม่ได้เตรียมอาหารให้แต่ผูกปิ่นโตกับทางโรงเรียนสำหรับเด็กชั้นประถมฯ
    ตอนนี้ขึ้นมัธยมฯ กันหมดแล้วก็ไม่ต้องผูกอาหารกับทางโรงเรียนอีก

    สำหรับที่ทำงานในช่วงปีแรกก็หากินกันในอาคารที่ทำงานบ้าง
    ออกไปกินตามร้านอาหารบริเวณข้างเคียงและตามตรอกซอกซอยบ้าง
    มื้อหนึ่ง ๆ ก็จะประกอบด้วยข้าวผัด/ราดแกงหรือก๊วยเตี๋ยวประมาณ 25-30 บาท
    ขนมผลไม้อีก 10-20 บาทและค่าเครื่องดื่มหรือกาแฟเย็นอีก 10-50 บาท
    (กาแฟข้างถนนก็ 10-15 บาทแต่แบบมียี่ห้อก็แพงหน่อย)

    สรุปแล้ววันหนึ่ง ๆ จะต้องจ่ายค่าอาหารกลางวันประมาณ 45-100 บาท
    จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าสตางค์ในแต่ละช่วง
    เช่นช่วงต้นเดือนเงินเดือนออกก็มีตังค์กินอาหารเยอะหน่อย
    แต่ถ้าตั้งแต่กลางถึงปลายเดือนกระเป๋าก็แฟบหน่อย
    จนอาจจะต้องตัดอาหารที่ไม่จำเป็นออกไปหลาย ๆ รายการ

    ต่อมามีเพื่อนคนหนึ่งในบริษัททำอาหารเช้าและกลางวันจากบ้าน
    เป็นห่อ ๆ หรือใส่กล่องโฟมมาขายให้เพื่อน ๆ ในราคา 15-25 บาท
    เนื่องจากมีฝีมือและรสชาดอาหารอร่อยถูกปากเพื่อน ๆ
    และที่สำคัญราคาถูกทำให้มีเพื่อน ๆ สนใจสมัครเป็นลูกค้าประจำหลายสิบคน

    ตอนหลังฉันก็ไปลงทะเบียนฝากท้องไว้กับแม่ค้ากิตติมศักดิ์คนนี้ด้วย
    ฉันลงทุนซื้อปิ่นโตขนาดจิ๋วแบบ 2 ชั้นให้เพื่อนไว้ใส่อาหารมาส่งให้ทุกวัน
    ชั้นหนึ่งใส่ข้าวเปล่าและอีกชั้นหนึ่งใส่กับข้าว 1 อย่างราคา 20 ถ้า 2 อย่าง 25 บาท

    เท่ากับว่าวันหนึ่งใช้จ่ายค่าอาหารกลางวันเพียง 20-25 บาท
    ส่วนขนมผลไม้และเครื่องดื่มงดเพราะไม่ได้ออกไปเดินซื้อ
    และที่บริษัทฯ มีกาแฟให้พนักงานดื่มฟรีหากอยากกินกาแฟเย็นก็เติมน้ำแข็งลงไป
    เห็นไหมว่าประหยัดไปได้มากจากที่เคยจ่ายวันละ 45-100 บาทเหลือเพียง 25 บาท

    นอกจากจะประหยัดค่าอาหารแล้วรู้สึกสบายไม่ต้องคิดเมนูอาหารเอง
    ถึงแม้เขาจะมีเมนูมาให้เลือกทุกสัปดาห์วันละ 2-3 เมนู
    แต่พอรู้ใจกันสักพักฉันก็บอกเพื่อนว่าใส่อะไรในปิ่นโตมาก็ได้ไม่ต้องถาม
    ทุกเที่ยงฉันจึงได้เล่นเกมทายอาหารว่าเที่ยงนี้ในปิ่นโตจะมีอะไรให้กินบ้าง
    ตลอดระยะเวลา 4 ปีเต็มที่ผูกปิ่นโตกับเพื่อนคนนี้

    แต่ตอนนี้เลิกผูกปิ่นโตไปเกือบ 2 ปีแล้วเพราะช่วงนั้นในอาคารที่ทำงานอยู่
    มีร้านอาหารของบริษัทในเครือมาเปิดใหม่จึงไปช่วยอุดหนุนเป็นปี
    เสียค่าอาหารกลางวันมื้อละร้อยกว่าบาท
    เงินส่วนที่ประหยัดมาได้เกือบตายตลอด 4 ปีที่ผูกปิ่นโตกับเพื่อน
    ก็หมดเกลี้ยงไปกับร้านอาหารหรูในตึกเรียบร้อยไปแล้ว!

