Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี ตอนที่ 49 ทำไม IBM จึงไม่รับผมเข้าทำงาน?

    จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี  ตอนที่ 49  ทำไม IBM จึงไม่รับผม

    เข้าทำงาน?





    ผมเริ่มงานครั้งแรกที่การประปานครหลวง  มีเจ้านาย

    ชื่อ “คุณชาญนาวิน สุกแจ่มใส" นายคนแรกของผม ก่อน

    ที่คุณชาญนาวินจะย้ายมาอยู่ที่วิทยาคม ช่วงปี 1973




    “พี่ชาญฯ” รับผมไปทำงานอยู่ด้วยกันที่การประปาฯ ใน

    ยุค “คุณกระจก” เป็นผู้ว่าการฯและการประปานครหลวงยัง

    ล้นไปด้วยชาวเฟืองเกียร์แห่งช่างกล




    ผมเป็นวิศวกรคนท้ายๆ ที่เดินเข้าไปทำงานโดยไม่ต้อง

    สอบเข้า และที่การประปานครหลวงนี่เองทำให้ผมพบคติ

    ธรรมที่ว่า




    “จะอยู่กรุงโรมได้ต้องทำตัวเป็นคนโรมหรือไม่ก็เป็นทาส”




    ผมเรียนรู้ “การขาย” จากคุณชาญนาวิน ที่เป็นวิศวกรจุฬา

    ไปจบโทมาจากอเมริกา ครูการขายคนแรกของผมท่าน

    สอนบทเรียนแรกว่า




    “เมื่อหยุดรถเกียร์อัตโนมัติ ต้องโยกมาไว้ที่เกียร์ว่างเสมอ

    เพราะว่าหากโชคร้ายอาจไหลไปเสยตูดรถคันหน้าได้”





    ผมไม่เข้าใจ เพราะตอนนั้นรถเกียร์อัตโนมัติยังไม่แพร่

    หลายมีแต่รถเกียร์กระปุก พอมาเร็วๆ นี้ มีโอกาสขับเกียร์

    อัตโนมัติรถติดแช่เกียร์เหยียบเบรก.... จามทีเดียวต้อง

    เรียกประกันเลยครับ..........




    สมคำครูจริงๆ อันนี้เรียกว่า “กฎแบบเมอร์ฟี"




    “อะไรที่ร้ายๆ มันจะเกิด ก็ต้องเกิด”




    และมักจะเกิดกับพนักงานขายอยู่บ่อยๆ ต้องทำใจครับ...

    เจอแน่นอน




    เมื่อมีโอกาสเหมาะ และมีเวลาว่างจากงานราชการ พี่ชาญ

    ก็หอบหิ้วผมไปเป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดให้กับบริษัทเบ๊

    ย่งฮงเสง และสยามสแตนเลสสตีล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ

    เดียวกัน




    ทุกครั้งที่พี่ชาญบรรยายเกี่ยวกับการขายผมจะจดบันทึก

    เป็นรายงาน และนำไปพิมพ์ พิมพ์จริงๆ ครับ ด้วยเครื่อง

    พิมพ์ดีดกระเป๋าหิ้วที่มีภาษาเดียว เวลาเจอภาษาที่สองต้อง

    เคาะเว้นนับตัวว่างไว้ รอเปลี่ยนเครื่องพิมพ์เพื่อเติมข้อ

    ความภาษาที่สองเอาทีหลัง  




    บริษัทเบ๊ย่งฮงเสงเขาขาย “ดอกสว่าน”




    และดอกสว่านนี่เองที่ทำให้ผมพบสัจจธรรมของสินค้าที่

    แตกต่างหรือจุดขาย รู้ไหมครับว่าสินค้าอย่างดอกสว่านเขา

    ขายอะไร




    อะแอ้ม...บอกให้ก็ได้ว่า.........




    “เขาขายความกลมของรูที่เจาะครับ”




    ความเร็ว ความแข็ง ความคม เหล่านี้โรงงานต่างก็ผลิตออก

    มาสู้กันได้ แต่ความกลมของรูที่เจาะจะหนีไปอีกขั้น




    ผู้ขายที่ดีต้องวิเคราะห์และแยกแยะข้อเด่นในสินค้าของ

    ตนให้ได้ เป็นเงื่อนไขหนึ่งของการขายแบบลูกทุ่ง




    “หาจุดขายในสินค้าของคุณให้เจอ แล้วธุรกิจของคุณจะอยู่

    ยืนยาวในตลาดได้นานโดยไม่เหนื่อย”





