Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com


    ไดอารี่ “คนตกงาน” โดย “เลขาฯ ตัวแสบ!” ตอนที่ 8: สานฝันให้เป็นจริง (ภาค 3) “บันทึกลับ” จากโต๊ะเลขาฯ

    ถึงแม้จะถูกปฏิเสธจากบริษัทคัดเลือกและจัดจำหน่ายหนังสือ AA แล้ว
    ฉันก็ยังคงออกจากบ้านเหมือนไปทำงานทุกวันและไม่ต้องการยอมแพ้กับอุปสรรคใด ๆ

    ตอนนี้ฉันกำลังคิดว่าถ้าฉันยังอยากจะทำหนังสือจริง ๆ ก็คงจะต้องกลับไปเลือกแบบที่ 1
    นั่นก็คือ…ติดต่อโรงพิมพ์เอง ลงทุนเอง และขายเอง
    ซึ่งก็หมายความว่าฉันจะต้องพิมพ์อย่างน้อย 1,000 เล่มและต้องหาเงินค่าพิมพ์อีกเกือบแสนบาท
    จากนั้นต้องเร่ขายตามร้านหนังสือเล็ก ๆ และในหมู่เพื่อนฝูงญาติพี่น้องเอง

    ฉันคิดต่อว่าถ้าฉันขายไม่ได้หรือขายไม่หมดก็หมายความว่าเงินที่ลงทุนไปก็สูญเปล่า
    การตกงานที่ไม่มีรายได้อยู่แล้วแต่กลับต้องนำเงินก้อนที่เหลืออยู่ไม่มากมาลงทุนอีก
    ยิ่งจะทำให้สถานการณ์ของฉันแย่หนักขึ้นไปอีก
    อืมมม…ฉันคิดถูกหรือไม่หนอ?

    ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าฉันอาจจะใจร้อนเกินไปและอาจจะต้องพับโครงการนี้ไปก่อนดีกว่าหรือไม่?
    เพราะแม้แต่ผู้จัดจำหน่าย AA ยังปฏิเสธคงเพราะพิจารณาแล้วว่าเป็นหนังสือที่ไม่น่าจะขายได้
    ขืนฉันทำเองลงทุนเองและขายเองนอกจากจะเหนื่อยและเสียเวลาเปล่าแล้วยังขาดทุนอีกด้วย

    ที่จริงฉันก็ถูกทั้งน้องรองและน้องเล็กเบรคจนตัวโกร่งเกี่ยวกับเรื่องความตั้งใจ
    ในการทำหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คของฉันมาตั้งแต่แรกที่ได้เกริ่นให้ทั้งเธอสองฟังเหมือนกัน
    เพราะทั้งสองไม่อยากให้ฉันต้องเหนื่อยหรือผิดหวังซึ่งจะทำให้จิตใจของฉัน
    ที่บอบช้ำเรื่องการตกงานในครั้งนี้อยูแล้วยิ่งต้องบอบช้ำหนักยิ่งขึ้นไปอีก
    หากต้องพบกับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก…

    ฉันจึงได้แอบเดินหน้าทำตามฝันของฉันเงียบ ๆ ตามลำพังโดยไม่ได้ปรึกษาน้อง ๆ หรือใครเลย
    ทั้งนี้เพราะฉันไม่ต้องการให้น้องทั้งสองหรือใครก็ตามมาขโมยความฝันของฉันไป
    ทั้งที่ฉันก็รู้แก่ใจดีว่าเธอทั้งสองทำไปด้วยความห่วงใยและปรารถนาดี
    แต่ฉันได้แอบบอกเล่าเรื่องนี้ให้ลูก ๆ ได้รับทราบและได้รับกำลังใจจากลูกตามประสาเด็ก ๆ

    เมื่อครบกำหนด 2 สัปดาห์ที่ได้ส่งเรื่องไปให้กับบริษัทคัดเลือกและพิจารณาจัดจำหน่ายหนังสือ SS
    วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2551 ฉันได้โทรไปสอบถามผลจากเจ้าหน้าที่อีกครั้งหนึ่ง
    หลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็มีการโทรติดตามเป็นระยะ ๆ จนรู้สึกอ่อนแรงกับคำตอบที่ว่า
    “ยังพิจารณาไม่เสร็จค่ะ”

    วันที่ครบกำหนดในวันนั้นฉันจึงได้โทรไปอีกครั้งหนึ่ง…
    เจ้าหน้าที่ตอบว่า…
    “อ้าว…ส่ง E-mail แจ้งผลไปตั้งแต่วันศุกร์ยังไม่ได้รับหรือคะ”
    ฉันบอก “ยังไม่ได้รับค่ะ…ช่วยส่งมาให้ใหม่ได้ไหมคะ?”

    จากนั้นฉันได้เช็คกล่องรับอีเมล์และได้รับข้อความสั้น ๆ จากบริษัท SS ส่งมาอีกครั้งว่า
    (สังเกตุได้ว่าครั้งแรกที่ส่งมาในวันศุกร์แล้วฉันไม่ได้รับเพราะ e-mail address ไม่ถูกต้อง)
    “หนังสือได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติแล้ว” พร้อมให้อ่านรายละเอียดสัญญา
    และให้ฉันดำเนินการส่งเอกสารประกอบการทำสัญญาไปให้
    อ่านจบด้วยอาการตกตะลึงและคิดว่าฉันอ่านผิดหรือคนส่งเมล์ส่งให้ผิดคนหรือไม่?
    แต่พอได้สติก็รู้สึกตัวและรู้ว่าฉันอ่านไม่ผิดแน่นอน…!

    เย้!!! ฉันทำได้แล้วววววว!

    ความรู้สึกในตอนนั้นเป็นความรู้สึกที่ยากที่จะพรรณนา
    เป็นความรู้สึกแห่งความปลื้มปิติที่เกิดขึ้นพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นจนต้องรีบปาดออก
    เนื่องจากเกรงผู้คนบริเวณนั้นจะสงสัยว่าฉันเป็นอะไรไป

    แม้จะใช้เวลานานถึง 2 สัปดาห์ในการพิจารณาและอนุมัติ
    บริษัทคัดเลือกและพิจารณาจัดจำหน่ายหนังสือ SS ไม่ได้แจ้งให้ฉันต้องแก้ไขใด ๆ ทั้งสิ้น
    ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องหรือปกและคำโปรยเช่นที่บริษัท AA เจ้าแรกได้ติง
    และให้มีการแก้ไขเกี่ยวกับปกนับหลาย ๆ ครั้งมาโดยตลอด

    ฉันรีบโทรศัพท์แจ้งข่าวดีให้น้องรองและน้องเล็กให้รับทราบเป็นคนแรก
    จากนั้นฉันได้กลับไปทบทวนใบเสนอราคาจากโรงพิมพ์ A และ B อีกครั้งหนึ่ง
    เมื่อเปรียบเทียบราคาแล้วค่าพิมพ์ของโรงพิมพ์ B ราคาถูกกว่าถึงเล่มละ 6-7 บาท
    หรือรวมเป็นเงินที่ถูกกว่าประมาณเกือบ 30,000 บาทต่อจำนวนการพิมพ์ 4,000 เล่ม

    เหตุผลที่ฉันต้องพิมพ์ถึง 4,000 เล่มเนื่องจากตามระเบียบต้องส่งให้ผู้จัดจำหน่าย 3,000 เล่ม
    และฉันยังคงต้องการจำหน่ายเองในหมู่เพื่อนฝูงญาติพี่น้องอีก 1,000 เล่ม
    ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะขายได้ถึง 100 เล่มหรือไม่!
    หากขายได้ก็ถือว่าโชคดีไม่ต้องขาดทุนและจะมีเงินส่วนหนึ่ง
    ให้เป็นทุนการศึกษากับเด็กนักเรียนที่เรียนดีแต่ด้อยโอกาส
    แต่ถ้าขายไม่ได้และมีหนังสือเหลือกลับมามากก็คงนำไปไล่แจกเพื่อนฝูงรวมทั้งสถาบันต่าง ๆ ต่อไป

