Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ไดอารี่ “คนตกงาน” โดย “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอนที่ 6: สานฝันให้เป็นจริง (ภาค 1)…ฝึกพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง ๆ

    ฉันเคยฝันเสมอว่าอยากจะพูดภาษาอังกฤษให้เก่งแบบที่สามารถคิดเป็นภาษาอังกฤษแล้วพูดได้เลย
    แต่การทำงานหลายปีที่ผ่านมาฉันไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ทั้งภาษาพูดและเขียนมากนัก
    จึงทำให้ทักษะทั้งการพูดและอ่านหายไปจนทำให้ขาดความมั่นใจไปมาก

    วันที่ฉันตกงานในวันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ฉันจะกลับไปฝึกพูดใน Public Speaking Club อีกครั้งหนึ่ง
    หลังจากที่เคยเป็นสมาชิกมาก่อนตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นและหนีหายด้วยเหตุผลหลายประการ

    ในช่วงที่กำลังศึกษาดูว่าฉันควรเลือกเป็นสมาชิกของ Club ใด
    เนื่องจากในเมืองไทยโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ มี Speaking Club หลายแห่ง
    ฉันจึงได้ไปสังเกตุการณ์การประชุม 2-3 แห่งเพื่อศึกษาที่ที่เหมาะสมสำหรับการเข้าไปเป็นสมาชิก
    ในที่สุดก็คิดว่าจะปักหลักที่ที่สะดวกในการเดินทางและใกล้บ้านมากที่สุด

    จากวันที่ตกงานจนถึงวันที่เขียนไดอารี่นี้ฉันได้เข้าไปฟังการประชุมทุกสัปดาห์
    ฉันเข้าไปร่วมประชุมในฐานะผู้สังเกตุการณ์โดยเสียค่ากาแฟและอาหารว่างครั้งละ 180 บาท
    เป็นค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนสูงแต่ถ้าเปรียบเทียบกับค่าเรียนภาษาอังกฤษในชั้นเรียนก็ไม่แพง
    และผลที่ได้รับก็คุ้มค่าเกินกว่าที่จะนำมาคิดเปรียบเทียบกันเป็นตัวเงิน

    ฉันกำลังคิดที่จะสมัครเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการในสัปดาห์หน้า
    เพื่อจะได้มีโอกาสในการฝึกพูดบ้างแทนที่จะเข้าไปนั่งฟังหรือสังเกตุการณ์เพียงอย่างเดียว
    การสมัครเป็นสมาชิกครั้งแรกต้องเสียค่าสมาชิกเป็นเงิน 3,300 บาท
    และจะต้องจ่ายค่าสมาชิกครั้งต่อไปครั้งละ 1,800 บาททุก ๆ ครึ่งปี

    นอกจากนี้การประชุมในแต่ละครั้งจะต้องเสียค่ากาแฟและอาหารว่างคนละ 180 บาท
    (บาง Club เสียเพียง 80 บาทก็มีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่และรายการอาหาร)
    ถ้าต้องการประหยัดก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องเข้าร่วมรับประทานกาแฟและอาหารว่าง
    แต่ก็ไม่เห็นมีใครเขาทำกัน

    การได้ไปเข้าร่วมประชุมทำให้ฉันมีโอกาสได้ฟังคนเก่ง ๆ พูดภาษาอังกฤษพร้อม ๆ กับแนวคิด
    และแนวทางบริหารจัดการที่หล่อหลอมให้สมาชิกเป็นผู้นำที่มีความรู้ความสามารถยิ่ง ๆ ขึ้น
    ฉันได้ทราบมาว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในอาชีพและมีชื่อเสียงอยู่ในวงการหลาย ๆ ท่าน
    ก็เคยเป็นสมาชิกของ Club เหล่านี้มาก่อนเช่นกัน อาทิเช่นอดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช
    อดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดร. เกรียงศักดิ์  เจริญวงศ์ศักดิ์
    เจ้าของ Slogan: Doctor Dan Can Do นั่นเอง
    และคนทำงานและผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จอีกมากมาย
    ถ้าท่านผู้อ่านอยากเก่งภาษาอังกฤษและประสบความสำเร็จอย่างนี้บ้าง
    ก็น่าจะลองพิจารณาเข้าร่วมกิจกรรมดูบ้าง

