ความคิดเห็นที่ 2 ขายขนมนี่เก็บได้นานไหมคะ  ถ้าขนส่งทางไปรษณีย์โอกาสเสียหายเยอะนะคะ  มีอย่างอื่นที่พอขายได้ไหม แต่ถ้าอยากทำขนมขายจริง  แนะนำให้ทำแล้วไปฝากร้านกาแฟหรือร้านขนมขายดีกว่าค่ะ จากคุณ : กุนซือเอกแห่งรัฐวุ่ย - [ 25 ก.ค. 51 22:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นขนม พวกสแนค ของแห้งค่ะ จากคุณ : เทราปตี - [ 25 ก.ค. 51 23:09:01 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เริ่มจาก pantipmarket ก่อนก็ได้ครับ และก็เวปโฆษณาฟรีทั้งหลาย จากคุณ : Boss&Best - [ 26 ก.ค. 51 07:57:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ลองหาหนังสือเกี่ยวกับ e-commerce มาอ่านก่อนสิครับ ที่ผมเห็นว่าดีก็ "บันทึกความสำเร็จธุรกิจดอทคอม E-commerce Success Case Study" ลองหาซื้อได้ที่ร้าน se-ed ครับ จากคุณ : P.sek - [ 26 ก.ค. 51 10:52:40 ]

ความคิดเห็นที่ 6 การขายของใน internet มีข้อจำกัด บางอย่าง ที่เจอมา ข้อจำกัด ของธุรกิจ SME คือ ค่าขนส่ง เทียบกับราคาของตัวสินค้า เป็นสัดส่วนที่สูง ทำให้ราคาสินค้า + ค่าขนส่ง แพงกว่า ที่ควรจะเป็น สินค้าบางชนิดไม่สอดคล้อง ต่อการขนส่งทาง ไปรษณีย์ หรือการขนส่งด้วยพาหนะอื่นในระยะทางไกล อันดับแรกหากต้องการขายสินค้าใน internet ควรแยกสินค้าเป็นสองกลุ่มใหญ่คือ 1. สินค้ามีตัวตนจับต้องได้  tangible goods 2. สินค้าไม่มีตัวตนจับต้องไม่ได้ intangible goods เมื่อเป็นอย่างนี้ เราจะตัดสินใจได้ง่าย ว่าจะไปทางไหน จะขายอะไร หรือจะขายมันทั้งสองอย่าง Tangible goods เช่นข้าวสารน้ำตาลทราย น้ำมัน โต๊ะ เก้าอี้ บ้าน ที่ดิน ขนม เพชรพลอย เงิน เครื่องประดับฯลฯ Intangible goods เช่น เพลง การเรียบเรียงเสียงประสาร ตำราทำขนม การถอดแบบโครงสร้าง หรือเอกสารประเมินราคา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ งานแปล ฯลฯ ถ้าเป็นอย่างแรก ภาระที่ต้องส่งสินค้าจะตกอยู่กับผู้ขาย โดยผู้ซื้อเป็นผู้จ่ายเงินทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างที่สอง ไม่ต้องมีการส่งมอบ แบบยื่นหมูยื่นแมว เพียงใช้การ down load เอา ตัวสินค้าก็ไปถึงปลายทางได้ ทุกแห่งในโลกที่มี Internet ผมเห็นว่า การขายแบบที่สองนี้น่าจะทำได้ไม่ยาก และทำให้มีกำไรได้ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องการขนส่ง  web  โป๊ ที่มีอยู่เกลื่อน ก็เป็นธรกิจ ในกลุ่มที่สองนี้ เกมส์ on line ก็เช่นกัน การ down load สามารถทำได้ ตลอด 24 ชั่วโมง สินค้าไม่มีวันหมดstock ขายไปแล้ว ยังจะขายได้อีกในวินาทีถัดมา แล้วก็ขายได้อีกเรื่อยๆ  (หากลูกค้าชื่นชอบหรือติดลมบน) จากคุณ : น้าพร - [ 26 ก.ค. 51 20:20:24 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ก่อนอื่นการคิดที่จะทำธุรกิจ ต้อง define คำว่าสินค้าของตัวเองให้ได้ว่าคืออะไร และ define ธุรกิจของตัวเองให้ได้ว่าคืออะไรเช่นกัน หมายถึง define ในเชิงนามธรรมว่า ทำลังขายอะไร และอยู่ในธุรกิจอะไร เช่นเราขายเครื่องสำอาง นามธรรมคือ “ขายความคาดหวังว่าจะสวย” หรืออย่างน้อยก็ดูดีกว่าเดิม ทีนี้ บอกว่า จะขายขนม นามธรรมของขนมคือ อะไร ซึ่ง define ยากมาก เอาหละ ถ้าเป็น กทม ขายขนมใน internet นั้น ต้องดูว่า สินค้าคืออะไร อยู่ในธุรกิจอะไร และลูกค้าคือใครเป็นคนกลุ่มไหน ต้อง define ให้ชัดๆ  แล้วจำกัดขอบเขตลงไปในอยู่ในวงที่เราสามารถบริการได้ทั่วถึง ถ้าเป็นขนมไทย ก็เป็นไปได้ที่จะขาย ตำรา+วิธีการทำขนม ให้ฝรั่ง เอาไป load ไปอ่านในอเมริกา หรือยุโรปได้ อย่างนี้ จะเป็นช่องทางหนึ่งที่สามารถทำเงินให้เจ้าของได้ 24  ชั่วโมง โดยไม่ต้องตื่นมาตีสี่แล้วมาตอกไข่โม่แป้ง ลองคิดดูนะครับ ว่าสามารถนำความเห็นของผมไปปรับใช้อะไรได้บ้าง จากคุณ : น้าพร - [ 26 ก.ค. 51 20:20:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 กระบวนการคิดเชิงธุรกิจนั้น หากต้องการทำธุรกิจใน internet แล้ว จะต้องดูว่าใน internet นั้นสามารถค้าขายอะไรได้บ้าง เราสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง เป็นตัวตั้ง ไม่ควร คิดแบบ  เอาสินค้าที่เราทำได้ มาเป็นตัวตั้ง แล้วหาช่องทางมาเพื่อให้ขายได้ ให้คิดว่า มีช่องทางขายอย่างนี้ จะหาอะไรมาขาย ให้เหมาะกับช่องทาง  จะทำให้ประสบผลสำเร็จได้ง่าย ผมมีลูกค้าสามราย อยู่ได้ทั้งปี รายแรก ต้องการซื้อเมล็ดพันธุ์พืชจากไทย รายที่สองต้องการซื้อของเล่นเป็นไม้แกะสลัก ชิ้นประมาณกำปั้น รายที่สามต้องการซื้อถ้วยชามลายไทย เขียนโดย hand paint ผมตอบ yes ให้ทุกราย และมีรายได้ จากพวกเขา ต่อเนื่องมา 5 ปีแล้วครับ   จะเห็นว่า ลูกค้าทั้งสามราย มีความต้องการสินค้าไม่เหมือนกันเลย ผมจึงไม่มีสินค้าใน  stock แต่เป็นการรับจ้างทำตาม order ส่วนความไฝฝันของผมคือผมจะขาย intangible goods ครับ ถามต่อ จะขายอะไร ตอบ .... ขายสินค้าที่ลูกค้าต้องการ และ ผมหรือทีมงานทำได้ เห็นว่าคำตอบกว้างมาก ถ้าขีดให้แคบลง ว่าเป็น ขายตำราทำขนมทองหยอด เท่านั้น อย่างอื่นไม่ขาย อย่างนี้จะมีลูกค้า 2 - 3 ใน 5ปีกระมัง (ไม่แน่อาจจะเป็น  2 - 3แสนคนใน 10 วันก็ได้) โลกใน internet ไม่มีใครรู้ดอกครับ ว่าผลสะท้อนจะออกมาเป็นอย่างไร ยกตัวอย่าง สื่อไปถ่ายภาพดาราฮ่องกง ที่สามบินสุวรรณภูมิ แล้วถูกทำร้าย รวมถึง