ความคิดเห็นที่ 1 กำลังสับสนว่าจะต่อ ป.โท อะไรดี เหมือนกัน....บริหาร หรือสิ่งแวดล้อม ตอนนี้ 60% เลือก ป.โท สิ่งแวดล้อม....อย่าลืมว่า บางทีความสุขในการที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก มันก็วัดค่าไม่ได้ด้วยตัวเงิน....แม้ว่าถ้าไม่ค่อยมีเงิน จะไม่ค่อยมีความสุขก็ตาม... ถ้าได้เงินเดือน 20,000 บาท แต่ไม่มีหนี้สิน อยู่อย่างพอเพียง เท่านี้ก็อยู่ได้...อย่างมีความสุข ยิ่งถ้าได้ทำงานที่ชอบนะ...สุด สุดไปเลย เชื่อสิ จากคุณ : <*-*> (Nice_CD) - [ 19 ต.ค. 51 14:50:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ^ ^ ทำไหมไม่เอาจุดด้อยมาเป็นจุดเด่นละครับ .... ขอตอบในฐานะที่ผมก็จบโท สิ่งแวดล้อมนะครับ ผมมองว่าในเมื่อคุณมีพื้นฐานทางด้านเคมีอยู่แล้ว + ถ้าเรียนโท สวล เท่ากับว่าคุณมีคุณสมบัติดีกว่าคนอื่นที่จบ ตรี + โท ทางด้านเคมีอย่างเดียว ถ้าเป็นผมจะรับคนเพิ่ม ผมเลือกเอาคนที่ทำได้ทั้ง 2 อย่างดีกว่า ทั้งทางด้านเคมี + สวล ไม่รู้นะความเห็นส่วนตัว ถ้าคุณอย่างทำด้านเคมีจริง (ถามตัวเองว่ามีความจำเป็นไหมที่จะต้องจบโท) ผมว่าสู้คุณไปสมัครงานโดยใช้วุฒิ ป.ตรี ไม่ดีกว่าเหรอครับ (1. ไม่เสียเวลา, 2. ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม) แต่ถ้าสนใจจะเรียนต่อโท ก็ต้องถามตัวเองว่าอยากเรียนไปเพื่ออะไร จบไปอยากทำงานด้านไหนก่อน แนะนำนะครับ ถ้าคุณจะเรียนต่อโทจริงๆ ทางด้านวิศวะสิ่งแวดล้อม ผมอยากให้คุณเอาปัจจัยเหล่านี้มาพิจารณาด้วยนะครับ เพราะบางทีคนอื่นๆอาจมองข้ามไป นั้นคื่อเรื่องของ ค่าใช้จ่ายในการทำ Thesis ครับ (เพราะบางหลักสูตร บางมหาวิทยาลัย) ไม่มีเงินตรงส่วนนี้ให้ หรือมีให้ก็น้อยมาก ซึ่งการทำ Thesis ในระดับปริญญาโท ทางสายวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ มันก็เป็นจำนวนเงินที่สูงที่เดียวครับ เกือบๆแสน (ของผมตอนที่ทำนะครับ ส่วนใหญ่ที่เรียนด้วยกันก็จะประมาณนี้) ถ้าให้ผมแนะนำถ้าคุณสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมจริงๆ ลองเรียนที่ มหาวิทยลัยบูรพา บางแสน ชลบุรี ดูไหมครับ เพราะ 1. หลักสูตรนี้ได้รับการสนับสนุนจาก ADB (ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย ประเทศญีปุ่น) ในเงินสนับสนุนการวิจัย 100% (ป.โท ไม่เกิน 100,000 บาท/คน, ป.เอก ไม่เกิน 200,000 บาท/คน) เห็นว่า Phase 2 ที่เพิ่งเซ็นสัญญารู้สึกว่าค่าเทอมก็ไม่ต้องเสีย ด้วยครับ (อันนี้ต้องเช็คกับทางหลักสูตรดู) 2. คนที่จบ วิทยาศาสตร์บัณฑิต มาไม่ต้องเรียนเพิ่มครับ เรียนตามหลักสูตรปกติ ประหยัดเวลาได้อีกเยอะ ที่นี้เอาข้อเสียไปบ้างนะครับเดียวจะหาว่าเชียร์อย่างเดียว 1. งานวิจัยที่ทำที่นี้ส่วนใหญ่เน้นทางด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งครับ 2. สถานที่เรียนอยู่ที่ ม.บูรพา บางแสน ชลบุรี ซึ่งคุณเองอาจจะไม่สะดวกในเรื่องของที่พัก พูดง่ายๆคือ อาจจะต้องอยู่หอพักครับ 3. เวลาเรียนโดยเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 3 ปี ครับ (เรียน 2 ปี ทำงานวิจัย 1ปี ครับ) แต่ตัวผมจบได้ในเวลา 2 ปี + 3 เดือนครับ (เรียน + ทำวิจัยไปด้วยตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่งครับ หนักแต่ก็คุ้ม อันนี้ต้องคุย กับ Addvisor ตั้งแต่ตอนเข้าเรียนเลยครับ ว่าขอจบ ... กี่ปีก็ว่าไป ท่านจะได้วางแผนให้ถูกครับ) 4. คนที่ได้รับทุน ADB Phase 2 ต้องทำ Thesis เป็นภาษาอังกฤษ ครับ (สรุปก็คือทำทุกคนเพราะทุน ADB นี้เขาให้นิสิตทุกคนครับ) สมัยผมเป็น Phase 1 ได้เฉพาะค่าทำ Thesis 1 แสน ค่าเรียนจ่ายเอง สมัยนั้นจึงทำ Thesis เป็นภาษาไทยครับ แต่รุ่นหลัง ฟรีหมดทุกอย่าง อันนี้ขอแนะนำเป็นการส่วนตัวนะครับ ถ้าคุณจะทำตัดสินใจเรียนที่ม.บูรพา จริง Thesis ที่ความรู้พื้นฐานทางด้านเคมีที่คุณมี พอที่จะช่วยได้ก็คือ 1. เรื่องของระบบบำบัดน้ำเสีย (ด้านนี้มีอาจารย์ที่ทำอยู่หลายท่าน) 2. เรืองของการออกแบบระบบบำบัดของเสีย (ก็มี ดร.ธงชัย สังกัดอยู่คณะวิศวะ ม.บูรพา ท่านทำงานวิจัยด้านนี้อยู่ครับ) 3. ด้านพิษวิทยาสิ่งแวดล้อม โลหะหนัก เช่นพวก ปรอท ทองแดง ตะกั่ว (ด้านนี้ก็มี ผศ. ดร. สุวรรณา ภาณุตระกูล ท่านทำงานวิจัยด้านนี้อยู่) คุณอาจจะเหมาะนะครับ เพราะท่านเคยทำวิจัย + เป็นที่ปรีกษา ร่วมกับ บ.บางจาก มาก่อน รวมถึงเคยทำงานวิจัยรวมกับสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ำ ของจุฬา มาด้วย งัยลองดูแล้วกันครับ + เพื่อค่าใช้จ่ายของ Thesis ไว้ด้วย ลองถาม อาจารย์ดูครับว่ามีทุนทำ Thesis ให้หรือป่าว จากคุณ : bb (Trerak) - [ 19 ต.ค. 51 15:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตลาดงานก็สำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญกว่าต้องรู้จักวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง ถ้าเรียนเคมเทคแล้วทำไม่ได้ดี ก็ไปเรียนสิ่งแวดล้อมจะดีกว่าครับ แต่ไม่มีอะไรรับรองว่าเรียนสิ่งแวดล้อมแล้วจะทำได้ดี ถ้าทำได้ไม่ดีเหมือนกัน เรียนวิศวะมีภาษีกว่าแน่นอน แต่ถ้าใจรัก ถนัดจริง เรียนสิ่งแวดล้อมแล้วทำผลงานได้ดีมากๆ ก็นับว่าเลือกทางได้ถูก ทังนี้ จขกท ต้องตอบก่อนว่าทำไมถึงเลือกเรียน ปโท ไปทำงานก่อนไม่ดีกว่าหรอ ถ้าเป้าหมายสุดท้ายคือ เงิน จากคุณ : Onunu (tripplebond) - [ 19 ต.ค. 51 17:09:39 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เรียนอยู่ วศ.สิ่งแวดล้อม บางมดค่ะ ป.ตรี ปี 4 ขอตอบในส่วน field ของงานสิ่งแวดล้อมละกันนะคะ  นอกจากจะทำเรื่องน้ำ อากาศ ก็จะมีเรื่องของ EIA ค่ะ ที่สามารถทำได้ และอีกสายหนึ่งที่น่าสนใจก็คืองานทำน้ำดีค่ะ ซึ่งสำหรับตัวเองก็ชอบสายน้ำดีมากกว่าน้ำเสีย ส่วนเรื่องงานก็ตอบไม่ได้มากเหมือนกันเพราะยังเรียนจบ แต่ที่แน่ๆ งานสิ่งแวดล้อมน้อยกว่างานของวศ.เคมีอยู่แล้ว  แต่งานสิ่งแวดล้อมก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นงานที่เพิ่ม cost ให้กับโรงงานอย่างเดียว เราสามารถช่วยให้โรงงานลด cost ได้ ถ้ารู้จักนำความรู้ที่มีมาประยุกต์ใช้กับโรงงานอย่างเช่นพวกพลังงานหมุนเวียนจากระบบบำบัด งานสิ่งแวดล้อมจะใช้ความรู้หลายด้านนะคะ ทั้งด้านเคมีและด้านจุลชีววิทยา ส่วนใหญ่การทำงานน่ะเท่าที่ได้คุยกับรุ่นพี่หลายๆคนเค้าก็จะบอกว่าที่เรียนกับที่ทำงานจริงอ่ะมันต่างกันมาก เพราะว่าที่เราเรียนมาน่ะเป็นส่วนเล็กๆ มากๆ เลย  สำหรับที่บางมดหลักสูตรป.ตรีจะเน้นการบำบัดแบบชีวภาพค่ะ ส่วนป.โทจะเน้น Advanced treatment คือจะเป็นการบำบัดด้วยสารเคมี ทั้งน้ำดีและน้ำเสีย   อีกเรื่องนึงที่สำคัญมากๆ เลยสำหรับวิศวะคือใบ กว. ตอนนี้วิศวะสิ่งแวดล้อมกำลังจะได้ กว. แต่สำหรับคนที่จบตรีวิทยาศาสตร์แล้วต่อโทวิศวสิ่งแวดล้อมจะไม่ได้ กว. นะคะ อันนี้เป็นข้อมูลจากที่สภาวิศวกรมาจัดสัมมนาที่มหาวิทยาลัยค่ะ ยังไงถ้าสนใจก็ลองเข้าไปดูข้อมูลหลักสูตรตาม link นี้ละกันนะคะ http://www2.kmutt.ac.th/thai/pro_ungrd/info_grd/engi/engi_environment.html http://www.kmutt.ac.th/organization/Engineering/Environmental/Thai/menu/master_d.htm แต่โดยส่วนตัวเราเองนะ เราคิดว่าการเรียนต่อเลยในสถานการณ์เศรษฐกิจแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก น่าจะลองทำงานแล้วดูสายงานที่น่าจะมั่นคง เพราะสายงานสิ่งแวดล้อมเองก็มีงานน้อยอยู่นะ จากคุณ : เด็กบางมด (i-sis_jaja) - [ 22 ต.ค. 51 19:37:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมรู้จักอาจารย์ของคุณดีนะ จะถือว่าผมเป็นรุ่นพี่ก็ได้ ถ้าไม่รู้ว่าจะเรียนต่อทางไหนดี ให้ทำงานครับ เพื่อจะได้รู้จักตัวเองมากขึ้น ไม่แน่คุณอาจพบว่าคุณไม่เหมาะกับงานทั้งสองทางก็ได้ อย่าไปเรียนโดยที่ไม่แน่ใจว่าเรียนเพื่ออะไรมันจะเสียเปล่า เมื่อทำงานได้ครบปีลองพิจารณาอีกครั้งว่าตัวเองต้องการอะไร รุ่นพี่คุณเคยถามผมแบบนี้ ผมก็ตอบแบบเดียวกัน และผมก็รู้ว่าเพื่อนคุณเกินครึ่งเรียนต่อ แต่ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องไปทำตามแบบไม่ลืมหูลืมตา จากคุณ : Ter - [ 27 ต.ค. 51 17:37:20 A:85.154.15.210 X: TicketID:182506 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พี่คห.5เป็นเพื่อนกับอาจารย์ในภาคหรอครับ(ไม่ทราบว่ารุ่นไหนรุ่นอ.นพิดาหรือปล่าว) ตอนนี้ใจผมก็อยากทำงานมากกว่าเรียนต่อครับ เพราะก็คิดอย่างที่พี่บอก แต่มันมีอีกปัญหาคือคือเกรดครับ เกรดค่อนข้างแย่ หางานยากอ่ะครับ ปล.ใช่ครับเพื่อนในภาคส่วนใหญ่เรียนต่อประมาณ80%เลยทีเดียว จากคุณ : จขกท. - [ 28 ต.ค. 51 00:54:00 A:58.9.222.144 X: TicketID:189514 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมอายุมากกว่าอาจารย์ท่านที่คุณเอ่ยถึงอีกนะ เอาเถิดนั่นไม่ใช่ประเด็นที่คุณตั้งกระทู้ เกรดมีความสำคัญในการได้งานครั้งแรก แต่หากจบแล้วเกรดน้อยก็ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส มีวิธีกู้สถานการณ์อยู่ซึ่งต้องอาศัยพลังใจไม่น้อย ขอพูดรวมเพื่อรองรับการเรียนต่อในอนาคตเลย ผมเน้นไปในสองแหล่งงานนะคือโรงงานกับบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา 1. จัดเวลาทบทวนความรู้ให้ตัวเองหลังเรียนจบประมาณหนึ่งเดือน โดยฝึกฝนทำโจทย์ที่เกี่ยวข้องกับการไหลในระบบท่อและเทอร์โมไดนามิกส์ เป็นหลัก ใช้ตำรารวมโจทย์ที่มีขายในศูนย์หนังสือ ผมยืนยันสองวิชานี้ใช้ถี่สุดสำหรับสายงานด้านโรงงานที่มีกระบวนการไหล การทวนตรงนี้ทำเพื่อใช้สอบข้อเขียนและเตรียมพื้นฐานสำหรับการสัมภาษณ์ ระหว่างนั้นก็ส่งใบสมัคร 2. หางานในโรงงานที่แม้ไม่ได้สวยหรูเหมือนโรงงานในมาบตาพุดและงานเข้าข่าย "มั่ว" แต่นั่นก็เพื่อการฝึกฝนตนเอง โรงงานที่ว่านี้อาจเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อน โรงงานเคมี ชุบ ฟอกย้อม โรงงานทอผ้า เน้นโรงงานที่มีกระบวนการไหลและใช้ความร้อน ถ้าผ่านข้อเขียนได้จนถึงสัมภาษณ์ ก่อนการสัมภาษณ์ให้พยายามคิดว่า เราจะช่วยปรับปรุงโรงงานได้อย่างไร ลองทำเป็น check list เก็บข้อมูลทุกชนิดในการสัมภาษณ์แล้วเตรียมตอบคำถามเมื่อมีโอกาส พยายามตอบในลักษณะที่ปฏิบัติได้และโรงงานเสียประโยชน์น้อยสุด การสมัครให้ขอรายชื่อบริษัทที่อยู่ในนิคมทั้งหมดจากอาจารย์คุณแล้วส่งใบสมัครไป 3. หางานในบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาที่มีธุรกิจด้านอนุรักษ์พลังงาน หรือการศึกษาสิ่งแวดล้อม