    แม้การเป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์ที่ยังไม่มีโอกาสได้พูดเนื่องจากยังไม่ได้เป็นสมาชิก
    แต่การได้ฟังทำให้ฉันก็ได้เรียนรู้อย่างมากและรู้สึกเป็นการเปิดโลกทัศน์ที่ดีให้กับตนเองอีกด้วย

    อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากสมาชิกหลาย ๆ คนที่มีความรู้ความสามารถอันน่าทึ่งนั้น
    ก็เนื่องมาจากการที่เขาเหล่านั้นไม่เพียงแต่เป็นผู้รับแต่ต้องเป็นผู้ให้หรือผู้เสียสละ
    โดยการทุ่มเทเวลาให้กับสิ่งที่ทำด้วยจึงจะสามารถประสบกับความสำเร็จตามที่ตั้งใจได้

    หลาย ๆ คนแม้จะประสบความสำเร็จถึงขั้นเทพที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่วแล้ว
    พวกเขายังคงทุ่มเทเวลา ความรู้และปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกและกรรมการชมรม
    ที่ต่างมีหน้าที่ในการช่วยกันจัดช่วยกันดำเนินการประชุมให้ลุล่วงเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนาน
    บางคนเป็นสมาชิกเกือบ 20 ปี บ้างก็ 10 ปี หรือหลาย ๆ ปี
    ถึงแม้จะมีสมาชิกใหม่ ๆ ทยอยเข้ามาทำให้ Club คึกคักและมีสีสันอยู่ตลอดเวลาก็ตาม

    นอกจากการประชุมประจำสัปดาห์ที่มีโปรแกรมการประชุมที่เป็นมาตรฐานแล้ว
    ทุก ๆ ครึ่งปีก็จะมีการแข่งขันการพูดทั้งภายใน Club และข้าม Club
    ทั้งนี้เพื่อคัดเลือกผู้ชนะไปเป็นตัวแทนในการแข่งขันในระดับเวทีโลกอีกด้วย
    ช่วงนี้ฉันจึงมีโอกาสได้เข้าฟังการแข่งขันพูดโดยนักพูดชั้นเซียนจากหลาย ๆ คลับ
    โดยการวนหรือสลับกันเป็นเจ้าภาพการจัดการประชุมแข่งขันการพูด

    ฉันยังได้มีโอกาสเข้าร่วมรับฟังการแข่งขันการพูดรวม 2 โอกาสด้วยกัน
    โอกาสแรกเป็นการแข่งขันการพูดเกี่ยวกับเรื่องที่สร้างอารมณ์ขันให้กับผู้ฟัง
    และอีกการแข่งขันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเป็นนักวิจารณ์การพูดของผู้อื่น
    ทั้งสองโอกาสทำให้ฉันได้รับความรู้ความบันเทิงมากมายและคุ้มค่ากับเวลาเป็นอย่างมาก

    จำได้ว่าในการประชุมครั้งหนึ่งมีประธานชมรมนักพูดจากประเทศออสเตรียมาเยี่ยมคลับ
    และได้เข้ามาร่วมพูดในหัวข้อเรื่อง “การเขียนที่มีประสิทธิภาพ”
    นับเป็นหัวข้อที่อยู่ในความสนใจของฉันและมีประโยชน์เป็นอย่างมาก

    อีกสิ่งหนึ่งที่ได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากกิจกรรมนี้ก็คือ
    การเป็นสมาชิกของ Speaking Club ซึ่งมีสาขาในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก
    สมาชิกสามารถเข้าไปเยี่ยม Club เมื่อเดินทางไปเที่ยวในประเทศต่าง ๆ ที่มีสาขา
    และสามารถติดต่อขอพูดโครงการต่อเนื่องจากประเทศตนเอง
    และนำผลหรือเครดิตกลับมาพูดต่อเนื่องในประเทศของตนเองได้
    เช่นเดียวกับการโอนหน่วยกิตหรือเครดิตในการเรียนข้ามมหาวิทยาลัยอย่างนั้นเลยทีเดียว

    เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 ที่ผ่านมา
    ทาง Club ที่ฉันได้ไปปักหลักสังเกตุการณ์ได้มีโอกาสต้อนรับสมาชิกอีกหนึ่งคนจากต่าประเทศด้วย
    Jasmin Heltch เป็นสมาชิกของ Public Speaking Club ในเยอรมันนี

    สัปดาห์แรกเธอมาสังเกตุการณ์และได้ขึ้นไปบนเวทีกล่าวคำพูดทักทายสั้น ๆ
    สัปดาห์ต่อมาเธอมาเยี่ยมอีกพร้อมกับเตรียมการพูดอย่างเป็นทางการซึ่งเป็นโครงการการพูดที่ 9 ของเธอ
    เธอพูดในหัวข้อที่เกี่ยวกับความสำคัญของการมีสุขภาพที่ดี
    ซึ่งก็หมายความว่าหากการพูดในครั้งนี้ของเธอผ่านการพิจาณาตัดสินโดยคณะกรรมการ
    เมื่อเธอกลับไปประเทศเยอรมันนีเธอสามารถไปพูดโครงการ 10 ต่อได้เลย
    เมื่อครบ 10 โครงการซึ่งเป็นหลักสูตรการพูดขั้นพื้นฐาน
    เธอสามารถต่อโครงการการพูดขั้นสูงอีก 10 โครงการไปเรื่อย ๆ ไม่มีกำหนดระยะเวลา

    ครั้งแรกที่พบ Jasmin ฉันแค่ยิ้มทักทายเธอธรรมดาตามมารยาท
    ครั้งต่อมาเธอเข้ามานั่งที่ติดกับฉันอีกเราจึงมีโอกาสได้พูดคุยกันมากขึ้น

    Jasmin เข้ามาในช่วงที่ฉันกำลังตกงาน ห่างเหินจากเพื่อนฝูง เหงาและต้องการเพื่อนพอดี
    ประจวบกับการพูดคุยที่ถูกคอไปในแนวทางเดียวกันพร้อมกับความน่ารักของเธอ
    ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจและอยากคบค้าสมาคมกับเธอ

    Jasmin ซึ่งเกิดปีเดียวกับฉันเล่าว่าตอนนี้เธอยังเป็นโสดและไม่มีบุตร
    เธอไม่ได้ทำงานแล้วเพราะเกษียณก่อนกำหนด (Oops…คุ้น ๆ!!)
    ช่วงนี้เธออยู่ในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วเข้า ๆ ออก ๆ เมืองไทย
    จนกว่าจะกลับประเทศเยอรมันนีอีกครั้งหลังเดือนมีนาคม
    เธอมีเพื่อนชาวเยอรมันที่เช่า Condo ระยะยาวในเมืองไทยซึ่งเธอใช้ต่อในช่วงที่เพื่อนไม่อยู่

    ฉันถามว่าจะได้พบเธอใน Club นี้อีกหรือไม่
    เธอบอกยังไม่แน่และบอกว่าเราอาจจะนัดพบดื่มกาแฟคุยกันก็ได้ซึ่งเธอจะว่างทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา
    ฉันบอกขอตรวจตารางเวลาตนเองก่อนแล้วจะโทรหาเธอเพื่อนัดหมาย

    วันรุ่งขึ้นฉันเชิญเธอรับประทานอาหารเย็นพร้อมชวนเธอไปนวดแผนไทยด้วยกัน
    เธอรับนัดและได้มาพบฉันตามวันและเวลานัดตอน 5 โมงเย็นของวันพุธที่ 26 พ.ย. 51
    แถมยังมาก่อนเวลานัดซึ่งผิดคาดที่ฉันกลัวว่าเธออาจจะหลงทางและมาไม่ถูกเสียอีก

    การพูดคุยกันในระหว่างรับประทานอาหารญี่ปุ่นด้วยกัน (ช่วงนี้รู้สึกเบื่ออาหารไทย ^_^)
    ทำให้เราได้รู้จักซึ่งกันและกันมากขึ้นและฉันก็รู้สึกสนุกมีความสุขกับการได้พูดคุยกับเธอ
    ฉันถามเธอว่าเคยมีใครบอกว่าหน้าตาของเธอโดยเฉพาะดวงตาเหมือนกับ Lady Diana ไหม
    เธอหัวเราะบอกไม่เคย…

