จากประสบการณ์อดีตมือขวาของบริษัทข้ามชาติ ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการเอง อยากบอกว่าเข้าใจความรู้สึกที่คุณเล่ามา ตอนเป็นแค่ลูกจ้างก็รู้สึกแบบนี้แต่พอเป็นเจ้าของกิจการเองบ้างก็รู้ว่ามุมมองเขาเรามันไม่ถูกทั้งหมด
จากการอ่านความเห็นของคุณทั้งสองความเห็น อยากจะบอกว่าคุณกำลังสับสนกับบทบาทของตัวคุณเอง ผลประโยชน์ตอบแทนที่คุณเรียกร้องมันเป็นผลประโยชน์ของการเป็นหุ้นส่วนค่ะ ไม่ใช่การเป็นลูกจ้าง แต่เท่าทีประเมินจากการบอกเล่าของคุณ คุณน่าจะทำงานในฐานะลูกจ้างไม่ได้ร่วมลงทุน
ทีนี้มาว่ากันเป็นประเด็นๆไปนะ
1. เค้าสัญญาว่าจะแบ่งผลกำไรให้เป็นลักษณะหุ้นลม 10% ของผลกำไร
คำว่าหุ้นลมที่เรียกๆกันคือ หุ้นบุริมสิทธิ์ หมายถึง การมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นโดยไม่ต้องจ่ายค่าหุ้น จากคำบอกเล่าข้างบนต้องหมายถึงการที่คุณมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทไม่ได้หมายถึงการจ่ายเงินส่วนนี้ให้คุณ ต้องไปดูทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไปขอคัด บอจ 5 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่ามีชื่อคุณเป็นผู้ถือหุ้นหรือเปล่า ส่วนคำว่า 10% ของกำไรก็ไม่ทราบว่าคิดจากกำไรต่อปี แล้วปีไหน แต่การให้ผลประโยชน์เป็นหุ้นส่วนใหญ่จะให้ครั้งเดียวไม่ใช่ให้ทุกปี มิฉะนั้นซักสิบปี คุณคงมีหุ้น 100 %แทนเจ้าของ ส่วนที่บอกว่าเขามีสองบัญชีและคิดกำไรจากบัญชีสรรพากร มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นเพราะบัญชีในคงไม่คิดกำไร และอีกอย่างเงินตอบแทนส่วนนี้น่าจะเป็นโบนัส หรือเงินปันผลผู้ถือหุ้นมันต้องลงบัญชีและจะต้องเป็นจำนวนที่สมเหตุสมผลกับผลประกอบการด้วย หุ้นบริษัทใหญ่ 1-2 % ก็เป็นจำนวนมากแล้วนะคะ ที่สำคัญต้องเคลียร์กับเจ้าของและตัวคุณว่าเข้าใจตรงกันหรือเปล่าว่าจะแบ่งให้อย่างไร ถ้าเป็นหุ้น คุณไม่ได้รับเงินน่ะถูกแล้วแต่คุณจะได้เงินปันผลหุ้นรายปี ส่วนการปันผลเขาจะคิดเป็นจำนวนเงินต่อหุ้นมากกว่า % จากกำไร
คุณต้องเข้าใจก่อนว่า การทำธุรกิจไม่สามารถเอากำไรของกิจการแต่ละปีทั้งหมดมาแบ่งกันได้ มันมีกฏหมายที่ระบุว่าต้องกันไว้เป็นจำนวนเท่าไร และการจ่ายเงินปันผลมันก็มีระบุไว้ว่าจ่ายได้สูงสุดเท่าไหร่ ปันผลเท่าไรต้องกันเงินสำรองไว้เท่าไร
เงินส่วนที่คุณได้มันน่าจะเป็นโบนัสมากกว่า เพราะคุณเป็นลูกจ้างและมีเงินเดือนและคอมมิสชั่นอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่บริษัทจะจ่ายโบนัสพนักงานหนึ่งคนเป็นจำนวน 10%กำไร แล้วเจ้าของเงินที่ลงทุนเขาก็ต้องได้ผลตอบแทนเหมือนกัน