    พิจารณาจากการติดต่อกับโรงพิมพ์ทั้ง 2 แห่งในเรื่องการเสนอราคา
    และจากการติดต่อประสานงานกันตลอด 2 สัปดาห์
    ทำให้ฉันต้องตัดสินใจเลือกทำงานกับน้องเก๋จากบริษัทโรงพิมพ์ A โดยยอมที่จะจ่ายแพงกว่า
    ทั้งนี้เนื่องจากฉันมีความมั่นใจในบริการและคุณภาพที่ฉันจะได้รับจากโรงพิมพ์ A มากกว่าโรงพิมพ์ B

    น้องเก๋มีการติดตามประสานงานและมีการแจ้งผลการปฏิบัติงานที่รวดเร็วและเป็นมืออาชีพ
    ในขณะที่บริษัทโรงพิมพ์ B มีแต่คำพูดลอย ๆ ไม่น่าเชื่อถือแถมยังต้องให้ฉันเป็นฝ่ายติดตามงานตลอด
    ประเด็นนี้น่าจะเป็นข้อสังเกตุที่ดีให้กับนักการขายว่าลูกค้ายินดีจ่ายแพงกว่า
    ถ้ามีความมั่นใจในสินค้าและบริการของท่านแทนการจ่ายที่ถูกกว่าแต่ขาดความมั่นใจ

    หลังจากได้สรุปยืนยันราคาและเงื่อนไขการส่งมอบภายใน 15 วันหากการอนุมัติอาร์ตเวิร์คแล้วเสร็จ
    ฉันรีบโอนเงินค่าจ้างพิมพ์จำนวน 30% ให้กับโรงพิมพ์ A ของน้องเก๋พร้อมส่งต้นฉบับเพื่อให้ดำเนินการทันที
    หลังจากโอนเงินไปแล้วทางโรงพิมพ์เริ่มดำเนินการด้วยการจัดหน้าเรียงตัวหนังสือตามต้นฉบับที่ฉันส่งไปให้

    ในระหว่างนี้ฉันได้มีการประสานงานกับโรงพิมพ์และเจ้าหน้าที่ผู้ทำรูปเล่มอย่างใกล้ชิด
    เจ้าหน้าที่ผู้ทำรูปเล่มได้ทยอยส่งงานการจัดหน้าและปรู๊ฟมาให้ฉันตรวจสอบความถูกต้องเป็นระยะ ๆ
    อีกทั้งได้ช่วยปรับปรุงปกใหม่แม้จะยังคงเค้าโครงเดิมแต่ก็ทำให้ดูโดดเด่นสะดุดตามากยิ่งขึ้นกว่าเก่า

    “วันนี้ความฝันของฉันเป็นจริงแล้ว   เพราะฉันไม่ได้แค่ฝันเพียงอย่างเดียว
    แต่ฉันกล้าที่จะลงมือทำด้วยการฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย”

    ในขณะที่กำลังเขียนอยู่นี้หนังสือกำลังอยู่ในระหว่างการพิมพ์
    ฉันได้เร่งโรงพิมพ์ให้พิมพ์หนังสือให้เสร็จโดยเร็วเพื่อสามารถวางแผงได้ในช่วงคริสมาสต์และปีใหม่
    ทั้งนี้เพื่อที่ผู้อ่านที่ชื่นชอบหนังสือประเภทนี้จะได้ซื้อเป็นของขวัญปีใหม่ฝากเพื่อนฝูงญาติพี่น้อง

    ฉันเชื่อว่าการซื้อหนังสือเป็นของขวัญปีใหม่น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจที่สุด
    เพราะหนังสือราคาไม่แพงแต่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่รักการอ่าน
    ตัวฉันเองก็ชอบซื้อหนังสือเพื่อมอบเป็นของขวัญให้เพื่อน ๆ ในหลาย ๆ โอกาส
    และฉันก็มักจะได้รับหนังสือเป็นของขวัญจากเพื่อน ๆ เสมอ ๆ เช่นกัน
    ทุกครั้งที่ได้รับหนังสือเป็นของขวัญรู้สึกถึงคุณค่า
    และจะนึกถึงผู้มอบให้เสมอทุกครั้งที่หยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่าน…

    ฉันเชื่อว่าวิกฤตจากการตกงานของฉันในวันนั้นได้สร้างโอกาสที่ดีให้แก่ฉันในวันนี้
    เพราะตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาหลังจากตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าฉันจะต้องสานฝันข้อนี้ให้เป็นจริงให้ได้
    ฉันได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่และได้ใช้เวลาหมดไปกับการเตรียมการเรื่องหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างมาก

    วันนี้ฉันดีใจที่ได้นำฝันที่เป็นจริงในครั้งนี้มาเล่าสู่หรือถือโอกาสอวดท่านผู้อ่านไปในตัว
    เพราะที่ผ่านมาฉันไม่ค่อยจะมีเรื่องที่โดดเด่นพอที่จะทำให้ฉันสามารถนำมาอวดใคร ๆ ได้
    แต่เรื่องนี้แม้ยังจะมีขวากหนามอยู่ข้างหน้าอีกมากมายฉันก็ภูมิใจที่ได้เริ่มก้าวแรกไปแล้ว

    หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องราวที่นำเสนอต่อทุกท่านในครั้งนี้
    จะเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าคนเราเมื่อล้มแล้วยังสามารถลุกขึ้นมาต่อสู้ใหม่ได้
    ถ้าเราคิดว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจะเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในวันหน้าได้
    เรื่องนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ให้เกิดกับทุกท่านได้เป็นอย่างดี

    วันนี้ฉันได้ลุกขึ้นมาสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส
    ฉันได้ลุกขึ้นมาและทำก้าวแรกของฉันเสร็จแล้ว
    ก้าวแรกของฉันเท่ากับ 30 ที่ฉันได้ฝ่าฟันไปเรียบร้อยแล้ว
    ส่วนผลของลิขิตฟ้าอีก 70 ขึ้นอยู่กับว่า
    เมื่อเข้าไปในร้านหนังสือแล้ว…ท่านผู้อ่านอยากจะหยิบหนังสือเล่มนั้นติดมือกลับบ้านไปอ่านหรือไม่?

    ฉันขอถือโอกาสนี้ขอบพระคุณท่านผู้อ่านและแฟนคลับของ “เลขาฯ ตัวแสบ!” ทุกท่าน
    สำหรับกำลังใจที่ทำให้เกิดแรงบันดาลใจจนสามารถสานฝันของฉันให้เป็นความจริงได้แล้วในวันนี้!!

    แล้วเพื่อน ๆ ล่ะ?
    ได้ลุกขึ้นมาสร้างและสานฝันกันแล้วหรือยัง?




    ===
    สิ่งที่ได้จากการสร้างฝัน...การสานฝัน...ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ...
    ฝันที่เป็นจริง...ไม่ยากเลยถ้าเรามีความมุ่งมั่นตั้งใจและเดินไปตามฝันอย่างไม่ย่อท้อ!!

    v
    v
    v

    แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 16:28:11

    แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 16:09:09

    แก้ไขเมื่อ 17 ธ.ค. 51 11:19:48

    จากคุณ : "เลขาฯ ตัวแสบ!" - [ 14 ธ.ค. 51 00:20:27 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com