    ไม่เหนื่อยในความหมายแบบการขายลูกทุ่งก็คือ ปวดหัว

    น้อย กำไรมากและมีเวลาเหลือให้จีบสาว




    การประปานครหลวงยุคนั้นยังมีอะไรที่คลุมเครืออยู่มาก

    เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ทำกันเป็นขบวนการ ผมโดนเข้ากับ

    ตัวเองเรื่องหนึ่งคือ “การขายเศษเหล็ก”




    เศษเหล็กที่ว่านี้เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเก่า ที่ถอดถอนมาจาก

    บ่อบาดาลทั่วกรุงเทพเพื่อเปลี่ยนไปใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแทน

    เครื่องพวกนี้มีทั้งเก่า เก่าแก่ และใหม่ กับใหม่เอี่ยม นำมา

    กองทิ้งคละกันอยู่ในที่ของการประปานครหลวง ซึ่งต้อง

    ประมูลขายเพื่อกำจัดออกไปและนำสถานที่มาใช้

    ประโยชน์




    พี่ชาญฯ ท่านเป็นนกรู้เลยเอาเรื่องนี้มาโยนให้ผมรับไปทำ

    แทน ในฐานะกรรมการผมเลยต้องเล่นบทหนัก มาทราบ

    จากผู้ประมูลรายหนึ่งว่า “กองเหล็กทั้งหมดหนักกว่าห้าร้อย

    ตัน แต่ตอนประมูลขายจริงใช้ตัวเลขแค่ห้าสิบห้าตันเท่า

    นั้น”





    มีนายช่างรุ่นพี่ที่ทำงานมาก่อนและสนิทกับผมมาเจรจาขอ

    ให้ผมลงนามรับเรื่องแบบช่วยกันหน่อย ผมปรึกษาพี่ชาญ

    นาวินแกก็ว่า




    “แล้วแต่คุณ"




    ด้วยเสียงที่เป็นห่วงนิดๆแล้วมองลอดแว่นหนาพร้อมกับทำ

    ปากเบ้เหมือนกับจะบอกว่า




    “ช่วยไม่ได้ ขอให้โชคดีผีคุ้มก็แล้วกัน”




    ผมก็เลยต้องยอมลงนามไปด้วยความไม่สบายใจนัก กับ

    ต้องปฏิเสธ “ซองและของฝาก” ทั้งหมดที่ตามมาจนเป็นที่

    เพ่งเล็งจากพวกคนในวงการ




    “หากคุณกินนอกกินในแบบคนอื่นไม่ได้.....คุณก็เป็นส่วน

    เกิน”





    ผมทำตัวเป็นคนโรมไม่ได้และไม่อยากเป็นทาส เลยไปขอ

    ลาออกกับดร.บุญรอดผู้ว่าการฯคนใหม่....ผมต้องรอ

    จังหวะที่พี่ชาญนาวินไปนอกยับยั้งใบลาผมไม่ได้......

    อาจารย์บุญรอดรับเรื่องแล้วมองลอดแว่นมาที่ผม




    “เอาอีกแล้ว วิศวกรลาออกอีกกก”




    ท่านลากเสียงยาว แล้วก็ทำหน้าไม่ให้บอกบุญ




    “ลาออก ทำไม?”




    คำถามดูใหญ่จนผมกว่าจะอธิบายได้จบท่านก็สุดทน รีบลง

    นามแล้วไล่ผมกลับออกมา ผมกล่าวลาท่านอย่างโล่งอก

    แล้วเดินลงบันไดมาแย่สาวๆ ข้างล่างอย่างสุขใจ




    จากนั้นผมก็มาหางานทำใหม่ที่ธนาคารกรุงเทพ  เริ่ม

    จาก “คุณบรรณวิทย์  บุญญรัตน์” หรือที่พวกเราชาว

    คอมพิวเตอร์รุ่นกันดีว่า มีนามว่า “บีบี” หัวหน้าศูนย์

    คอมพิวเตอร์ของธนาคารกรุงเทพ ในอดีต




    ท่านเคยอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์การไฟฟ้าฯมาก่อน และ

    เป็นเพื่อนซี้ของพี่ชายผม รับผมเข้าทำงานที่ธนาคาร

    กรุงเทพด้วยเงื่อนไขว่าต้องไปสอบความถนัด(Aptitude)