2 ค่าใช้จ่ายบริษัทมันมีมากกว่าค่าใช้จ่ายในทางการตลาด ต้นทุนสินค้า หรือเงินเดือนพนักงาน ที่คุณคิดว่าบริษัทมีกำไรมากมายมันอาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้
ยกตัวอย่างบริษัทที่มีรายได้ไม่เกินห้าล้านบาท รายได้นะไม่ใช่กำไร
ภาษีที่ต้องจ่ายแน่คือ 15% ของกำไร ค่าทำบัญชีถูกสุดก็ประมาณสามถึงห้าหมื่นบาทต่อปี ค่าผู้สอบอีกหมื่สองถึงหมื่นห้าต่อปี ค่าประกันสังคมส่วนนายจ้างอีก 5% ของรายได้แต่ละคนที่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท ค่าเงินสมทบกองทุนทดแทนอีกตาม % แล้วแต่ชนิดของกิจการคิดจากเงินเดือนพนักงานทั้งหมดและยังมีค่าจิปาถะอื่นๆ ค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟ ค่าภาษีโรงเรือน อีกมากมาย
แล้วค่าใช้จ่ายหลายๆอย่างที่บริษัทให้เบิกโดยเฉพาะค่าอินเตอร์เทนทั้งหลาย กฏหมายไม่ได้ให้คิดเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด ให้หักได้แค่ 0.3%ของรายได้บริษัทเท่านั้น ที่เหลือต้องบวกกลับไปคิดภาษีด้วย หมายความว่า ถ้าค่าใช้จ่ายต้องห้ามกลุ่มนี้มีซัก สองแสนต่อปี บริษัทต้องเอาเงินส่วนกำไรมาจ่ายภาษีส่วนนี้อีก สามหมื่นบาท
3. ส่วนที่คุณบอกว่าเขารวยเอาๆ ซื้อโน่นซื้อนี่ คุณรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นเงินจากกำไรของกิจการนี้หรือเป็นเงินที่เจ้าของเขาได้มาจากทางอื่น โดยสามัญสำนึกแล้วถ้าเขามีกำไรแล้วปิดบังคุณเขาคงไม่เล่าให้คุณฟัง
บริษัทส่วนใหญ่มักจะไม่มีกำไรในห้าปีแรกค่ะ เป็นเรื่องปกติ
4. ตามที่คุณบอกว่าคุณเป็นตัวจักรสำคัญในบริษัทประมาณว่าขาดคุณแล้วบริษัทอยู่ไม่ได้ ยิ่งต้องทำให้เจ้าของกิจการต้องดูแลคุณเอาใจคุณอย่างดีมากกว่าที่เป็นอยู่ มันค้านกันอยู่ทั้งหลักการและเหตุผล ที่สำคัญอยากจะบอกคุณว่า ไม่มีธุรกิจไหนจะพังลงไปกับตาเพียงเพราะขาดคนคนเดียว ไม่ว่าคนคนนั้นจะเก่งกาจขนาดไหนก็ตาม ทุกวิกฤติมันมีทางออก ตอนที่ลาออกเจ้านายและลูกน้องก็พูดว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าเราออก แต่ออกมาหลายปีแล้วไม่เห็นกิจการเขาจะเจ๊งไปเลย มันก้อยู่ต่อไปได้และดีด้วย
ลองกลับไปทบทวนและเคลียร์กับเจ้าของให้ชัดเจนก่อนดีไหมคะ ถ้าทำงานด้วยอารมณ์แบบนี้ประสิทธภาพมันจะหายไปและคุณจะร้อนรนไม่มีความสุขกับงาน แต่ขอแสดงความคิดเห็นว่าสิ่งที่คุณคาดว่าน่าจะได้มันมากและไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับลูกจ้างที่เป็นมือขวาของกิจการ ต้องอย่าลืมว่าการทำงานสุดความสามารถเป็นหน้าทีของลูกจ้างอยู่แล้ว และเงินเดือนกับค่าคอมมิสชั่นก็เป็นผลตอบแทนสำหรับการทำงานของลูกจ้างอยู่แล้ว ส่วนที่ลูกจ้างจะได้รับเพิ่มเพื่อเป็นกำลังใจในการทำงานก็ควรจะเป็นโบนัสที่คิดกันเป็นกี่เท่าของเงินเดือนไม่ใช่คิดเป็น % จากกำไร จริงๆแล้วมันมีสูตรคิดด้วยซ้ำว่าค่าใช้จ่ายแต่ละอย่าง เงินเดือนพนักงาน สวัสดิการและอื่นๆไม่ควรจะเกินกี่ % ของรายได้
