Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี ตอนที่ 62 เมื่ออมร ถาวรมาศ มาดับไฟที่ซัมมิท คอมพิวเตอร์....

    จากเซลส์แมนสู่เอ็มดี ตอนที่ 62 เมื่ออมร ถาวรมาศ มาดับไฟที่ซัมมิท คอมพิวเตอร์....




    วันนี้  เห็นจะต้องเอาเรื่องที่นิตยสาร “ผู้จัดการ”  ฉบับเดือนกันยายน 2526

    (เมื่อ 25 ปีที่แล้ว.....)   เขาไปสัมภาษณ์ลุงมาลงในนิตยสารให้อ่านกัน  





    ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ  ว่าลุงรู้จักกับ “คุณสนธิ”  ของพันธมิตรฯ เขาหรือ

    ไม่  เพราะตอนที่ลุงเป็น MD และได้ไปบรรยายตามที่ต่างๆ  เขาก็เริ่มทำ

    นิตยสาร “ผู้จัดการ”  ใหม่ๆ  เป็นฉบับเล็กๆ และได้ขออนุญาตลุงขอเวลาเขา

    สักแป๊บหนึ่งในการเข้าไปแนะนำหนังสือผู้จัดการ  และเริ่มต้นขยายกิจการ

    ตั้งแต่นั้นมา  จนร่ำรวยเป็นเนื้อเป็นหนังอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้





    เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า......ต่อไปนี้  ลุงจะเอาบทความที่หนังสือพิมพ์เขา

    ลง  มาให้พวกเราอ่านกันให้เห็นกับตาอีกรอบหนึ่ง

    เชิญนะครับ..............................................................................





    “ผมมาอยู่ที่นี่  ขณะที่ไฟกำลังไหม้.................”





    ผม....นั้น  ไม่ใช่ใครที่ไหน  เขาชื่อ “อมร  ถาวรมาศ”  และที่นี่ ก็

    คือ “บริษัท ซัมมิท คอมพิวเตอร์ จำกัด”  ซึ่งมี “ผม” เป็นกรรมการผู้จัดการ  

    นั่งอยู่ในห้องที่กว้างที่สุด  โก้ที่สุดบนชั้น 8 ของตึกสีลม  ใกล้ๆ หัวมุมถนน

    ชื่อเดียวกันกับตึก





    จากการที่ “ผู้จัดการ”  เปิดฉากคุยอย่างเป็นกันเองกับคุณอมร  เบ็ดเสร็จเป็น

    เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง  ประสบการณ์ที่พรั่งพรูออกมาในฐานะคนที่ในวง

    การคอมพิวเตอร์มาหลายสิบปี และใน 5 ปีที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ นี้  ต้องนั่ง

    แป้นในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของบริษัท ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่อง

    คอมพิวเตอร์สเปอรี่ ยูนิแวคแต่ผู้เดียวในประเทศไทย  สัมผัสแรกเมื่อก้าว

    เข้ารับตำแหน่งนี้นั้น  สรุปให้ได้ใจความกระชับที่สุดก็ดังประโยคข้างต้น






    และถึงคุณอมรจะไม่ได้กล่าวออกมาตรงๆ ว่า  เขาดับไฟที่กำลังไหม้อยู่

    สำเร็จหรือไม่  แต่จากข้อเท็จจริงที่ว่า  เมื่อ 5 ปีที่แล้วนั้น  ซัมมิท

    คอมพิวเตอร์เพิ่งจะแยกตัวออกจากแผนกเล็กๆ แผนกหนึ่งของบริษัท

    ซัมมิท อินดัสเทรียล (ปานามา) จำกัด  มาตั้งเป็นบริษัทต่างหาก  ด้วยทุนจด

    ทะเบียน 5 ล้านบาท  และมียอดขาย 10 ล้านบาท และมีพนักงานเพียงไม่

    ถึง 20 คน  เปรียบเทียบกับปีปัจจุบันที่มียอดขายพุ่งขึ้นถึง 50 ล้านบาท กับ

    พนักงานที่เพิ่มเป็น 80 คน ย่อมช่วยตอบคำถามให้แล้วอยู่ในตัว





    ประเด็นที่ว่า  อะไร...คือ “ไฟ” ที่คุณอมรประสพ  และในเวลาต่อมา “ไฟ”