ช่างภาพหญิงของไทยก็ถูกทำร้าย และถูกโยกล้องด้วย สื่อประโคมข่าวยกใหญ่ ว่าดาราคนนั้น ใช้ความรุนแรง น่าละอาย ผลคือมีคน เข้ามาต่อว่าสื่อกว่า สองแสนคนจากทั่วโลก ว่าสื่อไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเขา เห็นไหมครับ สื่อไทยจะทำอะไรก้อได้  แต่ชาวโลก เขาไม่เห็นเหมือนสื่อบานเราเท่านั้นเอง กรณีนี้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า ในโลก internet นั้น อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าเกิดขึ้น เราต้องมั่นคงหนักแน่นพอที่จะรับกับการเปลี่ยนแปลง และรับกับความต้องการของลูกค้าให้ได้ ถ้าทำได้ วันหนึ่ง โอกาสลืมตาอ้าปากจะวิ่งมาชนเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้  มันเป็นไปได้ทุกอย่างครับ เพียงแต่ต้องคิดให้รอบคอบรัดกุม ทำทุกอย่างให้เป็นระบบ อย่าติดยึดไปเพียงอย่างเดียว ว่าจะขายขนม ขายขนม ได้ยินไหม ชั้นจะขายขนม พูดไม่รู้เรื่องหรือไง เท่านั้นเป็นพอ จากคุณ : น้าพร - [ 26 ก.ค. 51 20:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 9 จขกท. ฟัง น้าพร แล้วก็อย่าเพิ่งถอดใจ  คือผมว่า จริงๆแต่ละคนมีพื้นฐานมาแตกต่างกัน จึงมีสินค้าแตกต่างกัน น้าพรอาจกว้างขวางกว่า จขกท.มาก และประสบการณ์มาก รวมทั้งมีเครดิต และเงินทุนพอที่จะหาสินค้ามาขายได้ในรูปแบบที่ ใครจะเอาอะไร ก็หามาให้ได้เสมอ  อันนี้คงเป็นความสามารถเฉพาะตัวของน้าพรจริงๆ ซึ่งน่าจะหามืออาชีพแบบนี้ได้ยากพอควร ที่จะสามารถ หาทุกสิ่ง ที่ใครต้องการมาให้ได้ ที่นี้กลับมาที่ตัว จขกท. เอง ผมว่า เป็นความคิดที่ดี ที่คิดจะทำเวปเสนอขายสินค้าให้ตัวเอง เพราะเป็นการลงทุนที่ต่ำที่สุดก็ว่าได้ แต่รายได้หลักจากการขายขนมในช่วงแรก คิดว่า น่าจะเป็นการฝากร้านใกล้บ้านขายจะง่ายกว่า และก็เป็นการพิสูจน์ไปในตัวด้วยว่า ขนมที่เราทำไปขายน่ะ อร่อยเป็นที่ยอมรับของลูกค้าหรือเปล่า ถ้าอร่อยจริง ยอดขายมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนทำไม่ทันเลย แม้จะวางขายตามร้านใกล้ๆบ้านก็ตาม  ส่วนเวปสำหรับขาย น่าจะเป็นแบบง่ายๆ เหมือนแคตตาลอคขนม ไปก่อน และเบอร์โทรติดต่อเรา เงื่อนไขต่างๆก็ว่าไป  แต่อันนั้นผมว่า เหมาะกับคนที่สามารถวางระบบผลิต และจัดส่งจำนวนมากๆได้มากกว่า    ญาติผมทำขนมไทยๆขาย เอาไปวางตามร้านก๋วยเตี๋ยว แรกๆวาง 10 ห่อ ขายไป 1 สัปดาห์กว่าจะหมด ผ่านไปสักพัก เดี๋ยวนี้ทำส่งไม่ทัน เอาไปวาง 30 ห่อ วันเดียวหมด วางกี่ร้านๆก็หมด อย่างนี้เราก็มั่นใจได้ว่า อร่อยจริง ค่อยคิดขยายเป็นรูปธรรม  จขกท.