พวกนี้คนลาออกบ่อยจึงรับคนบ่อยเช่นกัน ยอมรับเงินเดือนที่อาจน้อยกว่าเพื่อนคุณถึงครึ่งหนึ่ง ยอมรับความไม่มั่นคง ทำใจกับการทำงานหนักโดยไม่มี OT การหางานใช้วิธีไปที่กูเกิ้ล พิมพ์ลงไปว่า Thai engineering consultant หรืออะไรทำนองนี้ เป็นไปได้ว่าการหางานครั้งแรกใช้เวลาหลายเดือน เมื่อได้งานแล้ว พกสมุดโน๊ตเล่มหนึ่งตลอดเวลา จดสิ่งที่เรียนรู้ในแต่ละวัน เมื่อใดที่ว่างให้เทียบโน๊ตที่จดกับกับความรู้ที่คุณเรียนมาตามหลักสูตร ถ้ามีเวลาในวันเสาร์อาทิตย์ ไปเรียนหลักสูตรอบรมเช่น Mini ME ของม.เกษตร Mini EE ของม.มหิดล หลักสูตรอบรมผู้บำบัดมลพิษสิ่งแวดล้อมที่ประกาศข่าวในหน้าเว็บเพจของสภาวิศวกร เมื่อได้ทำงานผ่านพ้นไป 1-2 ปี ลองนั่งนิ่งๆพิจารณาดูว่าควรเดินต่อในเส้นทางใด หากต้องการย้ายไปทำงานบริษัทใหญ่ขึ้นหรือบริษัทฝรั่ง ก็ควรเริ่มบุกเรียนภาษาอังกฤษ เช่นเรียน TOEIC, TOEFL เพื่อเพิ่มความรู้ด้านภาษาแบบเร่งรัด และหาความรู้ในด้านงานบริหารองค์กร หากจะเรียนต่อก็คงมองออกแล้วแล้วว่าจะไปในเส้นทางใด พวกคุณเมื่อได้งานทำใหม่ๆ จะชอบเทียบกันว่าเงินเดือนใครได้มากได้น้อย อย่าเพิ่งใส่ใจเกินไป สองปีแรกเป็นช่วงเวลาที่คุณต้องฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก ถ้าคุณบอกว่าภาระที่มีคือต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ คุณต้องแข็งแกร่ง สู้งานอย่างชาญฉลาด และอดทน สายงานที่เหมาะสมนั้นคุณจะพบคำตอบนั้นด้วยตัวเอง ผมขอบอกคุณว่ามีไม่มากนักที่ก้าวไปเส้นทางสวยหรูโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ เพื่อนคุณที่เรียนต่อจำนวนมากนั้น หลายคนที่เรียนเพราะไม่มั่นใจในการออกไปสู่โลกภายนอกจึงชะลอเวลาในการออกสู่ตลาดแรงงานด้วยหวังว่าวุฒิที่สูงขึ้นจะทำให้ได้งานดีๆเงินเดือนสูงๆ ซึงไม่จริงเสมอไป เพื่อนคุณหลายคนก็แข่งขันกันเอง แต่ยิ่งเรียนสูงโอกาสเกิด overqualification ยิ่งมาก รุ่นผมจบป.เอกเกิน 10 คน เกือบทั้งหมดทำงานวิชาการ มีสองคนทำงานภาคเอกชนและคนเดียวที่ใช้ความรู้ตามที่เรียน ตรงนี้มันพอบอกอะไรคุณได้บ้างไหม? สุดท้ายผมหวังว่าคุณจะตัดสินใจอย่างรอบคอบ มีสติ และไม่ตัดสินใจเพียงเพราะเห็นว่าคนส่วนใหญ่ทำอะไรแล้วก้ทำตามกัน จากคุณ : Ter - [ 29 ต.ค. 51 17:10:46 A:85.154.15.210 X: TicketID:182506 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณพี่Terสำหรับคำแนะนำดีๆมากเลยครับ ผมจะเก็บเอาไปลองใช้ ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : จขกท. - [ 3 พ.ย. 51 23:47:42 A:58.9.194.115 X: TicketID:189514 ]