    จาก IBM ให้ได้เกรด A จึงจะรับได้โดยไม่มีคำครหา




    ผมมันประเภทเห็นอักษรภาษาอังกฤษแล้วตาลาย เลยใช้

    เวลาทำสอบความถนัดมากไปหน่อยโอกาสได้ A ไม่มีแน่

    แค่ C หรือ D ยังต้องลุ้น จึงตกหนักที่ พี่ชายผมต้องคุยกับ

    พี่ “ประทิน บูรณบรรพต” ขาใหญ่ใน IBM ให้บอกพี่ปุ๊

    ภรรยาพี่ประทินที่คุมสอบผมให้ช่วยหลับตาข้างหนึ่ง แล้ว

    เขียนคะแนนผลสอบของผมให้ได้ A




    นี่แหละครับคำว่าเส้นสายหรือ Connection “หากคุณยังไม่

    เก๋าในวงการคุณควรมีเส้นสาย”
    มันเหมือนมีแต้มต่อคุณจะ

    เหนือคนอื่นอยู่นิดๆ หากคุณเริ่มแบบข้าฯมาคนเดียวคุณ

    ต้องแน่จริง...ไม่งั้นเหนื่อยครับ




    ผมเข้าทำงานที่ธนาคารกรุงเทพใน “เดือนกันยายน

    1974”
     อยู่มาได้สามปีเกิดผลัดแผ่นดิน




    คุณธีระท่านกลับมาจากประเทศนอกพร้อมกับคุณชาติศิริ

    ลูกชายของ Boss(ชาตรี โสภณพนิช) เลยเข้ายึดครอง

    อาณาจักร IT ของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งคุณบรรณวิทย์นั่งเอ้

    เต้เป็นเจ้าพ่ออยู่




    คุณบรรณวิทย์ท่านก็แกล้งลองใจเจ้านายคนใหม่ โดย

    เสนอ “โครงการ ATM” ซึ่งเป็นโครงการแรกในประเทศ

    ไทยให้ธนาคารกรุงเทพพิจารณา  หลังจากคุณธีระและคุณ

    ชาติศิริได้พิจารณากันสามวันสามคืนแล้ว  ก็แทงเรื่อง

    มาบอกคุณบรรณวิทย์ว่า  “ไม่ผ่าน”  เกรงว่าคนไทยจะกด

    ไม่เป็น  เรื่องเงินๆ ทองๆ ล้อเล่นกับคนไทยไม่ได้




    คุณบรรณวิทย์นายผมท่าน ก็ดีใจหาย  ไม่ว่าอะไรสักคำ  

    หอบโครงการ ATM โลดไปธนาคารไทยพาณิชย์ ไปโดย

    ธนาคารกรุงเทพไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว  และธนาคารไทยพาณิชย์

    ในสมัยที่กำลังเปลี่ยนนโยบายเป็น “รับผู้หญิง” เข้าทำ

    งาน  ก็ซื้อไอเดียของคุณบรรณวิทย์  และเริ่มลงทุนใน

    ระบบเครื่อง ATM จนดังระเบิดเถิดเทิงมาถึงสมัย ณ บัดนี้




    เมื่อขาดนาย....ผมเลยอ้างว้าง...(ก็ผมมันคนขี้เหงานี่

    ครับ)  ก็ต้องลาออก คุณธีระพยายามยับยั้งใบลาของผม

    ด้วยข้อเสนอที่หากเป็นสถานการณ์ปกติแล้วน่าสนใจมาก

    แต่ผมก็ดิ้นรนกระเสือกกระสนลาออกจนได้




    “ตอนนั้นผมนึกถึงแต่กวนอูที่ไม่ยอมเปลี่ยนนาย แม้ว่าโจ

    โฉจะเสนออะไรให้ก็ตาม.......”





    ผมออกมาขายเครื่องป้องกันโจรกรรมของ Honey well ที่

    ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ของแผงไมโครคอมพิวเตอร์ PDP

    11 นำเข้าโดยบริษัทวิทยาคมของ “คุณอบ วสุรัตน์” เพื่อ

    ติดตั้งที่โรงพิมพ์ธนบัตรธนาคารชาติ วังบางขุนพรม  ก็ได้

    มาเจอกับพี่ชาญฯ ครูการขายคนแรกของผมอีก




    พอปี 1978 จึงย้ายไปอยู่กับบริษัท ดิจิโทรนิค บิสิเนส

    แมชชีนส์ ของ "คุณอนันต์ เจตนเมษฐ์” MD เก่าจากสนามม้า

    ค่าย CDC ที่ออกมาร่วมกับเพื่อนพ่อค้าที่เป็นชาวคริสเตียน

    ด้วยกัน เปิดบริษัทขายเครื่อง DIGICO และ AM

    Jacquard




    ต่อมาพรหมลิขิต.....ไม่ใช่สิครับ.."ต้องพรรคพวกลิขิต”