ต้องหาทางพิสูจน์แบบง่ายๆอย่างนี้ก่อน ถ้าอร่อยจริง คนนิยมไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีลูกค้า สินค้ามันจะขายตัวมันเองครับ จากคุณ : bearhug - [ 26 ก.ค. 51 22:34:48 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอนนี้ เราทำเวปไซต์ ขายสินค้าไทย เป็นภาษาญี่ปุ่น http://www.nokshop.net/ ถ้ามีอะไรที่พอส่งมาขายทางนี้ ก็ติดต่อมาได้ทางหลังไมค์ จากคุณ : NOK (นกขมิ้นเหลือง) - [ 5 ส.ค. 51 18:19:33 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขายขนมพวกนี้ลำบากนะครับ มันหมดอายุเร็วเก็บไว้ไม่ดีก็เสียง่าย แล้วยังไม่มีหน้าร้านเองด้วย ต้องพึ่งคนอื่นช่วยขายให้ ลองหักกลบลบหนี้ ดูก่อนนะครับว่าจะคุ้มกับความเหนื่อยแค่ไหน ก่อนทำอะไรอยากให้มองตลาดให้ชัดก่อนครับ โดยเฉพาะกลุ่มเบเกอรี่ คู่แข่งในตลาดเยอะมาก กำไรต่อหน่วยไม่มากนักยิ่งคุณเริ่มต้นคงทำไม่ เยอะไม่รู้ว่าจะคุ้มค่าน้ำมันวิ่งส่ง-รับคืนหรือเปล่ามีเวลาก็ลองวิเคราะห์SWOT ดูซิครับ จุดเด่นของสินค้า ข้อด้อยปัญหาของสินค้า โอกาสที่จะเกิดของ สินค้า อุปรรคที่จะเกิดกับสินค้า ทีนี้คุณก็พอจะมองออกแล้วว่าควรทำ หรือไม่อย่างไร จะจัดการกับปัญหาอย่างไร จากคุณ : 61/404  - [ 14 ส.ค. 51 10:38:21 ]       ความคิดเห็นที่ 7   หลักการทำธุรกิจ ต้องคิดให้เป็นระบบครบวงจรครับ 1. คิดได้ 2. ทำได้ 3. ขายได้ 4. มีกำไร 5. ธุรกิจอยู่รอด 6. ขยายตัวได้ 7. ยั่งยืน ขยายความคำว่า "คิดได้"  หมายถึง คิดจะทำอะไร แล้วรู้ขั้นตอนในการทำทั้งหมด รู้ปัญหาและข้อแก้ไขในเรื่องนั้นๆ นี่คุณจะทำเค้ก นั่นหมายความว่าคุณรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องเค้กแล้ว "ทำได้"  แน่นอน พอรู้แล้ว คิดได้แล้ว ว่าจะทำ จะต้องทำได้ ทำออกมาเป็นเค้ก ทำแล้วลองชิมดู ผลงานต้องดูดี ทั้งรสชาติ และหน้าตา ที่สำคัญ ต้องดีสม่ำเสมอตลอดไป "ขายได้" ของดีควรขายได้ หมายถึง คุณต้องรู้ที่ขาย หรืออย่างน้อยมี กลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว มีลูกค้าที่เป็น prospects อยู่แล้ว และต้องมากพอที่จะทำให้ขายได้ ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี “มีกำไร” เนื่องจากแม้ขายได้ บางครั้ง อาจขาดทุน หรือเท่าทุน การขาย นั้นต้องขายได้แบบมีกำไร ซึ่งขนม ควรจะมีกำไรเบื้องต้น 30 % ถ้าอาหาร กำไรเบื้องต้นควรจะอยู่ที่ 30 %– 40 %  บางแห่ง กำไร  50 % “ธุรกิจอยู่รอด”  แน่นอน การมีกำไร ถ้าน้อยเกินไป ธุรกิจอยู่ไม่รอดครับ ยอดขายทั้งปี 100 ล้านบาท แต่กำไร 50,000 บาท อย่างนี้ ขายเต้าฮวยดีกว่า นั่นคือแม้นมีกำไร แต่กำไรต้องมากพอที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอด “ขยายตัวได้”  