ความคิดเห็นที่ 2
อีก 2 วันต่อมาฉันได้รับใบเสนอราคาจากคุณเก๋สำหรับจำนวนพิมพ์ 1,000, 3,000 และ 5,000 เล่ม เห็นราคาแล้วเกือบช๊อก! นี่ขนาดพิมพ์แค่พันเล่มราคาปาเข้าไปเกือบแสนบาทเลยหรือเนี่ย?
ฉันโทรไปเจรจาต่อรองราคากับคุณเก๋แต่เธอบอกว่าเป็นราคาที่ลดไม่ได้ ฉันจึงแจ้งว่าขอฉันตรวจสอบราคากับโรงพิมพ์อื่นเพื่อเปรียบเทียบราคากันก่อนแล้วจะติดต่อกลับไปใหม่
หลังจากกลับบ้านฉันได้รื้อชั้นหนังสือเพื่อตรวจสอบราคาปกของหนังสือแต่ละเล่ม ปรากฏว่าพบหนังสือธรรมะเล่มหนึ่งขนาดรูปเล่มน่ารักกะทัดรัดราคาเล่มละ 39 บาท จำนวน 60 หน้าขนาดเล่มเท่ากับครึ่งหนึ่งของพ๊อกเก็ตบุ๊คมาตรฐานพิมพ์โดยโรงพิมพ์ B
ฉันจดเบอร์โทรศัพท์ของโรงพิมพ์ B จากหนังสือและโทรไปสอบถามให้เสนอราคาค่าพิมพ์ โดยกำหนดสเป็กให้เหมือนกับโรงพิมพ์ A คือจำนวน 200 หน้าขนาดเล่ม 14.5x21 ซม. ใช้เนื้อในเป็นกระดาษปอนด์ครีมถนอมสายตาขนาด 75 กรัม พิมพ์สีดำหนึ่งสี ส่วนปกใช้กระดาษอาร์ตการ์ดขนาด 210 กรัมพิมพ์ปกหน้าหลังด้วยสี่สี
ปรากฏว่าค่าพิมพ์จากโรงพิมพ์ B ถูกกว่าค่าพิมพ์จากโรงพิมพ์ A ของคุณเก๋ คิดเป็นเงินประมาณ 20,000-30,000 บาทสำหรับการพิมพ์ 4,000 เล่ม
ฉันรู้ว่าสาเหตุที่โรงพิมพ์ B มีค่าพิมพ์ราคาถูกกว่าโรงพิมพ์ A มากขนาดนี้เนื่องจากเป็นโรงพิมพ์ขนาดเล็กกว่า จึงเป็นเรื่องปกติสำหรับโรงพิมพ์ขนาดเล็กที่จะมีค่าบริหารจัดการที่ต่ำกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ฉันจึงเบนเข็มไปที่โรงพิมพ์ขนาดเล็กและมีการติดต่อประสานงานกับโรงพิมพ์ B ตลอดเกือบ 2 สัปดาห์
ช่วงนี้ตั้งแต่วันที่ตกงานก็ยุ่งกับการรวบรวมและเรียบเรียงเนื้อเรื่องสำหรับทำหนังสือ และติดต่อทั้งโรงพิมพ์และผู้จัดจำหน่ายข้างต้นตลอดทั้งเดือน
นอกจากการเรียบเรียงซีรีย์ เลขาฯ ตัวแสบ! แล้วฉันได้ลองออกแบบปกไปด้วย โดยฉันได้เลือกรูปและออกแบบเนื้อหาคร่าว ๆ ของปกและได้ว่าจ้างร้านทำนามบัตรเล็ก ๆ ซึ่งมีพนักงานที่มีความรู้เรื่องการทำกราฟฟิกบ้างทำปกในรูปแบบที่ฉันต้องการ
สรุปแล้วฉันได้เลือกวิธีการดำเนินการแบบที่ 2
คือติดต่อโรงพิมพ์เอง ลงทุนเอง และติดต่อผู้จัดจำหน่ายให้ค่าจัดจำหน่ายประมาณ 40% ของราคาปก
เหตุผลที่ไม่เลือกแบบที่ 3
ติดต่อขายลิขสิทธิ์หนังสือโดยไม่ต้องลงทุนพิมพ์เองแต่รับค่าลิขสิทธิ์ประมาณ 10-15% ต่อเล่ม เนื่องจากฉันยังหาทางเข้าไม่ถูกและใจร้อนไม่อยากเสียเวลาคอยถึง 2-3 เดือน ซึ่งหากคอย 2-3 เดือนแล้วถูกปฏิเสธยิ่งเสียเวลาและฉันก็ไม่ต้องการที่จะเริ่มนับหนึ่งใหม่
ฉันจึงตัดสินใจติดต่อบริษัทคัดเลือกและจัดจำหน่ายหนังสือตามที่สำนักงาน A แนะนำชื่อ AA และได้โทรติดต่อเองไปยังอีกหนึ่งบริษัทคัดเลือกและจัดจำหน่ายหนังสือที่สำนักงานชื่อ SS พร้อมกับส่งเนื้อเรื่องและตัวอย่างปกให้ทั้งสองสำนักงานพิจารณาคัดเลือกเพื่อจัดจำหน่าย
