ความคิดเห็นที่ 1 ถ้าเรายังคิดจะใช้วิธีหาเงินแบบเดิมๆ อาจจะเป็นปัญหาได้ อันนี้ขอแสดงความคิดเห็นแบบที่ยังไม่รู้จริงนะครับ แค่ตั้งสมมุติฐาน สมมุติว่าโลกเรามี เงินทุกสกุล และ ทองคำหมุนเวียน ใช้อยู่ในโลก มูลค่า 10 ล้านล้านล้านล้านดอลล่าร์ ถามว่าเศรษฐกิจจะล่มทั้งโลก แสดงว่าเงินหรือทองคำมันปลิวออกนอกโลก? หรือว่าทั้ง เงินและทองคำด้อยค่าลง ไปเพิ่มค่าให้กับอาหาร?? ลักษณะนี้เป็นไปได้ไหมว่าเงินไหลไปกระจุกตัวอยู่บางที่ โดยที่สื่อดันไปขยายความตรงที่เงินไหลออก ไม่ทำข่าวตรงที่เงินไหลเข้า วิกฤติปี 40 หลายธุรกิจต้องล้มหายตายจากไป แต่บางธุรกิจก็เติบโตขึ้นมา ผมพยายามคิดว่า ทุกครั้งที่โลกเจอวิกฤติการเงิน ก็เหมือนต้นไม้ผลัดใบ หรือ เป็นบททดสอบในสนามการค้าโลกว่า ธุรกิจที่ดีและแกร่งเท่านั้น ถึงจะผ่านมันไปได้ วิกฤติที่เกิดขึ้นมักจะเป็นบทเรียน เป็น Case Study ให้กับผู้นำโลกศึกษาเพื่อเตรียมรับวิกฤติครั้งใหม่ เหมือนมนุษย์เป็นไข้หวัด----------ไข้หวัดบนโลกมีประมาณ 200กว่าสายพันธุ์ คนที่เคยติดไวรัสแล้ว ร่างกายมีจะภูมิคุ้มกันกับไวรัสชนิดนั้นทันที ง่ายๆคือ ทุกครั้งที่เราเป็นหวัด เราไม่เคยเป็นหวัดเพราะติดเชื้อตัวเดิม....... จากคุณ : BMWTurboman - [ 21 พ.ย. 51 15:48:29 ]

ความคิดเห็นที่ 2 แต่เท่าที่สังเกตุวิกฤติการเงินโลกหลายๆครั้ง เกิดจาก ประชาชน Panic เกินกว่าเหตุ อาจจะเป็นไปได้เพราะยุคนั้นข้อมูลข่าวสารยังไม่รวดเร็วแบบทุกวันนี้ แต่ยุคนี้อาจจะน่ากลัวกว่ายุคก่อนๆ เพราะข้อมูลที่ไหลเร็ว อาจจะมีข้อมูลเท็จเจือปนอยู่ในปริมาณที่สูง ข่าวลือ ข่าวลวง ข่าวเต้า ฯ ล้วนส่งผลให้เหตุการณ์มันเลวร้ายกว่าความเป็นจริง วิกฤติที่ผ่านๆมา ประชาชนมีส่วนส่งเสริมให้วิกฤติเลวร้ายยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างที่ยังพอจะจำได้ ปี 40 วิกฤติต้มยำกุ้ง มีคนจำนวนไม่น้อยที่ส่งผลให้ค่าเงินยิ่งอ่อนค่า ผสมโรงเล่นค่าเงินทำให้ค่าเงินอ่อนค่าไม่หยุด พอเงินอ่อนค่าไม่หยุด หลายคนก็ถอนเงินจากสถาบันการเงิน ออกมาโจมตีค่าเงินด้วย ด้วยการซื้อดอลล่าร์มาเก็งบาท โดยให้เหตุผลว่า ใครๆก็ทำ และเราก็แลกเพียงนิดหน่อยเอง ไม่มีผลต่อตลาดหรอก!!!!!!!! 1. คุณเอาเงินมาจากสถาบันการเงิน ทำให้ขาดสภาพคล่อง 2. ซื้อดอลล่าร์ตุน ทำให้บาทยิ่งอ่อนลง 3. สื่อลงข่าวเรื่อง บริษัท โรงงาน สถาบันการเงิน ปิดตัว ทำให้ทั้งประชาชนและนักลงทุนตื่นกลัว แห่ถอนเงิน ปลดคนงาน ไม่ลงทุนเพิ่ม ประเทศเข้าสู่การขาดสภาพคล่องโดยสมบูรณ์........................ จากคุณ : BMWTurboman - [ 21 พ.ย. 51 15:57:46 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อุ้ย ผมมั่วมาเยอะเลย 55555 แค่ความคิดเห็นของผมเฉยๆนะจริงหรือเท็จ ก็แค่ความคิด อ่ะมาตอบตามกระทู้ดีกว่า 55555 อยากให้ลองหาโอกาสใหม่ๆครับ คนที่มีวิสัยทัศน์มักไม่มีทางตัน วิกฤตินี้มันเปิดตัวมานานแล้ว นักลงทุนทั้งหลาย อย่าบอกนะว่ายังไม่เตรียมตัว ลองสักเกตุดูทุกๆวิกฤติได้เลยครับ โลกเหมือนดักแด้ลอกคราบ ทุกครั้งที่ผ่านวิกฤติมาได้ โลกจะมีสิ่งที่ดีขึ้นตลอด ทุกวิกฤติมีโอกาส นักลงทุนหลายท่านกลับชอบวิกฤติ ลองถามตัวเองก็ได้ครับเจ้าของกระทู้ว่า...................."คุณชอบซื้อหุ้นตอนขึ้น หรือชอบซื้อตอนลงมากกว่ากัน" วิกฤติการเงิน แค่ไล่นักลงทุนเดิมที่อ่อนแอ่ และสร้างนักลงทุนหน้าใหม่ป้อนเข้าตลาดครับ ทุกวิกฤติมีโอกาส ปัญหามีไว้แก้ครับ ไม่ได้มีไว้ท้อ ท่องไว้ในใจครับว่า ยังดีกว่าตอน ปี 40 ที่ครั้งนี้เงินฝืด เรียกสั้นๆว่าเงินหายากขึ้น ปี 40 นั่น เงินหายากขึ้นไม่พอ แถมติดลบ 2 เท่า ปล. ผมร่ายมาซะยาว อ่านแบบผ่านๆนะครับ เฉลย ผมไม่มีความรู้แบบ macro เลยครับ (^.^) ผมแค่แสดงความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ อาจจะผิดทั้งหมดเลยก็ได้ 5555 ปล. จุดประสงค์ผมเลย คืออยากให้สู้ครับ อยากให้คิดเหมือนกับมันเป็นแค่การสอบกลางภาคของชีวิต แบบสอบด้วยกันทั้งโลกเลยครั้งนี้ 555 คนผ่าน คนไม่ผ่านมีติดบอร์ดไว้บอกด้วย 555 ส่วนตัวเชื่อว่าวิกฤตินี้ไม่หนักมากนัก ส่วนที่รุ่งก็ยังมีอยู่ ผมเห็นอยู่ตลอด แต่กั๊ก ไม่บอกกลัวมาแย่งงาน 5555 จากคุณ : BMWTurboman - [ 21 พ.ย. 51 16:09:43 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ผมมองว่าครั้งนี้ แย่กว่าปี 40 ครั้งนั้นถึงทุกอย่างจะไม่ดี แต่ธุรกิจส่งออกเยี่ยม รัฐบาลสมัยนั้นยังได้ทำงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็ไม่มีปัญหาภายในเหมือนตอนนี้  ครั้งนี้ที่แย่คือทั่วโลกแย่ ส่งออกแย่ ธุรกิจในประเทศก็แย่ไปด้วย ธุรกิจใหญ่ๆในไทยก็เป็นของต่างชาติ บริษัทแม่แย่ สาขาในไทยก็แย่ตามไปด้วย อีกทั้งยังเกิดปัญหาการเมืองภายใน รัฐบาลก็ไม่มีบทบาทอะไรในการแก้ไขเศรษฐกิจ จากคุณ : keep it up - [ 21 พ.ย. 51 17:11:47 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ส่วนตัวคิดว่าแรงกว่าปี 40  นะครับ และเห็นด้วยว่าจิตวิทยาหมู่มวลชน กลับยิ่งทำให้แผลกว้างขึ้นไปอีก จากคุณ : เจ้าชายชาเย็น - [ 21 พ.ย. 51 19:58:48 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เกริ่นก่อนว่าส่วนตัวไม่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจนะคะ คิดว่าน่าจะเป็นแค่บางธุรกิจค่ะ เพราะคนเรายังไงมันก็ต้องกินต้องใช้ แค่เศรษฐกิจไม่ดี รายจ่ายที่คิดว่าไม่จำเป็นก็จะถูกตัดออกไปแค่นั้น อย่างที่เห็นว่า ของฟุ่มเฟือนโดนก่อนเลย รถ กล้อง สถาบันการเงิน (ผ่อน) ตังค์มีจำกัดก็ไม่ซื้อ ไม่ผ่อน ที่ผ่อนไว้ก็ไม่มีตังค์จ่าย layoff ออกอาจจะดูเยอะหน่อย แต่พวกแรกๆก้อภาคโรงงานทั้งนั้น เอาแน่ๆบ.ส่งออกที่ทำงานอยู่ขายก้อเดิมๆ ขายได้ดีพอควรทีเดียว อัตราเพิ่มลดก็ไม่ได้โดดจากปีก่อนๆ ในประเทศ(ที่บ.ขายในประเทศด้วย) ก็เห็น PO เข้ามาตรึมนิคะ เราว่าจะเจ้งจะดีอยู่ที่ธุรกิจว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงรึเปล่า และผู้บริหารว่าจะมีกึ๋นพอที่จะฝ่าวิกฤตินี้รึเปล่าค่ะ จากคุณ : toyting (ting_thararat) - [ 23 พ.ย. 51 14:22:49 ]