เอาหละพออยู่รอด แล้ว ต้องสามารถเพิ่มยอดขายได้ การเพิ่มยอดขายได้ สัดส่วนของกำไร ต้องไม่น้อยกว่าเดิม เมื่อมีกำไรสะสม มากพอ จะทำให้ธุรกิจขยายตัวได้ ตรงนี้ผู้ประกอบการ หลายคนไม่ได้คิดไปถึง “ยั่งยืน” ตรงนี้ยากสุด ตัวอย่างของธุรกิจที่ยั่งยืน เกิน 50 ปี ก็เช่น เบียร์ไทยตราสิงห์  ปูนซิเมนต์ไทย  น้ำปลาตราตราชั่ง เนยตราถังทอง ลองคิดดูนะครับ ว่าสามารถทำได้ถึงขึ้นไหน ถ้าเกิน 3 ขั้นถือว่าพอได้ ที่สำคัญต้อง ถึงขั้นที่ 5 ครับ จึงจะถือได้ว่าควรทำในธุรกิจนั้นๆ จากคุณ : เทราปตี - [ 14 ส.ค. 51 17:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ขายขนมพวกนี้ลำบากนะครับ มันหมดอายุเร็วเก็บไว้ไม่ดีก็เสียง่าย แล้วยังไม่มีหน้าร้านเองด้วย ต้องพึ่งคนอื่นช่วยขายให้ ลองหักกลบลบหนี้ ดูก่อนนะครับว่าจะคุ้มกับความเหนื่อยแค่ไหน ก่อนทำอะไรอยากให้มองตลาดให้ชัดก่อนครับ โดยเฉพาะกลุ่มเบเกอรี่ คู่แข่งในตลาดเยอะมาก กำไรต่อหน่วยไม่มากนักยิ่งคุณเริ่มต้นคงทำไม่ เยอะไม่รู้ว่าจะคุ้มค่าน้ำมันวิ่งส่ง-รับคืนหรือเปล่ามีเวลาก็ลองวิเคราะห์SWOT ดูซิครับ จุดเด่นของสินค้า ข้อด้อยปัญหาของสินค้า โอกาสที่จะเกิดของ สินค้า อุปรรคที่จะเกิดกับสินค้า ทีนี้คุณก็พอจะมองออกแล้วว่าควรทำ หรือไม่อย่างไร จะจัดการกับปัญหาอย่างไร จากคุณ : 61/404  - [ 14 ส.ค. 51 10:38:21 ]       ความคิดเห็นที่ 7   หลักการทำธุรกิจ ต้องคิดให้เป็นระบบครบวงจรครับ 1. คิดได้ 2. ทำได้ 3. ขายได้ 4. มีกำไร 5. ธุรกิจอยู่รอด 6. ขยายตัวได้ 7. ยั่งยืน ขยายความคำว่า "คิดได้"  หมายถึง คิดจะทำอะไร แล้วรู้ขั้นตอนในการทำทั้งหมด รู้ปัญหาและข้อแก้ไขในเรื่องนั้นๆ นี่คุณจะทำเค้ก นั่นหมายความว่าคุณรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องเค้กแล้ว "ทำได้"  แน่นอน พอรู้แล้ว คิดได้แล้ว ว่าจะทำ จะต้องทำได้ ทำออกมาเป็นเค้ก ทำแล้วลองชิมดู ผลงานต้องดูดี ทั้งรสชาติ และหน้าตา ที่สำคัญ ต้องดีสม่ำเสมอตลอดไป "ขายได้" ของดีควรขายได้ หมายถึง คุณต้องรู้ที่ขาย หรืออย่างน้อยมี กลุ่มเป้าหมายอยู่แล้ว มีลูกค้าที่เป็น prospects อยู่แล้ว และต้องมากพอที่จะทำให้ขายได้ ทั้งวันทั้งเดือนทั้งปี “มีกำไร” เนื่องจากแม้ขายได้ บางครั้ง อาจขาดทุน หรือเท่าทุน การขาย นั้นต้องขายได้แบบมีกำไร ซึ่งขนม ควรจะมีกำไรเบื้องต้น 30 % ถ้าอาหาร กำไรเบื้องต้นควรจะอยู่ที่ 30 %– 40 %  บางแห่ง กำไร  50 % “ธุรกิจอยู่รอด”  แน่นอน การมีกำไร ถ้าน้อยเกินไป ธุรกิจอยู่ไม่รอดครับ ยอดขายทั้งปี 100 ล้านบาท แต่กำไร 50,000 บาท อย่างนี้ ขายเต้าฮวยดีกว่า นั่นคือแม้นมีกำไร