    นั้น  ได้มอดลงอย่างไร  “ผู้จัดการ” เชื่อว่า  สิ่งที่คุณอมรช่วยเล่าให้ฟังอย่าง

    เปิดอกตรงไปตรงมานี้  นับเป็น “เคส สตัดดี้” ที่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง  โดยเฉพาะ

    ผนวกเข้ากับกับช่วงในปัจจุบันที่บริษัทขายคอมพิวเตอร์กำลังเห่อกันออกมา

    ปรากฏตัว จนนักสังเกตการณ์ผู้ช่ำชองอดวิจารณ์ไม่ได้ว่า  “สักช่วงคงต้อง

    ล้มกันระเนระนาดบ้างละ...”






    รู้จักกับซัมมิท คอมพิวเตอร์





    คงเป็นการเริ่มต้นที่ไม่สมบูรณ์แบบแน่นอน  ถ้าหากจะกล่าวถึงซัมมิท

    คอมพิวเตอร์  โดยไม่กล่าวถึงนักธุรกิจชื่อกระฉ่อน  นามว่า  “ซี เจ ฮวง”    

    คุณอมรเล่าถึงการเริ่มต้นเอาคอมพิวเตอร์ยี่ห้อสเปอรี่  ยูนิแวค  เข้ามาขาย

    ว่า  “เป็นฝีมือของนายฮวง”





    “ซัมมิทเริ่มด้วยการนำเครื่องสเปอรี่ ยูนิแวค  เข้ามาใช้ในการเกี่ยวกับโรง

    กลั่นน้ำมันที่บางจาก  ซึ่งทำให้ต้องมีเซอร์วิส เซนเตอร์ขึ้นมา  มีพวกช่าง  มี

    โปรแกรมเมอร์สำหรับซัปพอร์ตโรงกลั่น  ใช้ไปสักพัก  ซี เจ ฮวงก็เกิดไอ

    เดียว่า ขายคอมพิวเตอร์นี่น่าจะไปได้ดีในอนาคต เลยติดต่อขอเป็นตัวแทน

    เครื่องคอมพิวเตอร์สเปอรี่  ยูนิแวคเสียเลย”






    ตรงจุดนี้แหล่งข่าวระดับสูงซึ่งรู้เรื่องดี  เคยบอกกับ “ผู้จัดการ” ว่า  ประเด็น

    ของแรงบันดาลใจถึงอนาคตของคอมพิวเตอร์ที่ความต้องการใช้มากขึ้น

    เรื่อยๆ นั้น เป็นข้อเท็จจริงแน่ๆ เรื่องหนึ่ง  แต่ประเด็นที่ไม่อาจจะมองข้ามอีก

    อย่างหนึ่งก็คือ ที่ ซี เจ ฮวง ตัดสินใจซื้อเครื่องยูนิแวคเข้ามาใช้นั้น  ก็เพราะ

    เจ็บช้ำกับการให้บริการของคอมพิวเตอร์ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งซัมมิทเคยใช้อยู่เดิม

    และแหล่งข่าวยังบอกอีกด้วยว่า





    “พอฮวงตัดสินจะเป็นตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์  ผู้บริหารอื่นๆ ของ

    ซัมมิท อินดัสเทรียลโวยวานกันใหญ่  เขาเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ไม่อยู่ในลายน์  

    ฮวงต้องต่อสู้อย่างหนักมาก  กว่าจะตั้งแผนกคอมพิวเตอร์ขึ้นมาในซัมมิท

    อินดัสเตรียล”