ตอนนั้นในใจฉันคิดเอาไว้ว่าถ้าบริษัทคัดเลือกและจัดจำหน่ายหนังสือแห่งใดแห่งหนึ่ง รับจัดจำหน่ายหนังสือให้ฉันจะสั่งพิมพ์จำนวนประมาณ 4,000 เล่ม โดยฉันจะต้องส่งมอบหนังสือตามสัญญาจำนวน 3,000 เล่มให้กับบริษัทเพื่อจัดจำหน่ายให้ และอีก 1,000 เล่มฉันจะเก็บไว้เพื่อจำหน่ายเองตามร้านค้าย่อยและในหมู่เพื่อนฝูงญาติพี่น้อง แต่ถ้าไม่มีที่ใดรับจัดจำหน่ายฉันจะสั่งพิมพ์เพียง 1,000 เล่มเพื่อจัดจำหน่ายเอง
หลังจากส่งเรื่องและตัวอย่างปกไปให้พิจารณาแล้ว ฉันได้โทรติดตามผลและได้รับการแจ้งจากบริษัทคัดเลือกและจัดจำหน่ายหนังสือที่สำนักงาน AA ว่า เนื้อเรื่องที่ส่งให้ไม่มีปัญหาแต่ขอให้ฉันแก้ไขเรื่องปกให้ดูโดดเด่นสะดุดตากว่านี้ โดยให้เหตุผลว่าหนังสือที่จะขายได้ดีหรือไม่นั้น หน้าปก มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ฉันได้ทำตามคำแนะนำและต้องวิ่งเต้นเปลี่ยนปกและที่ร้านนามบัตรให้แก้ไขปกถึง 5-6 ครั้ง ในการว่าจ้างแต่ละครั้งฉันเสียค่าทำครั้งละ 300-400 บาท ทั้งนี้เนื่องจากได้สมัครใจจ่ายค่าทิปให้พนักงานที่ทำงานให้มากกว่าค่าพิมพ์และค่าทำนั่นเอง
เจ้าหน้าที่ของบริษัทคัดเลือกและจัดจำหน่ายหนังสือที่สำนักงาน AA ได้ทำงานประสานงานกับฉันอย่างใกล้ชิดตลอดเกือบ 2 สัปดาห์ โดยพยายามให้ความเห็นและคำแนะนำพร้อมส่งปกตัวอย่างมาให้ดูเป็นตัวอย่างหลายครั้งด้วย
ในที่สุดเจ้าหน้าที่ของบริษัทคัดเลือกและจัดจำหน่ายหนังสือที่สำนักงาน AA แจ้งให้ทราบว่าบริษัทขอ ปฏิเสธ การจัดจำหน่ายหนังสือให้ฉันเนื่องจากปกไม่ลงตัว ซึ่งก็คือปกไม่สวยและไม่สะดุดตาพอที่จะทำให้ผู้อ่านอยากจะหยิบหรือซื้อหนังสือนั่นเอง!
E-mail ที่ได้รับจาก AA ทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังและหมดกำลังใจเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่คาดหวังกับบริษัทคัดเลือกและจัดจำหน่ายหนังสือที่สำนักงานชื่อ SS เนื่องจากตั้งแต่ส่งเรื่องและตัวอย่างปกไปให้ตั้งแต่วันแรกและมีการโทรติดตามนั้น เจ้าหน้าที่บอกว่าปกติจะใช้เวลาพิจารณา 1 สัปดาห์แต่กรณีของฉันส่งเรื่องเข้ามาในช่วงที่เจ้าของเรื่องลาพักร้อน จึงต้องใช้เวลาเป็น 2 สัปดาห์ซึ่งในระหว่างนั้นฉันก็ได้มีการโทรติดตามเช่นเดียวกับบริษัทแรก แต่คำตอบที่ได้รับคือกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา
การถูกปฏิเสธโดยบริษัทหนึ่งกับการต้องรอคอยแบบไร้ความหวังกับอีกบริษัทหนึ่ง ยิ่งบริษัทหลังเป็นถึงยักษ์ใหญ่ในวงการหนังสือด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องแม้แต่คิดจะมีความหวัง ตลอดเดือนแรกจึงช่างเป็นช่วงเวลาที่ไม่โสภาสำหรับฉันเลยแม้แต่น้อย
แค่การต้องมาตกงานในสภาพเช่นที่เกิดขึ้นกับฉันในตอนนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจกันมากพอแล้ว ฉันยังต้องมานั่งต่อสู้กับความรู้สึกที่แย่ ๆ กับความผิดหวังกับความฝันที่ไปไม่ถึงดวงดาวในครั้งนี้อีก ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกห่อเหี่ยวและท้อแท้ใจชนิดที่ไม่รู้จะหันหน้าไปหาใครเพื่อมาช่วยแชร์ความรู้สึก ตอนนี้ก็ได้แต่เพื่อน ๆ และท่านผู้อ่านในห้องสีลมนี้เท่านั้นที่มาร่วมรับรู้เรื่องราวและความรู้สึกของฉันในครั้งนี้
จากคุณ :
"เลขาฯ ตัวแสบ!"
- [
12 ธ.ค. 51 00:22:24
]
|
|
|