แต่กำไรต้องมากพอที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอด “ขยายตัวได้”  เอาหละพออยู่รอด แล้ว ต้องสามารถเพิ่มยอดขายได้ การเพิ่มยอดขายได้ สัดส่วนของกำไร ต้องไม่น้อยกว่าเดิม เมื่อมีกำไรสะสม มากพอ จะทำให้ธุรกิจขยายตัวได้ ตรงนี้ผู้ประกอบการ หลายคนไม่ได้คิดไปถึง “ยั่งยืน” ตรงนี้ยากสุด ตัวอย่างของธุรกิจที่ยั่งยืน เกิน 50 ปี ก็เช่น เบียร์ไทยตราสิงห์  ปูนซิเมนต์ไทย  น้ำปลาตราตราชั่ง เนยตราถังทอง ลองคิดดูนะครับ ว่าสามารถทำได้ถึงขึ้นไหน ถ้าเกิน 3 ขั้นถือว่าพอได้ ที่สำคัญต้อง ถึงขั้นที่ 5 ครับ จึงจะถือได้ว่าควรทำในธุรกิจนั้นๆ จากคุณ : เทราปตี - [ 14 ส.ค. 51 17:51:16 ]

ความคิดเห็นที่ 13 อาจไม่ตรงกับที่ถามแต่น่าจะได้ประโยชน์บ้างครับ ไม่ควรสร้างหนี้สินทุกอย่าง  ในช่วง 1-3 ปีแรก จะช่วยให้มีเงินออม ควรออมเงินไว้ทุกเดือนอย่างน้อย 10 % ( การออม 10 % ต่อเดือน ไม่มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตมากนัก) และควรใช้สูตร  รายได้-เงินออม = รายจ่าย อย่าใช้สูตร รายได้-รายจ่าย = เงินออม เพราะจะทำให้ออมไม่ค่อยได้ ควรมีเงินออมฉุกเฉิน อย่างน้อย 3-6 เดือน ในธนาคารบ้าง เพื่อเตรียมไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน  หรือไม่คาดฝัน  เช่น เจ็บป่วย  อุบัติเหตุ ตกงาน  ฯลฯ ควรมีความรู้การออม  การลงทุน  การวางแผนการเงินบ้าง แนะนำให้ลองซื้อหนังสือเรื่อง "ออมก่อน  รวยกว่า" โดย นวพร เรืองสกุล  มาอ่านดู ราคาไม่แพง ประมาณ 100 กว่าบาท จะทำให้มีความรู้การออม การลงทุน ฯลฯ ได้ดียิ่งขึ้น และช่วยให้คุณมีความรู้การวางแผนการเงินส่วนบุคคล   ซึ่งจำเป็นมากในยุคนี้และยุคหน้าครับ ลองหาเวลาว่างไปดูงานแสดงธุรกิจต่าง ๆ บ้าง จะช่วยให้เห็นช่องทางการทำธุรกิจส่วนตัวมากขึ้น และถ้าจะลงทุนอะไรตอนแรก ๆ ควรลงทุนแต่เล็กแต่น้อย ถ้าดีแล้วค่อยขยับขยายเพิ่มขึ้น +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ปรัชญาชีวิต อยู่อย่างจน  ทำตัวจน  จะไม่จน อยู่อย่างรวย  ทำตัวรวย  จะไม่รวย อย่าอยู่อย่างอยาก (ได้) ความไม่รู้ คือความเสี่ยงอย่างหนึ่ง การลงทุน(ทุกอย่าง)มีความเสี่ยง ผู้ลงทุนโปรดศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน ขอให้โชคดีครับ จากคุณ : เทราปตี - [ 15 ส.ค. 51 09:16:57 ]

ความคิดเห็นที่ 14 อันนี้อ่ะคับดีคับศึกษาดูน่ะคับรายละเอียดอยู่ด้านในทั้งหมดครับ ไม่ต้องลงทุนคับและก็ม่ายต้องสต๊อกสินค้าคับ ยุคนี้คับคิดอย่างนี้ถูกต้องแล้วคับ http://www.abaonlineteam.com/index.php?id=nayrai จากคุณ : nayrai - [ 27 ส.ค. 51 19:30:08 A:118.173.236.62 X: ]