    Jasmin บอกว่าเธอได้พยายามใช้เวลาว่างในการเขียนบทความเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว
    และสิ่งที่เธอได้พบเห็นและส่งกลับไปบ้านเกิดเพื่อลงพิมพ์ในหนังสือและนิตยสารต่าง ๆ
    แต่เป็นการตีพิมพ์ที่เธอไม่ได้ค่าตอบแทนแต่เป็นเหมือนอาสาสมัครที่ทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า

    จากนั้นฉันพาเธอไปนวดแผนไทยที่ Health Land ซึ่งเธอรู้สึกชื่นชอบมากเป็นพิเศษ
    นวดเสร็จฉันพาเธอเดินกลับมาเยี่ยมบ้านของฉันซึ่งอยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น
    ฉันไม่รู้ว่า Jasmin คิดอย่างไรแต่ถ้าเป็นฉันเจอใครมาทำอะไรให้แบบนี้
    ฉันคงจะต้องรู้สึกระแวงและนึกถึงความไม่ปลอดภัยเอาไว้ก่อนเป็นอย่างแรก
    แต่ดูเหมือนเธอไม่ได้แสดงทีท่าว่าจะมีความรู้สึกหรือคิดเช่นนั้นเลย
    ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะพอไปถึงบ้านฉันก็ได้ตามลูก ๆ ออกมาพูดจาทักทายเธอและถ่ายรูปร่วมกันด้วย

    เราคุยกันจนถึง 4 ทุ่มโดยรู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน
    ตลอดเวลา 5 ชั่วโมงที่อยู่กับ Jasmin โทรศัพท์มือถือของเธอดังตลอดเป็นระยะ ๆ
    เป็นโทรศัพท์ทางไกลจากเพื่อนฝูงญาติพี่น้องจากเยอรมันนีที่โทรมาถามข่าวคราวด้วยความห่วงใย
    เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่กำลังเกิดขึ้น
    และการปิดสนามบินที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางเข้าออกประเทศได้
    จากการได้พูดคุยกันฉันได้ให้ความเชื่อมั่นกับ Jasmin เรื่องความปลอดภัยภายใต้สถานการณ์การเมือง
    แต่เรื่องความไม่สะดวกซึ่งเกิดจากการที่สนามบินถูกปิดนั้นน่าจะได้รับการแก้ไขในเร็ววันนี้

    ฉันคิดว่าการที่ฉันได้ดูแลเทกแคร์และมอบมิตรภาพที่ดีให้กับเธอในวันนี้
    จะมีส่วนช่วยทำให้เธอมีความรู้สึกที่ดี ๆ กับคนไทยและเมืองไทยบ้างไม่มากก็น้อย
    ซึ่งน่าจะช่วยชดเชยความรู้สึกติดลบที่อาจจะเกิดจากผลของการปิดสนามบินและความกังวลต่าง ๆ ได้

    จากนั้นฉันได้เป็นเพื่อนพา Jasmin เดินออกจากบ้านไปเรียกรถ Taxi ด้วยกันหน้าซอย
    ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมาเธอส่ง SMS มาถึงฉันบอกว่าเธอกลับถึงที่พักอย่างปลอดภัยแล้ว

    สรุปแล้วการไป Public Speaking Club ในช่วงนี้ฉันได้เพื่อนฝรั่งมาหนึ่งคน
    นับเป็นปรากฏการณ์ที่ฉันไม่เคยทำกับใครแบบนี้มาก่อน
    เพราะตลอดเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมาแม้แต่เพื่อนคนไทยที่เป็นสมาชิกในชมรม
    ฉันยังไม่ได้เข้าไปทำความรู้จักใครมากเท่า Jasmin เลยสักคน…ฮา

    ถ้าท่านผู้อ่านสนใจการฝึกพูดเป็นภาษาอังกฤษต่อหน้าสาธารณะเช่นที่เล่ามาข้างต้น
    ลองโทรศัพท์ติดต่อสถาบันต่าง ๆ ที่เป็น Public Speaking Club
    โดย Club เหล่านี้จะจัดกิจกรรมหลังเวลาเลิกงานระหว่าง 18.00-20.30 น. เป็นประจำทุกสัปดาห์
    หากโชคดีเราอาจจะได้เจอกันและเข้ามาเป็นสมาชิกฝึกพูดภาษาอังกฤษในคลับเดียวกันก็เป็นได้…

     
     

    จากคุณ : "เลขาฯ ตัวแสบ!" - [ วันรัฐธรรมนูญ 00:15:17 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com