ถ้าเคลียร์ยังรู้สึกรับไม่ได้ค่อยคิดพิจารณาว่าจะตัดสินใจอย่างไร อย่างลืมเอาประสบการณ์ เทคนิค กลยุทธุ์ how to ที่ได้เรียนรู้จากที่นี่มาคำนวณเป็นผลตอบแทนด้วยนะคะ ตรงนี้มันราคาแพงและหาซื้อด้วยเงินไม่ได้มากกว่ารายได้ที่เป็นตัวเงินจริงๆอีก
ถ้าคิดทบทวนแล้วมันรับไม่ได้ และคิดว่าตัวเองร่ำเรียนจนจบกระบวนยุทธุ์พร้อมที่จะมาเผชิญชีวิตด้วยการทำกิจการของตัวเองแล้วก็ออกมาลอง แต่ไม่เห้นด้วยที่จะหักหลังเขาหรือแอบเอาข้อมูลเขามา คนทำอย่างนี้เห็นมาหลายคนแล้ว สุดท้ายไปไม่รอดมันไม่เจริญหรอกค่ะ ยืนยันได้ ที่สำคัญลูกค้าแม้จะดิวกับเราแต่เขาก็ต้องมีสายสัมพันธ์กับเจ้าของกิจการเก่าบ้างเหมือนกัน ถ้าทำอย่างนั้นคุณจะได้ลูกค้าเขามาส่วนหนึ่ง และจะมีอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ใช้คุณเพราะรับไม่ได้กับการกระทำแบบนี้
การทำธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จได้มันต้องมีหลายองค์ประกอบ ฝีมือ โอกาส การได้เปรียบเสียเปรียบ ความเชื่อถือ และที่สำคัญมากคือเงินหมุนเวียน เห็นมาหลายบริษัทแล้วงานมี ฝีมือมี แต่มาตายเพราะขาดสภาพคล่องทางการเงิน
ฉันก็มืความทรงจำที่เจ็บปวดจากเจ้านายก่อนออกมาตั้งกิจการเองเหมือนคุณและอีกหลายๆคน แต่ทุกวันนี้ฉันก็สำนึกบุญคุญเขาเสมอว่าฉันจะไม่มีวันนี้ได้เลยถ้าไม่มีโอกาสไปเป็นลูกน้องเขาเป็นมือขวาเขา เขาทำให้เรามีบ้านมีรถมีเงินมีชีวิตที่ดีมาจนทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ใครที่กำลังอยู่ในสภาพแบบนี้คิดในทางลบกับเจ้านายตัวเอง เรามองว่าเขาเอาเปรียบเห็นแก่ตัวแต่จริงๆแล้วมันอาจไม่ใข่ก็ได้
หลังจากออกมาทำเองและเวลาผ่านไปจนพอที่จะทำใจได้ ก็เป็นปีนะ ก็ได้มีโอกาสไปเจอเจ้านายเก่าอีกครั้ง ไปขอบคุณเขาเพราะเรารู้สึกว่าเรามีวันนี้ได้เพราะเขา เขาบอกเราว่าอย่าคิดอย่างนั้น เขาไม่ได้ให้อะไรเราเลยเราได้ด้วยตัวเราเอง ไม่อย่างนั้นลูกน้องเขาทุกคนก็ต้องได้เหมือนกับเรา ที่สำคัญเขาบอกว่าเราก็ทำให้เขาเยอะมากๆ เขาได้จากการทำงานของเราไปเยอะ เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้มีบุญคุญอะไรกับเราเลย ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้ยินแบบนี้จากปากคนที่เราถูกเอาเปรียบสุดๆมากก่อน
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 51 00:53:02
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 51 02:32:41
แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 51 02:31:12