    แต่ตอนนี้ร้านนั้นปิดกิจการไปแล้วพร้อมกับยุคข้าวสารอาหารแพง
    ก็เลยต้องมาสั่งข้าวกินเองและไม่ได้สั่งอาหารปิ่นโตกับเพื่อนอีกเพราะเริ่มเบื่อ
    และเพื่อนก็เพิ่งขึ้นราคาอีกชุดละ 5 บาทเหมือนกับที่หลาย ๆ ที่เขาขึ้นกัน
    เนื่องจากเป็นคนขี้เกียจคิดเมนูอาหารประจำวันก็เลยบอกกับผู้ช่วยว่า
    ให้สั่งข้าวราดผัดผักรวมมิตรให้ทุกวันจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาถาม

    เคยได้ยินและทั้งได้สัมผัสมาด้วยตนเองเหมือนกันว่าคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่
    นิยมนำกล่องข้าวไปเป็นอาหารกลางวันในที่ทำงาน
    เพราะนอกจากเหตุผลเพื่อความสะดวกรวดเร็วไม่เสียเวลาทำงานแล้ว
    ยังมีเหตุผลเพื่อความประหยัดอีกด้วย…

    เกริ่นมาซะยาวอ้อมโลกก็เพื่อจะกลับมาที่พวกเราคนทำงานว่า
    ในยุคข้าวยากหมากแพงที่ตอนนี้อาหารการกินทุกอย่างพากันขึ้นราคา
    ก๊วยเตี๋ยวข้าวผัดข้าวราดแกงต่าง ๆ ที่เคยกินจาน/ชามละ 20-30 บาท
    ตอนนี้ขึ้นไปเป็น 25-35 บาทเป็นอย่างต่ำกันเกือบหมดแล้ว

    ถึงเวลาที่เราอาจจะต้องเตรียมอาหารใส่ปิ่นโตหรือกล่องข้าวจากบ้าน
    ไปเป็นอาหารกลางวันให้กับลูก ๆ ที่โรงเรียนรวมทั้งตัวเราเองในที่ทำงานได้แล้ว
    ถ้าทำได้แบบนี้เราจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายต่อวันและต่อเดือนได้มากทีเดียว

    บางคนอาจจะอายไม่กล้าเอาอาหารกลางวันจากบ้านมากินที่ทำงาน
    ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ฉันอยากจะขอยืนยันในที่นี้ว่า
    เรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด
    ที่ทำงานของฉันนอกจากจะมีพนักงานจำนวนมากผูกปิ่นโตกับเพื่อนที่ว่าแล้ว
    บางคนซื้ออาหารกล่องมาจากข้างนอกก่อนเข้าที่ทำงานสำหรับเก็บไว้เป็นอาหารกลางวันด้วย
    และบางคนก็ใส่กล่องเตรียมมาจากบ้านและนั่งกินด้วยกันหรือนั่งกินคนเดียวตามอัธยาศัย

    ถ้าทำได้อย่างข้างต้นก็จะเป็นหนึ่งในมาตรการรัดเข็มขัดที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายได้บ้าง
    เพราะช่วงนี้ข้าวราคาแพงหูฉี่จนคนยากคนจนหรือผู้ที่มีรายได้น้อยจะพากัน
    “อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย” กันหมดแล้ว
    อีกหน่อยอาจจะต้องกิน “กล้วยน้ำว้า” หรือ “มันต้ม” แทนข้าวในบางเวลาบ้างแล้ว

    นี่ยังนับว่าโชคดีที่สมัยนี้คนไม่ค่อยกินหมากกันแล้ว
    เพราะคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดที่กินหมากก็ทยอยกันลาจากโลกนี้ไปกันเกือบหมดแล้ว
    มิเช่นนั้นก็คงจะยิ่งลำบากมากเป็นสองเท่าหรือสองเด้งเลยทีเดียวแม่นบ่?

     
     

    จากคุณ : Destinyhurtsme - [ 11 พ.ค. 51 22:08:34 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom