ความคิดเห็นที่ 1 วันนี้มีเวลาเข้ามาเยี่ยมห้องสีลมเห็นชื่อกระทู้ของคุณ BZlam ทึกทักเอาเองว่าหมายถึง "เลขาฯ ตัวแสบ!" ถ้าไม่ใช่ต้องขออภัยด้วย... แต่ถ้าใช่ก็ต้องขออภัยอีกเช่นกัน เพราะยอมรับว่าไม่มีความรู้ทางด้านการตลาดการขายหรือสินค้าใด ๆ เลย เรื่องที่พอจะร่วมแสดงความคิดเห็นได้จะออกแนว HR หน่อย ๆ และเรื่องจิปาถะเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยประสบการณ์มากกว่าความรู้ความสามารถ หวังว่าจะมีเพื่อน ๆ ที่มีประสบการณ์ทางด้านนี้โดยตรงมาช่วยแชร์ความรู้ให้กับคุณ BZlam นะ จากวันนี้ไปอีกไม่มีกำหนดอาจจะไม่ค่อยมีโอกาสเข้ามาทักทายพูดคุยกันกับเพื่อน ๆ หากคิดถึงกันและมีอะไรจะแจ้งให้ทราบกันก็ขอให้ติดต่อกันทาง e-mail กันไปก่อนนะ ขอบคุณแฟนคลับและเพื่อน ๆ ที่ให้กำลังใจกันมาโดยตลอด หวังว่าจะมีโอกาสกลับมาเขียนเรื่องเล่าสู่กันฟังและแลกเปลี่ยนประสบการณ์อีกครั้งหนึ่ง.... จากคุณ : "เลขาฯ ตัวแสบ!" (Destinyhurtsme) - [ 10 มิ.ย. 51 22:25:50 ]

ความคิดเห็นที่ 2 หมายถึงพี่เลขา ถูกต้องแล้วครับ ขอบคุณที่แวะเข้ามานะครับ เพียงแวะเข้ามาชม เราก็นิยมคุณอยู่ในใจ จากคุณ : BZlam - [ 10 มิ.ย. 51 22:40:52 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แหะ ไม่มีความรู้โดยตรงด้านนี้ซักเท่าไหร่เหมือนกันอ่ะคับ แต่ก็ขอเข้ามาเป็นกำลังใจให้แล้วกันนะคับ สู้ๆๆๆๆๆๆๆ :)) จากคุณ : สู้ต่อไป..ไอ้มดแดง (mpl2004) - [ 10 มิ.ย. 51 22:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จุดแข็งของสินค้าผมคือ คุณภาพครับ เรียกได้ว่าดีมาก ในไทยและในจีนไม่สามารถเลียนแบบได้ ดีทั้งวัสดุและภูมิความรู้ครับ จุดอ่อนคือ ราคาครับ อันนี้ผมไม่สามารถจะสู้กับสินค้าจีนได้เลยจริง ๆ กลุ่มลูกค้าของดีไซน์เนอร์ผมคือเจ้าของโครงการก่อสร้างใหญ่ ๆ เรียกได้ว่าเป็น High end user ครับ ถ้าจะเข้างานตามบ้านนี่คงหมดสิทธิ์ครับ ------------ อืมมม การเพิ่มยอดขาย - ถ้าใช้เป็นแบบคล้ายๆ ระบบสมาชิก แล้วส่ง direct mail หาลูกค้าเก่า เพื่อupdate สินค้าของเราและ technology ปัจจุบันครับ - เนื่องจากไม่รู้ว่าสินค้าคืออะไร จะต้องมีการซื้อซ้ำไหม.... ขอเดา.. อาจจะทำเป็นส่วนลดการขาย หรือว่าทำการสะสมยอดการซื้อ (กรณีเป็นสินค้าที่ต้องใช้บ่อยๆนะครับ) หรือ อาจจะเป็นแบบว่า member ger member ที่จะให้ลูกค้าเขาแนะนำเพื่อนเพื่อมาเป็นลูกค้าใหม่ โดยอาจจะให้ส่วนลด หรือสิทธิพิเศษต่างๆนาๆ. - อ้อ เห็นว่ากลุ่มของลูกค้าคือ โครงการใหญ่ๆ แสดงว่าเขาต้องการคุณภาพมากกว่าที่จะได้ราคาที่ถูกลง แต่ได้ของไม่ดีมา.... ดังนั้นอาจจะต้องเจาะกลุ่มลูกค้าของเราให้ถูกจุดมากขึ้น... จากที่เรียน ป. โทมา ผมถูกใจคำๆนึงมาก คือ "เราต้องรู้จักลูกค้าของเราก่อนว่า ลูกค้าของเราคือใคร เพื่อที่จะสามารถ focus ได้อย่างถูกต้อง" ถ้ามี idea เพิ่มเติม จะมาหยอดเพิ่มครับ จากคุณ : SiTZ - [ 10 มิ.ย. 51 23:44:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 แชร์ไอเดียละกันนะครับ (คิดตามเท่าที่ทราบข้อมูลที่บอกไว้นะครับ) 1. เวลาที่ designer หรือ สถาปนิก จะเลือกใช้อะไร  เข้าใจว่ามี concept อยู่ก่อนแล้ว    ไม่รู้ว่าสินค้าเราหลากหลายพอสำหรับ concept ต่างๆหรือเปล่า หรือจะออกไปทางลึก    ถ้าdesigner เป็น keyจริง  สำหรับผมคิดว่า ต้องลองวิจััยความต้องการของเค้าว่าต้องการอะไร    ลองเอา feedback หรือสัมภาษณ์ลึกดูว่าเค้าต้องการอะไร มันมี trendหรือป่าว หรือโดดเด่นที่ตัวฟังก์ชั่น    ผมไม่รู้ว่าสินค้าคุณคืออะไรแบบเป๊ะๆนะครับ แต่เท่าที่เคยคุยกับหลายๆคนที่เป็น key เนี่ย    ถ้าเราเข้าถึงเค้าได้  เค้ามักจะบอกว่า ถ้าของคุณใช่ที่เค้าอยากได้ บน budget  เค้าก็เอาแน่นอน (ด้วยคอนเน็คชั่นที่มี)    ผมคิดว่าเคสนี้หัวใจอยู่ที่ตัวสินค้าที่ตอบโจทย์หรือยังคงตอบอยู่หรือเปล่า    เคสตัวอย่างนะครับ  พี่คนนึงเล่าให้ฟังว่า เจ้าของบริษัทนำเข้าวัสดุสังเคราะห์ลักษณะเหมือนไม้    ด้วยตัวคุณสมบัติค่อนข้างดีหลากหลาย สวยงาม ทนทาน และมีราคาแพง    มาติดต่อเค้าเพื่อขอให้ใช้ในโครงการต่างๆ (ซึ่งมันใช้ได้ทั้งบ้าน โรงแรม โรงพยาบาล ฯลฯ)    กรณีนี้ไม่ว่าจะโครงการแบบไหน ก็ขายได้และ life cycle นาน แต่ถ้ามาเร็วไปเร็วอันนี้ก็ต้องอ่านให้ทัน 2. ผมคิดว่า key success อีกเรื่อง คือ connection อันนี้พูดง่ายแต่ทำยากมากๆ    ไว้ว่างๆจะมาเพิ่มข้อมูลส่วนนี้น้ออ 3. ผมคิดว่าถ้าข้อ 1,2 ที่เป็นแก่นใช่ แล้วค่อยพูดเรื่องอื่นๆต่อทั้ง IMC , Brand building , pricing ฯลฯ เป็นเพียงมุมมองนะครับ ^^  เพราะคงให้ความเห็นเท่าที่เคยสัมผัสน้ออ จากคุณ : วิญญาณ ความรัก ความรู้สึก - [ 11 มิ.ย. 51 00:08:36 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สินค้าที่เป็น Nich Market การทำการตลาด ก็ต้องเป็นแบบ Nich เช่นกัน คงไม่สามารถเข้าไปตอบได้เลยว่า ทำแบบนั้น แบบนี้แล้วสินค้าจะขายดีขึ้น เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมาก และอีกอย่าง ผมยังไม่รู้ว่าคุณขายอะไรด้วย รู้แต่ว่าขายใคร โดยส่วนใหญ่แล้ว การทำตลาดที่ Nich แบบนี้ ก็ทำได้แบบตามที่ คห.บนๆว่าไว้คือ DM ส่วนSWOT ที่คุณว่าไว้ จริงๆแล้ว หลายสินค้าใช้วิธีการ นำราคาที่สูงมาเป็นจุดแข็งซะเลย งง มั้ยครับ?? เอาเป็นว่าลองอ่านหลายๆรอบ เผื่อจะเข้าใจ 555 เพราะไม่รู้ว่าสินค้าของคุณที่แพงกว่าของคู่แข่ง แพงว่าแค่ไหนกี่% เมื่อเทียบกับคุณภาพที่ดีขึ้นแค่ไหน?? ผมไม่รู้ว่าการเอาคุณภาพมาเปรียบเทียบของคุณใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการวัด เช่น อายุการใช้งานหรือเปล่า สมมุติว่าของคุณ ขาย 1,000,000บาท อายุการใช้งาน 10ปี ของคู่แข่ง         ขาย    500,000บาท อายุการใช้งาน 6ปี ลักษณะนี้หรือเปล่า ถ้าเ นลักษณะนี้ อาจจะเอาคุณภาพเป็นตัวนำในการขายไม่ได้ อาจจะเล่นเรื่อง Image หรือ After Sale Service เป็นต้น สรุปข้อมูลไม่พอที่จะแนะนำใดๆครับ ^.^ จากคุณ : BMWTurboman - [ 11 มิ.ย. 51 11:48:48 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ ตอนแรกผมไม่รู้กลัวอะไรเลยไม่กล้าบอกว่าสินค้าผมคืออะไร สินค้าผมคือโคมไฟประดับครับ ตัวสินค้าเป็นของอิตาลีนำเข้า ออกแนวไม่ธรรมดาครับ รูปร่างหน้าตาจะออกแนวอาร์ต ๆ หน่อย ตรงจุดนี้ทำให้ไม่สามารถจะไปวางขายตามโมเดิร์น เทรดได้ ติดตรงราคาและหน้าตาน่ะครับ (ตามความคิดผม) จะขายได้ก็ต่อเมื่อดีไซนเนอร์ลงแบบตามโครงการใหญ่เช่น หมู่บ้าน หรือห้างสรรพสินค้าครับ จากคุณ : BZlam - [ 11 มิ.ย. 51 15:17:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อดีตลูกพี่ท่านนึง ชอบโคมไฟมากๆ  น่าจะแบบที่คุณขายนี่แหละ บ้านเค้าเริ่ดมากๆ ขนาดว่ากองถ่ายละคร มายืมใช้สถานที่ก็แล้วกัน แกไปควานหาโรงงานต้นตอที่เมืองจีน   ที่เค้าผลิตเพื่อส่งไปทางยุโรป  ( OEM ) ตอนนี้แยกแผนกออกมาขายโคมไฟอย่างเดียว ระดับถูกๆไม่แพงมาก  ก็ขายผ่านดีลเลอร์ ระดับแพงๆ ก็ขายได้เพราะคอนเนคชั่น   แกเคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้าจะมาขายเอง  แกมีร้านประจำ ไปซื้อบ่อยๆ หลักแสนทั้งนั้น เวลามีของล๊อตใหม่ เจ้าของร้าน  ก็จะโทรเรียกมาชมสินค้า เผื่อได้ไอเดียอะไรบางอย่างนะครับ จากคุณ : drof - [ 11 มิ.ย. 51 19:37:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เอามุมมองของคนที่ไม่ได้รู้เรื่องการขายหรือ Marketing อะไรเลย บ้างนะครับ เมื่อก่อนผมเคยขายของที่แพงกว่าคู่แข่งมาก ขนาดที่ลูกค้ารู้เลยว่าหากต้องการใช้ยี่ห้อนี้ก็ต้องจ่ายมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว ขายอยู่พักใหญ่จึงได้รู้ว่า หากจะขายของที่แพงกว่าชาวบ้านให้ได้ ต้อง... - รู้จักลูกค้าอย่างแท้จริง ต้องศึกษาทุกเรื่องเลยครับ ที่เป็นประเด็น ว่าทำยังไงเขาถึงจะซื้อเรา ไม้ตายผม จะถามเขาไปตรงๆ เลยว่าทำอย่างไรพี่จะซื้อของผม (ส่วนมากมักได้ผล จริงๆนะครับ แต่ต้องถามให้ถูกเวลานะครับ) - รู้จักสินค้าของเราอย่างแท้จริง อันนี้ผมว่าเป็นจุดตายของเซลล์หลายคนเหมือนกัน หลายคนคิดว่าเอาแค่พอรู้ในตัวสินค้า ก็คุยกับลูกค้าได้แล้ว ก็อาจจริงครับ แต่สำหรับผมคิดว่าหากจะขายให้ได้ถล่มทลาย ต้องแบบประเภทตอบได้เหมือนผู้ผลิตมาเองเลยครับ จะเหมาะมากสำหรับสินค้าที่ลูกค้าต้องการความมั่นใจในตัวสินค้ามากๆ - มี Connection ที่ดี หากไม่เคยอยู่วงการนี้มาก่อน ก็ต้องเรียนลัดครับ พึ่งพาคนรู้จัก พี่ๆ น้องๆ ที่พอจะช่วยเราได้ มีอื่นๆ ที่เป็นประเด็นอีกมากมาย พี่ด้านบนตอบไปเยอะแล้วครับ สู้ๆครับ จากคุณ : จา 500 - [ 13 มิ.ย. 51 00:50:26 ]

ความคิดเห็นที่ 10 สวัสดีครับ คุณ BZlam ลุงแอ็ดต้องขออภัย ที่มาตอบคุณช้าไป เลยทำให้เรื่องที่ลุงแอ็ดอยากตอย คุณ ท่านผู้อื่นก็ตอบไปหมดแล้ว งั้น ลุงขอย้ำคำตอบที่ ท่านผู้อื่นตอบไปแล้ว ดังนี้ คุณ จา 500 ตอบได้ชัดเจนที่สุดว่า "การขายของแพง" เหมือนกับที่เราขาย ตลาดของ Nich ไปในตัว  ดังนั้น  คุณจะรู้จักลูกค้าและสินค้าของคุณอย่าง ผิวเผินไม่ได้   การที่คุณจะทำโฆษณาประชาสัมพันธ์โดยหว่านเป็นใบปลิวอย่างที่จะทำนั้น ไม่ได้ผลครับ  คุณจะต้องมุ่งเข้าหาโครงการใดโครงการหนึ่ง  รู้ว่าดีไซเนอร์ คือใคร  ที่ปรึกษาโครงการคือใคร  เจ้าของโครงการคือใคร  ใครเป็นผู้มี อำนาจในการตัดสินใจ  เขา (ทั้งหลาย) นิสัยอย่างไร  ฯลฯ  แล้วค่อยเข้าพบ ทีละราย  ขายให้เขาซื้อทีละราย  โดยกล่าวถึงสินค้าของคุณอย่างกระตืน รือร้น  อย่างยอดเยี่ยม  อย่างที่ไม่มีใครมี  อย่างที่ใครก็หาซื้อไม่ได้ง่ายนัก ถ้าคุณใช้วิธีอย่างนี้  โอกาสของคุณจะมีขายมากขึ้น อย่างที่คุณ drof ว่าไว้.....ว่า ถ้าคุณจะขายแบบนี้  คุณจะต้องมีคอนเนคชั่น ดี ถึงดีมาก ....  ดังนั้น  คุณต้องเข้าสมาคมที่เกี่ยวกับโคมไฟ หรือเครื่อง ประดับต่างๆ  คุณต้องรู้จักสถาปนิก  หรือดีไซเนอร์  ...  และนี่คือการสร้าง คอนเนคชั่นโดยทางอ้อม  อย่าลืมว่า  "ถ้าคุณทำให้ลูกค้าของคุณ พูดปาก ต่อปากได้"  ความสำเร็จก็เห็นมารำไร สรุปแล้ว  ความเห็นที่ทุกท่านว่ามาก็ถูกต้องทุกประการ  ลองดูใหม่นะครับ 1.  รู้จักลูกค้าของคุณเป็นการเฉพาะราย  รู้ให้ลึก  รู้ให้กว้าง 2.  รู้จักสินค้าของคุณ ถ้าได้ไปดูโรงงานได้ยิ่งดี  จะทำให้คุณมีความเชื่อมั่น เพิ่มขึ้นได้  พูดอย่างกระตือรือร้น  พูดอย่างที่คนอื่นเขาหาซื้อไม่ได้ง่ายนัก 3.  มีคอนเนคชั่นที่ดี  ทั้งเล่นกอล์ฟ  เข้าสมาคมสถาปนิค  ทำงานให้ สมาคม  เข้าสโมรไลออน  เข้าสโมสรโรตารี่  เข้าสมาคมดีไซเออร์  และที่ อื่นๆ ที่จะทำให้ "ตัวของคุณกว้างขวางยิ่งขึ้น"  อ้อ...แล้วอย่าลืม "ขายตัว เอง" ให้ได้ก่อนนะครับ  มิฉะนั้น  สินค้าต่อให้ดี  มีคุณภาพเพียงใด  ก็อาจจะ ขายไม่ได้ครับ จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ 13 มิ.ย. 51 08:10:16 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบพระคุณทุกคำแนะนำครับ จากคุณ : BZlam - [ 15 มิ.ย. 51 01:42:44 ]

ความคิดเห็นที่ 12 โคมไฟเขาก็ทำพีอาร์ & Print Ad. กันใน นิตยสารบ้านเยอะมากนะคะ มีร้านโคมไฟ เก๋ๆ แถวสุขุมวิท พอสมควร ___ คุณน่าจะมีโชว์รูมที่เหมาะสม เอ็มโพเรี่ยม พารากอน เพนนิน นายเลิศ ... สถานที่ขายน่าจะสำคัญนะคะ โครงการใหญ่ๆ จะยอมลงทุนใช้โคมไฟ ดีๆ แพงๆ หรอคะ เขาน่าจะสั่งเป็นโหลๆ แต่มีดีไซน์หน่อย ไว้ใช้ตามโครงการคอนโด บ้าน ทาวเฮาส์ของตนเองมากกว่า ลดต้นทุนด้วย โคมไฟ อาร์ตๆ แบบนั้นน่าจะขายดีในกลุ่มบริษัทบันเทิง โฆษณา โรงแรม รีสอร์ต และเจ้าของ น่าจะมีรสนิยมดี เคยเรียนต่างประเทศ ไฮโซไม่น้อยเลยนะคะ เป็นสินค้าฟุ่มเฟื่อยไหมน๊า แต่ทุกบ้านอยู่มืดๆ ไม่ได้นีน่า ต้องมีไฟส่องสว่าง แต่ไฟสว่างไม่จำเป็นต้องอยู่กับโคมไฟสวยๆ หรูๆ แล้วทำไมเราต้องมีโคมไฟแพงๆ ด้วยล่ะ เอาเงินไปซื้อโฮมเธียร์เตอร์ เพิ่มอีกชุด หรีือซื้อ mac air ดีกว่า คุ้มค่ากว่า แพงเหมือนกัน แต่ได้ใช้งานมากกว่า มีเงินเหลือ ไปเที่ยวนิวซีแลนด์ได้อีก ทำไมต้องซื้อโคมไฟแพงๆ ด้วย แค่เงินเหลือหรอคะ มันไม่มีเทคโนโลยีใดใดพิเศษหรอคะ เช่นไฟไม่แสบตา แต่ก็น่าจะเกี่ยวกับหลอดไฟอยู่ดี งั้นประหยัดไฟ งันมีเสียงเพลง งั้นเปิดปิดได้เอง ไม่รู้แล้ว แต่เราคงไม่ซื้อโคมไฟเกิน 50,000 บาทแน่ๆ ค่ะ โคมไฟนี้ ให้ฟิลลิป สตารค สปาร์ก ไรนั้น ออกแบบเลยหรอป่าว สวยขนาดไหนน๊า อยากเห็นจังเลยค่ะ จากคุณ : ว่างเลยตอบ - [ 18 มิ.ย. 51 10:45:12 A:192.168.1.48 X:58.10.84.24 TicketID:006728 ]