    แต่ฮวงก็คือฮวง  ซัมมิทก็คือซัมมิท ซึ่งไม่ใช่ของฮวงเพียงคนเดียว  ในขณะ

    ที่กิจการหลักของบริษัทแม่ถูกทุ่มให้กับการค้าน้ำมันจนหมดตัว  แผนก

    คอมพิวเตอร์ที่ตั้งขึ้นใหม่กลับถูกวางอันดับในฐานะเมียน้อยที่สามีไม่ค่อย

    ยอมส่งเสียเลี้ยงดู  ถึงจะขายได้ก็เพียงกระผีก และที่เลวร้ายที่สุดก็คือ  ไม่

    ได้มีการลงทุนทางด้านการซัปพอร์ตลูกค้าอย่างจริงจัง





    “พนักงานขณะนั้น นอกจากผู้จัดการแผนก  เลขา  คนเก็บไฟล์เอกสาร 3 คน

    และแผนกช่างอีก 11 คนแล้ว  ไม่มีเจ้าหน้าที่ด้านอื่นอีกเลย  เซอร์วิสเซน

    เตอร์ถึงจัดให้อยู่ในแผนกคอมพิวเตอร์  แต่เขาก็ถือว่าเขาเป็นอิสระ  หน้าที่

    หลักก็คือซัปพอร์ตงานของซัมมิทและโรงกลั่นให้ดีที่สุด  คนอื่นไม่เกี่ยว  

    ลูกค้ารายอื่นไม่สน”  






    แหล่งข่าววงในคนหนึ่งเล่าถึงสถานการณ์ในช่วงเริ่มต้นจนถึงก่อนหน้าจะแยก

    ออกมาตั้งเป็นบริษัทเอกเทศ





    หลัง 14 ตุลาคมปี 2516  จากเหตุการณ์ซึ่งทำให้เกิดการผันผวนทางการ

    เมืองอย่างพลิกฝ่ามือ  ซี  เจ  ฮวง  คงจะเริ่มคิดแล้วว่า  ธุรกิจที่เขาจับอยู่ใน

    ประเทศนี้  ล้วนแยกไม่ออกกับความผันแปรของทิศทางการเมือง  เขาเริ่ม

    ไม่แน่ใจว่า  ใครจะขึ้นมาเป็นใหญ่ในประเทศนี้  และคนที่ขึ้นมาใหญ่นั้น จะ

    เอาอย่างไรกับเขาและกิจการของเขา  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท ซัมมิท

    อินดัสเทรียลซึ่งถือสัมปทานโรงกลั่นบางจาก





    ช่วงปี 19 ถึงปี 20  ความพยายามที่จะแยกแผนกคอมพิวเตอร์ออกมาเป็น

    บริษัทต่างหากก็ค่อยๆ เริ่มขึ้นและสำเร็จลงเมื่อต้นปี 2521  แน่นอนว่าสิ่งที่

    จะต้องติดตามมาก็คือ  พนักงานจำนวนหนึ่งของแผนกที่จะต้องแยกตัวออก

    มาเสียความรู้สึกอย่างแรง  พวกเขาไม่มั่นใจว่า  เมื่อแยกออกมาแล้วจะดี

    กว่าอยู่กับซัมมิท อินดัสเทรียลซึ่งมียอดขายปีละเป็นหมื่นๆ ล้านบาทได้

    อย่างไร  ผู้จัดการแผนกเป็นคนหนึ่งที่เปิดหมวกอำลาไม่ยอมรับตำแหน่งผู้

    จัดการทั่วไปอันสุดแสนจะมีเกียรติ





    “ไม่ค่อยมีใครเข้าใจในการตัดสินใจของฮวง  เมื่อผมพบฮวงครั้งแรก  เขา

    เน้นคำพูดหนึ่งซึ่งผมจำได้สนิทใจจนถึงทุกวันนี้  คือเขาเน้นว่า  ยูต้องยืนให้

    ได้บนขาของตนเองนะ  เราดีลกับรัฐบาล  เรามีโพลิติก พรอบเบรม  ดังนั้น  

    ยูจะต้องยืนของยูให้ได้”






    อมร  ถาวรมาศ  กล่าวในตอนหนึ่ง  และถ้าฮวงยังไม่ตัดสินใจทิ้งเมืองไทย

    ไปทำมาหากินที่อื่น  เขาอาจจะดีใจเป็นอย่างยิ่งก็ได้  ที่มีคนทำให้ความ

    ตั้งใจของเขาเป็นจริงขึ้นมาแล้ว  แต่นี่เสียดายที่.......





    “ตอนนี้นายฮวงแกก็ยังถือหุ้นอยู่  ยังมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการคน

    หนึ่ง  แต่ไม่เคยแวะเข้ามาดูหลายปีแล้ว”






    คุณอมร กล่าวกับ “ผู้จัดการ”





    การตัดสินใจครั้งสำคัญ

    “ผมจบจากพณิชยการพระนคร  ทางด้านการขาย  พอจบก็เข้าทำงานกับ

    บริษัท ยิบอินซอย แผนกออฟฟิศ แมชชีน  อ้า.....ออฟฟิศ อิควิปเม้นท์  

    ขายพวกเครื่องบวกเลข  ยังไม่เป็นเครื่องอีเล็กทรอนิคอย่างปัจจุบันนี้หรอก  

    เป็นพวกเครื่องจักรกล  แล้วก็ตู้เซฟ    ตู้เอกสาร ไปจนถึงกล่องใส่ขยะ  

    ทุกอย่างที่เป็นของใช้สำนักงาน  ตอนนั้นประมาณปี 2506 – 2507 แรกๆ ก็

    เป็นพนักงานขายฝึกหัด  ต่อมาก็เป็นเซลส์จริงๆ  ค่อยไต่เต้าขึ้นมา”






    คุณอมร ช่วยปูพื้นเมื่อ “ผู้จัดการ” เริ่มถามเข้าประเด็นว่า   เข้ามาเกี่ยวข้อง

    กับคอมพิวเตอร์อย่างไรและเมื่อใด





    “ต่อมาทางยิบอินซอยจะเอาคอมพิวเตอร์ยี่ห้อ เบอร์โร่ส์มาขาย  ผมก็เริ่มเข้า

    มาเกี่ยวข้อง”






    คุณอมร เล่าว่า  ช่วงนั้นเครื่องไอบีเอ็มติดตั้งเป็นเครื่องแรกที่จุฬาลงกรณ์

    มหาวิทยาลัย และธนาคารกรุงเทพฯ ก็ใช้คอมพิวเตอร์แล้ว





    “ดีลแรกที่เราได้มันมาก....เรียกได้ว่าเป็น “โปรเจ็คดำดิน”  คือ  เราไม่ยอม

    ประกาศว่าเราจะเอาคอมพิวเตอร์เบอร์โร่ส์เข้ามาขาย  เราติดต่อไปที่ธนาคาร

    กสิกรไทย  โปรโพสเบอร์โร่ส์เข้าไป  ทำกันเงียบที่สุด  ขนาดพนักงานในยิบ

    อินซอยก็ไม่รู้  จนกสิกรไทยโอเค  เราจึงประกาศออกมาเปรี้ยงเลย”






    และจากการที่ต้องทำ “โปรเจคดำดิน” ชิ้นแรกในชีวิตการขายคอมพิวเตอร์นี่

    แหละ  ทำให้คุณอมรยอมรับว่า





    “มันทำให้ผมเข้าใจคอมพิวเตอร์ได้มาก  เพราะต้องอ่านเอง  ค้นคว้าเอง  จะ

    ไปถามใครก็ไม่ได้  เดี๋ยวความลับรั่ว  เลยต้องใช้ความพยายามที่จะทำความ

    เข้าใจอย่างมาก....มากกว่านั่งให้คนอื่นเขายัดๆ ความรู้เข้ามา”






    และที่มันกว่านั้นก็คือ  หลังจากดีลแรกนี้สำเร็จ  คุณอมรก็ถูกยิบอินซอยส่ง

    ไปเข้าคอสอบรมความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของเบอร์โร่ส์ทันทีที่

    ประเทศอังกฤษ





    “ว่ากันตั้งแต่  วัท อีส คอมพิวเตอร์ ทีเดียว  คนที่เข้าคอสก็ไม่เคยรู้เรื่อง

    คอมพิวเตอร์กันมาก่อน  ผมเองก็ไม่ได้รู้มาก  เพียงแต่ก่อนมาเข้าคอสก็ขาย

    คอมพิวเตอร์ตัวบะเริ่มเทิ่มไปแล้วหนึ่งเครื่อง......”






    มีภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า  “การเริ่มต้นที่ดี  มักจะสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง”  จากดี

    ลแรกที่ขายให้กสิกรไทย  เครื่องเบอร์โร่ส์ก็ทำท่าจะวิ่งฉิวพร้อมๆ กับความ

    รับผิดชอบของคุณอมร  ถูกยกระดับขึ้นเรื่อยๆ





    “ผมเป็นคนเดียวและคนแรกในตอนนั้น ที่ได้รับโปรโมทจากยิบอินซอยให้

    ขึ้นมาเป็นไดเรคเตอร์ของบริษัทในเครือ  ทั้งที่ผมไม่เป็นคนที่ใช้นามสกุลยิบ

    อินซอย  ลายเลิศ หรือจูตระกูล”






    อย่างไรก็ตาม  เมื่อวันเวลาผันเปลี่ยนเพิ่มอายุให้ตัวเองมากขึ้นและมากขึ้น  

    วาระที่กล่าวคำอำลาก็มาถึง  สาเหตุของการตัดสินใจ  คุณอมรบอก

    ว่า  “อยากจะเก็บไว้กับตัว”





    “ผมอยู่ที่นั่นจนครั้งสุดท้ายรั้ง 3 ตำแหน่ง คือผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ของ

    บริษัท ไทยแลนด์คอมพิวเตอร์เซนเตอร์   เป็นดาต้าเซ็นเตอร์ของเบอร์โร่ส์  

    เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของเบอร์โร่ส์และเป็นผู้จัดการฝ่ายด้วย”






    ที่จริงก่อนจะตัดสินลาออก  แผนการในชีวิตที่วาดไว้นั้น  กำหนดว่าจะไปร่วม

    งานกับเบอร์โร่ส์ที่เมืองนอก  แต่เมื่ออ่านพบประกาศรับสมัครผู้จัดการทั่วไป

    ของบริษัท ซัมมิท  คอมพิวเตอร์ ในหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษฉบับหนึ่ง  

    คุณอมรก็ตัดสินยกเลิกกำหนดการเดิมที่อุตสาห์วางไว้อย่างคร่ำเครียดเสีย

    เฉยๆ อย่างนั้นแหละ





    ครั้นแล้ว  ในวันที่ 30 มิถุนายนปี 2521  ใบลาออกของคุณอมร  ถาวรมาศก็

    ถูกยื่นไปถึงธวัช  ยิบอินซอย  พร้อมกับการประกาศในงานเลี้ยงที่ถือว่าเป็น

    การอำลาไปด้วยในตัวว่า  





    “ผมจะไปร่วมงานกับซัมมิท......”





    สิ่งที่คุณอมรจะต้องจดจำไปชั่วชีวิตก็คือ...


    ทุกคนที่เป็นเพื่อนร่วมงานร้องได้คำเดียวว่า  “ยี้...........”


    .................................................................................................





    ยังมีต่อนะครับ  .....  นี่เป็นมุมมองของสื่อในขณะนั้นครับ





    อมร  ถาวรมาศ

    amorntvm@hotmail.com

    จากคุณ : ลุงแอ็ด - [ 1 ธ.ค. 51 10:43:38 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com