    ทำให้ผมได้พบกับ “คุณสมภพ อมาตยกุล” เบอร์ใหญ่สุด

    ของ IBM ประเทศไทย โดยการแนะนำจาก”คุณชาญชัย

    จารุวัฒน์”
    เบอร์รองของ IBM ที่เคยต้องการให้ผมมาเป็นผู้

    จัดการบริษัทที่จะตั้งขึ้นใหม่ร่วมกับคุณบรรณวิทย์และพี่

    ชายของผม  แต่เกิดผิดพลาดเปิดบริษัทไม่ได้




    “คุณสมภพ อมาตยกุล” เบอร์ใหญ่ของ IBM ดูเอกสาร

    ประวัติส่วนตัวที่ผมแต่งขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะแล้วออก

    อาการอึกอักลังเลอยู่ได้ไม่นาน




    ท่านจึงลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีสุภาพตามปกติของคนมีเชื้อสาย

    ผู้ดีเก่า พร้อมกับเดินมาโอบไหล่ผมอย่างนุ่มนวลแล้วท่าน

    ก็กล่าวปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใยว่า




    “ผมไม่ใช่ผ้าขาวที่พับไว้ แต่สกปรกด้วยสีสันของธุรกิจอื่น

    มาแล้วจึงรับไม่ได้”





    แนวคิดในตอนนั้นของบริษัทที่เป็นยักษ์ใหญ่ ส่วนหนึ่งจะ

    อ้างกันแบบนี้ “เพื่อไม่ต้องการล้างสมองพนักงานที่ผ่าน

    การขายแบบลูกทุ่ง (Non IBM) มาเป็นการขายแบบมือ

    อาชีพ (มีเฉพาะ IBM เท่านั้น?)”





    ซึ่งครั้งหนึ่ง IBM เกือบจะสร้างรูปแบบการขายของตนเอง

    ขึ้นมาได้ โชคดีที่โครงการนี้ล้มไปเสียก่อนไม่อย่างนั้นอาจ

    เห็นพนักงานขายที่ทำงานคล้ายหุ่นยนต์ คือทำตามใบเบิล

    (ตำรา) ทุกประการ ไร้อารมณ์โดยสิ้นเชิง




    การที่โดนปฏิเสธจาก “คุณสมภพ” นี้เป็นอคติหนึ่งที่ทำให้

    ผมคิดว่า




    “ผมจะใช้การขายแบบลูกทุ่งนี่แหละเอาชนะการขายแบบ

    มืออาชีพของ IBM ให้ได้”





    ตอนนี้มาเจอ “คุณอมร” โอกาสเปิดแล้วผมต้องฉวยไว้และ

    ผมเตรียมความพร้อมในการฉวยโอกาสมาตลอดเวลา จะ

    ไม่ยอมให้โอกาสที่เหมือนม้าด่วนวิ่งเข้ามาหาแล้วได้แต่ยืน

    ตกใจพอรู้ตัวก็เห็นแค่หางของมัน....... ไม่ใช่คนอย่างผม

    แน่เพราะผมต้องโดดขึ้นม้าให้ทันให้จงได้




    หากคุณอมรให้ผลประโยชน์น้อยกว่านี้ผมก็คงรับงาน ผม

    เห็นประกายไฟอยู่ที่ปลายอุโมงค์แล้วต้องมีคนเจ็บและ

    ป่วยกันบ้าง




    โลกอ้าแขนรับกิเลสที่กลบในของผมแล้ว โลกแห่งธุรกิจที่

    ต้องใช้ชั้นเชิงการขายที่ปกปิดเป็นความลับระหว่างค่าย

    จากรุ่นสู่รุ่น จากครูสู่ศิษย์ และจากลูกพี่สู่ลูกน้อง ที่ไม่เคย

    เขียนเป็นตำราใดๆ ผู้ใคร่รู้ต้องติดตามเอา




    ผมจะไม่เขียนตรงๆ เพราะมันเหมือนฝ่ามือที่มีทั้งด้านหน้า

    และหลัง บางอย่างดีบางอย่างร้ายพูดไม่ได้แต่แสดงเจตนา

    ให้ทราบได้ว่ามีอยู่จริง และต้องยอมรับว่าเราอยู่กับอะไร

    มันก็จะเปรอะเปื้อนสิ่งนั้น




    “ดังคนขายถ่านที่ต้องมอมแมมด้วยฝุ่นถ่านฉะนั้น”




    “นายด้อง”

    phattharin@progress.in.th

    แก้ไขคำผิด

    แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 51 16:10:17

    แก้ไขเมื่อ 16 มิ.ย. 51 16:07:58

    จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ 16 มิ.ย. 51 09:30:46 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom